หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 20 คำขอสุดท้าย (3)
รู้ตัวอีกทีร่างของแอสรันบนฟ้าก็เข้าใกล้พระเจ้าบรรพกาลแล้ว สิงโตสีแดงอ้าปากกว้าง แล้วกัดร่างของพระเจ้าบรรพกาล
“แอสรัน!”
ฉันตะโกนออกไปด้วยความตกใจกลัวว่าแอสรันเองก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าไปด้วย แต่แอสรันไม่ถูกผลกระทบนั้น แอสรันตกลงมาเบื้องล่างทั้งที่กัดพระเจ้าบรรพกาลไว้อย่างนั้นแทน
แม้จะตกลงมาด้วยความเร็วสูง แต่ด้วยรูปร่างใหญ่จึงทำให้มองดูแล้วเชื่องช้ายิ่ง ทว่าวินาทีที่ร่างของแอสรันและพระเจ้าบรรพกาลกระแทกกับพื้น ดินแดนที่ตั้งวิหารหลวงพลันสั่นสะเทือนและเริ่มแตกร้าว
“ช่วยคนด้วย!”
เสียงร้องของนักบวชและผู้คนที่ยังหนีไปไม่หมดดังขึ้น โลกกำลังสั่นสะเทือน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ฉันกับเลออนจะปลอดภัยดี แม้จะบอกว่าเป็นเกราะที่ราธบันสร้างขึ้นแต่ก็ขัดขวางการถล่มของพื้นดินไม่ได้ ขณะที่คิดว่ากำลังจะร่วงลงไป ร่างกายของฉันกับเลออนก็ลอยเคว้งขึ้นไปกลางอากาศ
“…?”
ฉันเหลียวมองด้วยความตกใจ เลออนยิ้มพลางกล่าว
“แผ่นประกาศิตเวทมนตร์น่ะ นอกจากอันนี้ข้าก็มีอาร์ติแฟกต์อันอื่นด้วย โชคดีจริงๆ ที่ข้ามีเงินกับอำนาจ เลยใช้ของพวกนี้ได้ตามใจ”
เขากล่าวเช่นนั้นแล้วโยนกระดาษที่อยู่ในมือ กระดาษโบกพลิ้วไหวอยู่กลางอากาศราวกับมีชีวิต
แม้ฉันจะรู้มาบ้างว่าประเทศที่ทำสงครามจะระดมจอมเวทมาเพื่อสร้างของวิเศษที่ช่วยให้คนทั่วไปสามารถใช้เวทมนตร์ได้ แต่ใครจะไปนึกว่าจะได้มาเห็นในสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก
เลออนกอดฉันแล้วบินขึ้น ก่อนจะพาฉันไปตรงจุดที่ห่างออกไปสักพัก ตอนนั้นเอง ฉันถึงเห็นภาพของแอสรัน พระเจ้าบรรพกาล และราธบันได้เต็มตา
เมื่อเห็นภาพที่ทุกคนยุ่งเหยิงพัวพัน ฉันถึงได้รู้สึกโกรธขึ้นมา
“อีเบลลีน่า!”
แม้เลออนจะมีสีหน้าแปลกใจเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาอธิบายให้ฟัง เบื้องหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดำมืดในทันใด หากเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะรู้สึกตื่นตระหนก แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
“ยอดไปเลยนะเนี่ย”
ฉันหมุนตัวกลับไปเมื่อได้ยินเสียงนั้น อีเบลลีน่ากำลังมองฉันด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ พอเห็นนางฉันก็รู้ได้ทันที บัดนี้อำนาจการควบคุมร่างกายนี้อยู่ในมือของฉันโดยสมบูรณ์ บางทีมันอาจเป็นเพราะอีเบลลีน่ายอมแพ้ไปแล้ว
สถานที่ที่เต็มไปด้วยความมืดมนแห่งนี้มีรอยร้าวอยู่ทุกแห่งราวกับกระจกแตก คล้ายกับกำลังบอกว่าอีเบลลีน่าไม่อาจอดทนอยู่ในร่างกายนี้ได้อีกต่อไป
“…เธอ”
ฉันเข้าไปใกล้อีเบลลีน่าแล้วคว้าคอเสื้อ นางไม่ต่อต้านเลยสักนิดและถูกลากมาตามมือของฉันอย่างว่าง่ายคล้ายกับว่าไม่มีความคิดที่จะหลีกหนี
“ไม่นึกเลยว่าปีศาจจะยอมตายเพื่อจะช่วยเจ้าด้วย…!”
เพี้ยะ! ใบหน้าของอีเบลลีน่าหันไปก่อนที่นางจะได้พูดจบ นางยกมือขึ้นลูบแก้มของตนเองแล้วจ้องมาที่ฉันราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองถูกตบ ฉันออกแรงจับคอเสื้อนางแน่นขึ้นพลางกล่าว
“ฉันอยากจะตบเธอแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว”
อีเบลลีน่าจ้องฉันด้วยใบหน้าปากอ้าตาค้าง ฉันรู้ว่าการล้างแค้นของอีเบลลีน่าไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะพูดอะไรได้ รวมถึงเรื่องที่ช่วงเวลาอันน่าหวาดกลัวที่นางต้องอดทนอดกลั้นเป็นสิ่งที่ฉันผู้ไม่เคยประสบด้วยตนเองไม่อาจวัดได้ตามใจชอบว่ามันหยั่งลึกลงไปมากแค่ไหน
แต่แอสรันเป็นคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแก้แค้นของนางแม้แต่น้อย
ฉันนึกถึงครั้งหนึ่งที่ฉันเคยเรียกเขาว่าตัวผู้ของข้าเพื่อปลอบโยนเขา แม้ท่าทางที่อีกฝ่ายวางศีรษะลงบนหัวเข่าของฉันทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นราวกับอารมณ์ดีจะทำให้รู้สึกอึดอัดใจ แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดมัน เหตุผลที่มุมหนึ่งของหัวใจรู้สึกหนักอึ้งทุกครั้งที่มองเขามีเพียงข้อเดียว นั่นเพราะเขามอบความชอบพอที่ฉันไม่อาจให้คืนกลับไปได้มาให้
ถึงจะเป็นเพราะข้อตกลงแต่เขาก็อ่อนโยนมากกว่าที่จำเป็น แน่นอน แม้ว่าเขาจะกล่าวว่าอยากฆ่าคนอื่นจนทำให้หวาดเสียวอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยเอาชนะคำขอที่ฉันห้ามเอาไว้ได้เลยสักครั้ง ตอนนี้เมื่อได้มาเห็นร่างเดิมของเขา ฉันถึงได้รู้ว่าฉันไหว้วานสิ่งต่างๆ ที่ไร้สาระแก่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน
สิ่งที่ฉันไหว้วานกับเขาไม่ใช่เรื่องที่เขียนลงในกระดานชนวน เพราะฉะนั้นเขาจะลากฉันไปเสพสุขเพื่อให้ฉันตั้งท้องลูกของเขาเลยก็ได้ แต่เมื่อมองร่างเดิมของเขา การกระทำต่างๆ ที่เขาทำเพื่อฉันมาจนถึงตอนนี้อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่ายากเย็นแสนเข็ญ
ตัวตนที่แข็งแกร่งมากกลับหลงรักสิ่งที่แสนจะอ่อนแอ จนถึงกับไม่ปฏิเสธการหมอบตัวและก้มหัวให้อย่างยินดี และตอนนี้เขากำลังจะสละชีวิตของตนเองเพื่อคนไร้ค่า
“จากนี้ไปเธอไม่มีทางใช้งานฉันได้ตามใจชอบอีกแล้ว”
ฉันจ้องอีเบลลีน่าเขม็งพลางกล่าว
“เจ้าก็แค่แสร้งทำตัวเป็นข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดเยือกเย็นของอีเบลลีน่า ฉันก็ตอบกลับทันที
“ไม่ใช่ เธอต่างหากที่แสร้งทำตัวเป็นฉัน”
ทันใดนั้น เจ้าของร่างกายก็ถูกกำหนดแล้ว
ตอนที่ฉันแสร้งทำตัวเป็นอีเบลลีน่า ร่างกายนี้เป็นของอีเบลลีน่า ทว่า ในวินาทีที่อีเบลลีน่าแสร้งทำตัวเป็นฉัน ร่างกายนี้ก็ได้กลายเป็นของฉันแล้ว
และฉันก็ไม่มีความคิดที่จะวางตัวเป็นอีเบลลีน่าอีกต่อไป
ตราบใดที่ฉันใช้ชีวิตเป็นตัวเอง ฉันก็จะสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องถูกใครบงการ พูดสิ่งที่คิดออกมาได้ตามประสงค์ และทำสิ่งที่ฉันต้องการได้
“ตอนนี้เธอไม่อาจบงการฉันได้อีกเป็นครั้งที่สองแล้ว”
คำพูดของฉันทำให้ความเร็วในการทำลายจิตใต้สำนึกของอีเบลลีน่าเร็วมากยิ่งขึ้น แสงสาดส่องเข้ามาในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความมืด ฉันปล่อยมือที่จับคอเสื้อของอีเบลลีน่าออก ภาพของนางเริ่มเลือนราง แม้ร่างกายจะไม่ตาย แต่บัดนี้เวลาของวิญญาณของอีเบลลีน่าเหลืออีกไม่นานแล้ว นางไม่ได้มีความอาลัยต่อร่างกายตั้งแต่แรก เมื่อรู้ว่าล้มเหลวในการใช้แอสรันเพื่อทำให้แผนการของตนเองสำเร็จ นางก็ปล่อยวางสิ่งที่ค้างคาที่เกาะกุมร่างกายไว้ทั้งหมดได้ทันที
“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องใช้ร่างกายนี้อีกแล้ว”
อีเบลลีน่ากล่าวเช่นนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรง และกำลังจะหมุนตัวไปราวกับไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้ว ตอนนั้นเองพลันมีเสียงดังทะลุเข้ามาในหู
“พี่สาว!”
พี่สาว?
เสียงที่ดังขึ้นมาจากความเป็นจริง ทำให้ฉันได้สติกลับมาทันที เมื่อกะพริบตาซ้ำๆ ก็เห็นเลออนกำลังคว้าฉันไว้ด้วยใบหน้าเป็นกังวล
“ลีน่า? ได้สติหรือยัง?”
“ข้าไม่เป็นไร แต่ใคร…!”
ทันทีที่หันหน้ากลับไป ฉันก็ต้องกลั้นหายใจ บนพื้นดินที่แตกร้าวมีคนที่ฉันรู้จักดีอยู่
“อีเบลลีน่า”
ตอนนี้อีกฝ่ายไม่อาจยิ้มไปอีกต่อไปและเอ่ยเรียกฉันด้วยสีหน้าประหนึ่งปีศาจร้าย แต่สิ่งที่ฉันตกใจไม่ใช่เขา หญิงสาวผอมแห้งที่ถูกเขาจับและถูกมีดจี้คอ เมื่อเห็นนาง ฉันก็รู้ได้ทันทีว่านางคือใคร
“…อีริส”
ก่อนที่คำพูดพึมพำที่ราวกับเสียงครางจะจบลง อีริสก็ยื่นมือมาทางฉันแล้วตะโกนขึ้น
“พี่สาว! พี่สาว!”
“…พี่สาว?”
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดอีริสถึงเรียกฉันว่าพี่สาว คาร์ลตะโกนขึ้นราวกับจะช่วยคลายข้อสงสัยให้กับคำถามของฉัน
“ไม่ทักทายกันหน่อยหรือ? นี่คือน้องของเจ้าที่แม่ของเจ้าหอบไปด้วยตอนหนีไป”
“หมายความ…”
อีริสเป็นน้องสาวของอีเบลลีน่าอย่างนั้นเหรอ? นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
“ไม่แปลกใจ…พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางเข้าไปในร่างกายของใครมั่วซั่วอยู่แล้ว ทั้งพี่ทั้งน้องคงจะรักกันมากกระมังถึงได้ถูกเลือกจากพระเจ้า”
คาร์ลยังคงตะเบ็งเสียงใส่ฉันที่ยังไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ต่อไป
“ข้าจงใจบอกว่าพ่อกับแม่ของเจ้าขอเงินและทิ้งเจ้าไปก็เพื่อให้เจ้าพึ่งพาและเชื่อแต่วิหารหลวง! ที่บอกว่าติดต่อไม่ได้แล้ว อันที่จริงเป็นเพราะข้ารำคาญที่ในอนาคตพวกเขาอาจจะโผล่มาอ้างว่าเป็นพ่อกับแม่ของนักบุญหญิงจึงตั้งใจจะฆ่าทิ้งเสีย แต่พวกเขาตระหนักได้เลยหนีไปต่างหาก!”
ได้ยินดังนั้น อีริสก็จ้องคาร์ลโดยไม่อาจหุบปากได้
“เพราะอย่างนั้น…พ่อกับแม่ก็เลยไปวิหารไม่ได้…และอาศัยอยู่แต่ในที่ที่ไม่มีวิหาร หรือว่า…”
บันทึกเกี่ยวกับครอบครัวของอีเบลลีน่าที่เคยอ่านเมื่อก่อนพลันผุดขึ้นมา มันเขียนไว้ว่าบุพการีของนางถือว่าตนเป็นผู้ปกครองของนักบุญหญิงจึงรีดไถเงินจากวิหาร และหลังจากได้รับเงินไปเป็นจำนวนมากก็ไม่เคยมาพบนางอีกเป็นหนที่สอง แต่ความจริงกลับไม่ใช่ แต่เป็นเพราะคาร์ลตั้งใจจะฆ่าเลยหนีไปอย่างนั้นเหรอ?
ไม่น่าแปลกใจที่เขาทำเรื่องแบบนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าอีริสได้รับการกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวง
“แต่อย่างไรเรื่องที่พวกเขาทิ้งเจ้าก็เป็นเรื่องจริง จนถึงตอนนี้…”
“ไม่ใช่สักหน่อย!”
อีริสที่ถูกจับอยู่ในมือของคาร์ลแผดเสียงดัง
“ไม่ใช่! พ่อกับแม่สวดภาวนาทุกวัน! ถึงจะไม่ไปวิหารแต่ก็สวดภาวนาให้พี่สาวทุกวัน! แม้แต่ในตอนที่ต้องหนีออกจากที่ที่อาศัยอยู่เพราะถูกปีศาจตามล่า! เพราะงั้นในตอนที่ต้องนอนในหุบเขา พวกท่านก็ยังสวดภาวนาเช้าสายบ่ายเย็นโดยไม่เคยตกหล่นเลยสักครั้ง!”
อาจเป็นเพราะดิ้นไปมา มีดที่เล็งไปที่คอของอีริสจึงบาดคอของนางจนเลือดไหล เมื่อเห็นดังนั้น ฉันถึงได้รู้ว่าอีริสยังใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็น
‘เป็นเหมือนฉันเหรอ’
ตอนที่ฉันเข้ามาในร่างของอีเบลลีน่าครั้งแรก ถึงแม้จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็ตาม แต่ฉันไม่รู้วิธีการใช้มันอย่างถูกต้อง นั่นทำให้ฉันนึกถึงตอนที่ขัดขวางชีเดลไม่ได้ขึ้นมา สถานการณ์ของอีริสเองก็คล้ายคลึงกัน หากสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างถูกต้อง นางก็คงป้องกันมีดเล่มนั้นได้ไม่ยาก
“นี่มันอะไรกัน…”
ฉันเองก็งงงันไม่ต่างไปจากเสียงของเลออนที่งงงัน ฉันย้อนนึกถึงหนังสือที่ได้อ่านก่อนตาย ในหนังสือเล่มนั้นไม่มีเนื้อหาแบบนี้ที่ไหนเลย
“…น้อง?”
ตอนนั้นเอง เสียงของอีเบลลีน่าก็ดังขึ้นมา ฉันรู้ได้ทันทีที่ได้ยิน เสียงของนางกำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรงต่างจากที่เคยได้ยินมาจนถึงตอนนี้
“ข้ามีน้องสาวอย่างนั้นหรือ…?”
ขณะที่จิตสำนึกของอีเบลลีน่ากำลังแตกสลายอย่างสิ้นเชิง ฉันก็พบว่าตนเองสามารถเห็นความทรงจำทั้งหมดของนางที่แอบซ่อนไว้มาตลอดได้ ภาพเหตุการณ์หลายฉากแล่นผ่านในหัวในเวลาอันสั้น
ภาพที่อีเบลลีน่าวัยเด็กมาวิหารครั้งแรกแล้วเอาแต่ร้องไห้จะหาพ่อกับแม่ทั้งวัน
ภาพที่นางพยายามสะกดกลั้นความผิดหวังในตอนที่รู้ว่าวันเกิดของตนไม่ใช่วันที่เกิดออกมาแต่เป็นวันที่มายังวิหารหลวง
รวมถึงภาพที่นางเหม่อมองหญิงสาวร้องไห้ขณะกล่าวว่าค่อยยังชั่ว หลังจากที่นางเห็นหญิงสาวร้องขอให้ช่วยชีวิตลูกสาวที่ใกล้ตายตน นางจึงเข้าไปช่วยเด็กคนนั้นแม้นักบวชจะทัดทาน
ท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านั้นก็มีภาพของคาร์ลโผล่ขึ้นมาหลายครั้ง เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นภาพที่อีเบลลีน่าคิดถึงครอบครัว ก็จะกล่าวคำโกหกอันแสนเยือกเย็นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน บอกให้ลืมพ่อกับแม่ที่ทิ้งท่านไปได้แล้ว บอกว่าท่านไม่มีครอบครัว
“…ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ”
ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงของฉัน คาร์ลก็หัวเราะ
“ใช่ เพราะแบบนั้นเจ้าถึงจะได้เชื่อฟังและยึดติดข้ามากขึ้นอย่างไรเล่า”
ในจิตใต้สำนึก อีเบลลีน่าส่งเสียงกระหืดกระหอบ มันคือเสียงที่เปล่งออกมาเพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมและโกรธจนทำอะไรไม่ได้กระทั่งร้องไห้ต่อความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ ในตอนนั้นเอง
ตูมมม!
เสียงดังสนั่นจนแสบหูดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างของแอสรันตกลงบนอาคารตรงหน้าฉัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าลำแสงของพระเจ้าบรรพกาลกำลังพันรอบแอสรันอยู่ แม้พลังเวทสีแดงจะเข้ามาสกัดกั้นลำแสงนั้นจากทั่วสารทิศ แต่ก็เห็นว่าหลายส่วนในร่างของแอสรันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองแล้ว
ราธบันฟันลำแสงของพระเจ้าบรรพกาลอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อช่วยแอสรัน ทว่าพระเจ้าบรรพกาลกลับพันล้อมรอบแอสรันต่อไปโดยไม่สนว่าร่างกายของตนเองถูกตัดขาดราวกับต้องการให้แอสรันตายก่อน
กร๊าซซซ!
เสียงร้องของสัตว์เดรัจฉานดังขึ้นพร้อมกับที่แอสรันดิ้นไปมาเพราะลำแสงที่พันขาของเขาไว้
อาคารไม่อาจทานทนต่อร่างกายที่ใหญ่โตของเขาและถล่มลง เมื่อพลังของแอสรันและพระเจ้าบรรพกาลตกกระแทกพื้นอย่างไร้ความปรานี พื้นดินก็สั่นสะเทือนและแตกร้าวราวกับเกิดแผ่นดินไหวอีกครั้งทันที นั่นทำให้ร่างกายของทุกคนที่ยืนอยู่สั่นคลอน เลออนรีบดึงฉันเข้าไปกอด หากไม่ได้ใช้แผ่นประกาศิตอยู่ล่ะก็ ฉันคงจะกลิ้งไปกับพื้นแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือนอย่างวุ่นวาย เอนเอียงและถล่มลง นั่นไม่เว้นแม้แต่คาร์ลและอีริส
ร่างของคนทั้งสองกลิ้งลงไปใต้พื้นที่ทรุดตัว
“อีริส!”
ฉันเรียกนางและเอื้อมมือออกไปหาโดยไม่รู้ตัว เมื่อคาร์ลที่ตั้งสติได้ก่อนเห็นท่าทางของฉันก็คว้าผมของอีริสและลากมา ก่อนตะโกนใส่ฉัน
“ถ้าเจ้าอยากพบน้องสาวทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ส่งแผ่นประกาศิตที่อยู่กับองค์ชายรัชทายาทมาเสีย!”
“…!”
ได้ยินดังนั้น ฉันก็มองเลออน
“…ลีน่า”
เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“ตอนนี้แผ่นประกาศิตมีแค่แผ่นเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะอันตรายไปมากกว่านี้ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด นั่นเพื่อแอสรันและราธบันนะ”
ไม่รู้ว่าได้ยินคำพูดนั้นหรือไม่ คาร์ลถึงได้ตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“นั่นยิ่งดีเลย! ยังไม่รีบส่งมาอีก!”
ปลายมีดของคาร์ลแทงเข้าไปที่คอของอีริส เลือดไหลพรากออกมาจากคอของนางมากกว่าเมื่อครู่ก่อน อีริสจ้องคาร์ลที่จับตนไว้เขม็งและแผดเสียง
“ไม่ได้! รีบหลบไป! รีบหนีไป!”
“…!”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีริส ฉันก็สัมผัสได้ว่ามือของฉันกระตุกเล็กน้อย
‘อีเบลลีน่า…?’
แม้จะสูญเสียอำนาจการควบคุมร่างกายไปหมดแล้ว แต่อีเบลลีน่าก็ยังพยายามขยับร่างกาย ฉันรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องถามว่านางพยายามจะทำอะไร นางพยายามที่จะจับแผ่นประกาศิตในมือของเลออน ทว่า นั่นคือความพยายามครั้งสุดท้ายของนาง เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเงียบๆ ของนางดังขึ้นมาในหัว
นางคงจะอยากขอให้ฉันช่วยอีริส แต่เมื่อครู่ก่อน นางได้ละทิ้งร่างกายของตนและกล่าวกับฉันแล้ว นางไม่เหลือเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องใช้ร่างกายนี้อีกแล้ว
อีเบลลีน่ากำลังหวาดกลัว กลัวว่าขณะที่นางร้องขอให้ช่วยอีริส ฉันจะมองข้ามและออกจากที่ตรงนี้ไป
“รีบส่งมาเสีย!”
คาร์ลมองฉันที่อยู่นิ่งพลางตะโกนขึ้นด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
ฉันเงยหน้าขึ้นกวาดตามองรอบข้าง ราธบันและแอสรันกำลังสู้เพื่อฉันโดยเอาชีวิตเป็นประกัน เลออนเองก็เสี่ยงอันตรายมาที่นี่เพื่อช่วยฉัน เมื่อคิดถึงความพยายามของทั้งสาม ฉันควรจะรีบออกไปจากที่นี่ถึงจะถูก
‘แต่อีริส…’
ฉันจำได้ว่าที่ผ่านมาฉันกลัวมากแค่ไหนกับความจริงที่ว่านางปรากฏตัวขึ้น สำหรับฉัน อีริสก็มีความหมายไม่ต่างจากความตาย เพราะฉันคิดว่าเมื่อใดที่นางปรากฏตัวขึ้น เรื่องราวทั้งหมดก็จะกลับไปสู่เส้นทางเดิม
ทว่า ฉันพบว่าตอนนี้ทุกอย่างต่างไปจากเดิมแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นน้องสาวของอีเบลลีน่าไม่ใช่ฉัน หรือต่อให้ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ทำไมฉันต้องยอมเสี่ยงอันตรายเพื่ออีริสด้วย?
เมื่อเห็นฉันยังคงไม่ขยับเขยื้อน คาร์ลก็กระสับกระส่าย ตอนนั้นเอง
“อั้ก!”
อีริสหมุนตัวไปแล้วเตะขาของคาร์ลอย่างแรง
“ปล่อย!”
อีริสตะโกนขึ้นมาเสียงสั่นเครือโดยไม่แม้แต่จะแยแสปลายมีดที่เฉียดผ่านลำคอของตนเอง
“ข้าบอกว่าจะคืนพลังศักดิ์สิทธิ์ให้พี่สาวไง! ไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย นักบุญหญิงตัวจริงคือพี่ต่างหาก!”
เสียงร้องโอยดังขึ้นพร้อมกับร่างของคาร์ลซวนเซอย่างรุนแรงและมือที่จับผมของอีริสหลุดออก ร่างของอีริสม้วนกลิ้งไปบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“นางนี่!”
คาร์ลยกมือที่ถือกริชขึ้นสูงราวกับบัดนี้ไม่สนใจอีกแล้วว่าจะเป็นอย่างไร ทันใดนั้น ฉันก็เอื้อมมือออกไปฉวยแผ่นประกาศิตในมือของเลออนออกมา
“ลีน่า!”