หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 21 เสียสละ
อีเบลลีน่าตายแล้ว
อีเบลลีน่าที่ใฝ่ฝันอยากตายถึงเพียงนั้นทิ้งร่างกายและความทรงจำเอาไว้ และจากโลกนี้ไปแต่ดวงวิญญาณ ทั้งที่คนที่เกลียดฉันและคนที่ฉันเกลียดหายไป แต่ฉันกลับเอาแต่ร้องไห้ ฉันรับรู้ได้ว่านางคิดอะไรตอนที่จากไป
นางไม่ได้ถูกพ่อกับแม่ทอดทิ้ง นางมีคนที่คอยเป็นห่วงตนเองอยู่เสมอ
ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต อีเบลลีน่ากำลังยิ้ม
“พี่สาว…?”
อีริสมองฉันที่กำลังร้องไห้ ก่อนจะส่ายหัว
“ไม่ใช่…เจ้าไม่ใช่…พี่ของข้า…”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายเคยดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ไปครั้งหนึ่งจึงทำให้นางรู้ หรืออาจเพราะเป็นพี่น้องกัน ฉันกล่าวเมื่อตระหนักได้ว่าการแสร้งทำตัวเป็นพี่สาวกับอีกฝ่ายแทนอีเบลลีน่ามันเป็นความคิดที่ไร้สาระเพียงใด
“…อีเบลลีน่าจากไปแล้ว”
ได้ยินดังนั้น อีริสก็เบิกตากว้าง นางเพิ่งเข้าใจว่าคำว่าลาก่อน[1] ที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อนหมายถึงการจากลา
“นี่มันหมายความว่า….”
“อีริส ข้ามีเรื่องจะเล่าให้เจ้าฟังเยอะเลย”
ความทรงจำที่อีเบลลีน่าทิ้งไว้ก่อนจากไป นางโกรธแค้นพ่อกับแม่และคิดถึงพวกท่านมากเพียงใด นางคิดอย่างไรกับน้องสาวที่ได้พบเจอกันในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ฉันอยากบอกเล่าคำพูดที่อีเบลลีน่าไม่ได้กล่าวออกมาให้นางฟัง
ฉันมองเลออนที่กอดอีริสอยู่ เขาสบตากับฉัน ก่อนจะเปิดปากพูด
“ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านเป็นใครในเมื่อท่านบอกว่าไม่ใช่อีเบลลีน่า แต่ว่า…”
เขายิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าวต่อไป
“ข้ารู้ว่าท่านคือคนที่ข้ารักมาตลอด ลีน่า”
ได้ยินดังนั้น ฉันก็ตอบเขาด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกัน
“…ขอบคุณนะเลออน จบเรื่องทุกอย่างแล้วข้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังเช่นกัน”
เลออนค่อยๆ วางอีริสลง เดินเข้าไปหาคาร์ลที่ร้องครวญครางอยู่บนพื้น แล้วเหยียบเอวเขาไว้ เสียงร้องโหยหวนไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานดังขึ้น ฉันเบือนหน้าหนีจากของสกปรกและอัปมงคล เกราะกำลังอ่อนแอลง เมื่อใดที่สิ่งนั้นแตกออก พระเจ้าบรรพกาลก็จะพุ่งเข้ามาฆ่าร่างกายนี้
‘ฉันไม่อยากตาย’
คำขอเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันเคยมีในโลกใบนี้ ทว่า บัดนี้ต่างไปแล้ว
ฉันไม่อยากตาย ไม่สิ ฉันอยากมีชีวิตอยู่ อยากเห็นและยังอยากรู้สิ่งต่างๆ อีกมากมาย
ร่วมกับคนที่รักฉัน
ฉับพลัน เกราะพลังศักดิ์สิทธิ์ก็แตกออก แสงสีทองของพระเจ้าบรรพกาลปกคลุมทั่วฟากฟ้า
จุดจบกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
***
ทันทีที่รับรู้ได้ถึงเกราะป้องกันที่ล้อมรอบตน แอสรันก็ยิ้มออกมา แต่พอนึกดูแล้ว ด้วยเพราะรูปลักษณ์เดิม จึงไม่มีใครรับรู้ถึงรอยยิ้มของเขา
‘พลังศักดิ์สิทธิ์กลับมาหานางแล้ว’
เขาเป็นปีศาจ ดังนั้นจึงเกลียดพลังศักดิ์สิทธิ์มาตลอด พลังที่ไม่เข้ากันกับตน มันคงเป็นความต่อต้านที่มีขึ้นตามสัญชาตญาณต่อพลังที่สามารถทำร้ายตนเองได้ พลังที่เขาไม่เคยรู้สึกยินดีแม้แต่ครั้งเดียวตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่มีชีวิตมาได้กลายเป็นเรื่องธรรมชาติแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
แอสรันมองเกราะป้องกัน แม้จะเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งกล้าเพียงใด อย่างไรก็ย่อมมีขีดจำกัด ตอนนี้เกราะป้องกันกำลังค่อยๆ หม่นแสงเพราะพระเจ้าบรรพกาลดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แส้แสงยังกระแทกกับแสงสีฟ้าครามต่อไป แสงสีฟ้าครามที่มั่นคงจนถึงเมื่อครู่ก่อนกำลังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองแล้ว
แอสรันเกลียดการรอคอย ความอดทนอดกลั้นของเขามีไว้เพื่อคู่ชีวิตของเขาเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นสิ่งที่พยายามจะทำร้ายคู่ชีวิตของเขา ไม่มีเหตุผลให้ต้องรอแล้วค่อยโจมตี
เขารู้ว่าไม่มีทางชนะ แต่กระนั้นก็ไม่อาจถอยได้ เมื่อใดที่เขาถอย มันก็จะพยายามฆ่านางตาม ‘สัญญา’
เขาไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรจึงจะช่วยชีวิตนางได้ ดังนั้นแอสรันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ แอสรันกระโดดขึ้นฟ้า แล้วกัดร่างของพระเจ้าบรรพกาลที่พยายามจะทำลายเกราะป้องกัน ส่วนหนึ่งของร่างพระเจ้าบรรพกาลพันรอบคอของเขาในทันใด ชั่วขณะที่ความเจ็บปวดแสนสาหัสมาพร้อมกับสติที่เริ่มเลือนราง พลังงานเฉียบคมจากเบื้องล่างพลันตัดผ่านร่างของพระเจ้าบรรพกาล แอสรันสะบัดหัวอย่างแรงพลางมองไปด้านล่าง
‘ราธบัน’
ไอ้ลูกหมาหัวดำกำลังโจมตีพระเจ้าบรรพกาลอย่างไม่หยุดพัก ผู้บัญชาการอัศวินที่สามารถประจันหน้ากับปีศาจ บัดนี้ถึงกับกำลังประจันหน้ากับพระเจ้าจากมิติอื่น แอสรันมองราธบันแล้วก็พบว่าตนกำลังรู้สึกหงุดหงิด แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกวางใจ
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของแอสรันที่ได้เผชิญหน้ากับศัตรูร่วมกับตัวตนอื่น และบางทีนี่อาจจะกลายเป็นครั้งสุดท้ายด้วยก็ได้
ถือเป็นเรื่องแทบจะเรียกได้ว่าปาฏิหาริย์ที่ตอนแรกเขาอดทนกับพระเจ้ามาได้จนถึงตอนนี้ แต่นั่นเพราะเจ้าพวกนั้นเป็นตัวตนที่ครอบครองพลังจากมิติอื่นที่เรียกว่าอำนาจไม่ใช่หรือไง
‘รู้แล้วอย่างไร’
แอสรันถุยเศษซากของพระเจ้าที่อยู่ในปากแล้วสะบัดหัวด้วยความหงุดหงิด แล้วเขาก็สังเกตเห็น ชิ้นส่วนของพระเจ้าที่เขาถุยออกมากำลังคลานไปยังทิศทางหนึ่ง
แอสรันกระโดดขึ้นไปอีกครั้ง กัดทึ้งร่างส่วนหนึ่งของพระเจ้าบรรพกาล จากนั้นจงใจเขวี้ยงออกไปไกลๆ ทันใดนั้น เจ้าสิ่งนั้นก็คายสิ่งของที่ดูดซึมไปเหมือนเมื่อครู่ก่อนแล้วคลานกลับมาหาร่างเดิมของพระเจ้าอีกครั้ง
“แอสรัน!”
ราธบันเห็นภาพนั้นแล้วตะโกนขึ้น แอสเองก็รู้เช่นกัน รูปลักษณ์ของพระเจ้าบรรพกาลที่ใกล้เคียงกับก้อนแสงทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าจุดอ่อนของมันอยู่ตรงไหน และไม่รู้กระทั่งว่าฟันส่วนไหนไป ทว่าตอนนี้ทั้งสองเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วว่าร่างของมันมีส่วนที่เป็นแกนกลาง
ราธบันและแอสรันโจมตีไปยังทิศทางที่เศษชิ้นส่วนของพระเจ้าที่ถูกตัดกำลังกลับไปพร้อมกัน
ฟันของแอสรันคาบแสงแล้วฉีกกระชาก ดาบของราธบันฟาดฟันแสง ก้อนพลังสีทองปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสีทองที่แตกร้าว และขณะที่เหนือก้อนนั้นเกิดบาดแผลขนาดเล็กขึ้นนั่นเอง
“…!”
เสียงร้องที่ดังก้องในหัวสั่นสะเทือนไปทั้งโลก
‘เจอแล้ว!’
ราธบันปรับท่าจับดาบอีกครั้ง แล้วจ้องพระเจ้าบรรพกาลเขม็ง จนถึงตอนนี้เขารู้สึกเหมือนฟันน้ำมาตลอด ไม่ว่าจะฟาดฟันไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็ไม่รู้สึกว่ามันสร้างความเสียหายใด นอกจากช่วยสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของพระเจ้าบรรพกาลเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าตอนนี้พระเจ้ากำลังแสดงการตอบสนองที่มีความหมายเป็นครั้งแรก
ฉับพลัน พระเจ้าบรรพกาลที่ดูเหมือนก้อนเละๆ ก็ดูคล้ายกำลังสั่นสะท้าน ก่อนจะขยายร่างของตนเอง
“…!”
ราธบันมองท้องฟ้าเมื่อเห็นพระเจ้าบรรพกาลเปลี่ยนรูปร่างอย่างกะทันหัน พระเจ้าบรรพกาลทำลายเกราะป้องกันอย่างรวดเร็ว และเมื่อมันขยายร่างขึ้นไปบนฟ้า ราธบันก็รู้แล้วว่ามันกำลังมุ่งหมายสิ่งใด
ความตายของลีน่า
พระเจ้าบรรพกาลตัดสินใจจดจ่อกับเป้าหมายมากกว่าจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่มาขวางทางตน
ราธบันกัดฟันพลางมองแสงสีทองของพระเจ้าบรรพกาลที่แผ่ขยายออกไปราวกับจะปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า ตอนนั้นเอง
‘ไอ้ลูกหมาขนดำ’
ไม่ใช่ว่าเรียกชื่อกันแล้วหรือ กลับมาเรียกไอ้ลูกหมาอีกแล้ว ราธบันมองแอสรันเพราะเสียงนั้น
‘เห็นจุดอ่อนของมันแล้วใช่ไหม’
ได้ยินดังนั้น ราธบันก็พยักหน้า ก้อนพลังที่ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากทองคำก็คือจุดอ่อนของมัน
‘เจ้าไปฟันมันเสีย’
แอสรันพูดอย่างเฉยเมยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แน่นอนถ้ามันอยู่ตรงหน้าเขาก็คงฟันไปแล้ว แต่เขาจะเข้าใกล้แก่นของพระเจ้าตนนั้นที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าแบบนั้นได้อย่างไร พอคิดได้ถึงตรงนั้น ราธบันก็มองแอสรันอย่างตกใจ
“นี่เจ้า…!”
วินาทีต่อมา แอสรันก็อ้าปากของตนเองกลืนราธบันเข้าไป แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
พระเจ้าบรรพกาลตระหนักได้ว่าแอสรันกำลังมุ่งหน้ามาทางแก่นพลังของตน จึงรีบดึงร่างที่ขยายออกไปกลับมา แล้วครอบลงบนตัวแอสรันที่พุ่งเข้ามาหา
“…!”
ต่างจากที่พยายามหลบหลีกมาตลอด ปีศาจไม่หลบการโจมตีของพระเจ้าอีกต่อไป นัยน์ตาสีแดง ขนสีแดง เท้าขนาดใหญ่ และร่างกายของสัตว์ถูกย้อมไปด้วยแสงสีทองอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่อาจอธิบายอารมณ์ของพระเจ้าออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้ แต่ความรู้สึกที่พระเจ้าบรรพกาลรู้สึกตอนนี้เรียกได้ว่าใกล้กับความยินดี
ในที่สุด ตัวตนที่ต่อต้านอำนาจของมันอย่างเหนียวแน่นก็กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งมันแล้ว พระเจ้าบรรพกาลโอบล้อมร่างของปีศาจราวกับโอบกอดอย่างปลื้มปิติ ดังนั้นมันจึงไม่ได้สังเกตกระทั่งว่าปากของปีศาจกำลังเข้าใกล้แก่นพลังของตนเอง
ทุกอย่างกำลังละลาย กระดูกและกล้ามเนื้อกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าบรรพกาลอย่างรวดเร็ว แต่แอสรันยังหลงเหลือสติอยู่ เขาอาศัยเพียงประสาทสัมผัสของตนเอง ใช้พลังทั้งหมดเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดในร่างของพระเจ้าบรรพกาล และทันทีที่รู้ว่ามาถึงจุดที่ก้อนพลังดำรงอยู่แล้ว แอสรันก็อ้าปากที่เป็นส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในร่างออกกว้าง
ราธบันไม่พลาดช่วงเวลานั้น ทันทีที่ปากของแอสรันอ้าออก เขาก็ฟันก้อนพลังสีทองที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่รั้งรอ พลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามซึ่งเป็นพลังของพระเจ้าที่ปกป้องดินแดนแห่งนี้ได้ฟาดฟันพระเจ้าของโลกใบอื่นแบบนั้น
เกิดการระเบิดพลังครั้งใหญ่
ร่างของพระเจ้าบรรพกาลยุบตัวลง แสงสีทองที่ปกคลุมโลกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วงหล่นลงเบื้องล่างราวกับเม็ดทราย แล้วสลายหายไปก่อนจะได้สัมผัสพื้น
ราธบันตกลงบนพื้นพร้อมกับหัวขนาดใหญ่ของสัตว์เดรัจฉานที่หลอมละลาย แม้จะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกป้องร่างกายก่อนตกกระแทกพื้นไว้แล้ว แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะป้องกันแรงสะเทือนได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่สำคัญตอนนี้ไม่ใช่อาการบาดเจ็บทางร่างกาย เขารีบสำรวจดูอาการของแอสรัน ไม่ว่าจะมองอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่เหลือความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อเลยแม้แต่น้อย
ปีศาจที่เขาไม่อยากเห็นหน้า ปีศาจที่อยากจะสังหารเขาในวิหารหลวงจากใจจริงอยู่เสมอ ปีศาจที่เก็บลีน่าไว้ราวกับเป็นของของตนเอง
ไม่มีเหตุผลที่ราธบันจะมอบไมตรีจิตให้แอสรัน แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น ตอนนี้ราธบันกลับไม่อยากให้เขาตาย
‘นี่ยัง…ไม่จบ…หรอกนะ’
ได้ยินดังนั้น ราธบันก็เหลียวมองหลังอย่างรวดเร็ว แก่นของพระเจ้าที่ถูกตัดขาดกำลังกลิ้งอยู่ตรงนั้น มันกำลังเปลี่ยนสิ่งรอบข้างให้กลายเป็นสีเดียวกับมันอีกครั้ง
‘พาข้าไปใกล้มันที…’
“ทำไม…”
‘หากปล่อยไว้เช่นนี้…มันจะฟื้นฟูได้…เช่นนั้นแล้ว…ต้องทำให้…มันไม่ใช่พระเจ้า…’
เมื่อรู้ว่าเพื่อลีน่า ราธบันก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงร่างของแอสรันมา
ทันทีที่ดึงร่างหลอมเหลวเข้าไปวางใกล้แก่นของพระเจ้า พระเจ้าบรรพกาลที่สัมผัสได้ถึงพลังเวทของแอสรันก็รีบยืดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายของแอสรันถูกปกคลุมไปด้วยสีทองในชั่วพริบตา ราธบันที่อยู่ด้านข้างชักดาบออกมาแล้วรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ หากเกิดข้อผิดพลาดอะไร เขาจะได้ฟันมันได้ทันท่วงที
“แอสรัน! ราธบัน!”
ตอนนั้นเอง ด้านหลังพลันมีเสียงเรียกพวกเขาดังขึ้นจากที่ไกลๆ
ฉันวิ่งเข้าไปหาราธบันกับแอสรันสุดชีวิต
ไม่สิ ตอนนี้เจ้าสิ่งนั้นยังเรียกว่าแอสรันได้อยู่เหรอ? ปีศาจที่สูญเสียร่างกายไปเกือบทั้งหมดและแม้แต่หัวที่เหลืออยู่ก็ละลายไปกว่าครึ่ง? แต่ฉันเห็นนัยน์ตาของแอสรันขยับตอนที่ฉันตะโกนออกไป เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินเสียงของฉัน
“อย่าเข้ามาใกล้ขอรับ!”
ราธบันเข้ามาขวางหน้าทันทีที่ฉันเข้าไปใกล้
“หลบไปนะ! แอสรัน! แอสรัน!”
แม้ฉันจะพยายามผลักราธบันออกไป แต่เขากลับจับฉันเอาไว้โดยไม่หลีกหนีแม้แต่น้อย ฉันตะโกนใส่ราธบันด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความขุ่นเคือง
“ทำไมถึงเอาแอสรันไปใกล้มัน? แอสรัน!”
ขณะที่กำลังจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์กับเขา ฉันพลันรู้สึกผิดหวังเมื่อพบว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันไม่ช่วยอะไรกับเขาเลย เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจรักษาสิ่งที่ครอบครองพลังเวทได้ แม้จะลองสร้างเกราะป้องกัน แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดเช่นกัน
“…นั่นเป็นเรื่องที่เขาต้องการขอรับ”
“ว่าอย่างไรนะ?”
“เขาบอกว่าต้องทำให้เจ้าสิ่งนั้นไม่ใช่พระเจ้า…!”
ขณะที่ราธบันกำลังพูด ด้านหลังพลันเกิดแสงเจิดจ้า ฉันยกแขนขึ้นบังใบหน้าแล้วมองที่ที่แอสรันเคยอยู่ แสงสีทองปกคลุมพื้นดิน แต่กลับไม่ใช่สีทองทั้งหมด บัดนี้มันกำลังปรากฏแสงสีแดง แสงนั่นแผ่ขยายอย่างรวดเร็วและคว้าฉันไว้
“ท่านลีน่า!”
ราธบันพยายามจะฟันแสงที่กำลังลามขึ้นมาบนมือข้างที่ตกลงของฉัน แต่ฉันยกมือห้ามเอาไว้
แสงนี้ไม่ได้พยายามจะฆ่าฉัน ไม่สิ กลับกลายเป็นว่าแสงนี้…
“แอสรัน?”
สัมผัสที่ราวกับกำลังลูบไล้แขนอย่างอ่อนโยนนี้เป็นสิ่งที่คุ้นเคยยิ่งนัก เมื่อฉันพึมพำออกไป แสงก็เกิดการรวมตัวตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ สร้างรูปร่างที่คุ้นเคยออกมา
“…แอสรัน”
แอสรันมายืนตรงหน้าฉันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่ร่างของเขาตอนนี้โปร่งแสงราวกับกำลังบอกให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ของจริง
“นะ นี่มันยังไง…”
‘ข้ารวมร่างกับพระเจ้า พอแก่นแหลกสลายแล้ว มันก็เลยพยายามจะเติมเต็มความไม่สมบูรณ์ด้วยพลังที่แข็งแกร่งอีกครั้ง ก็เลยกินข้าเข้าไป’
แอสรันพูดออกมาอย่างไม่แยแส แต่ความหมายของคำพูดนั้นทำให้ฉันต้องอุดปาก
“ทำไมถึงได้…”
‘นี่คือพระเจ้า เป็นตัวตนที่ไม่มีวันฆ่าได้ หากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป วันหนึ่งเมื่อพลังของมันกลับมาอีกครั้งจะต้องพยายามฆ่าเจ้าอีกแน่ หากจะขัดขวางก็ต้องทำให้มันไม่ใช่พระเจ้า นี่เป็นวิธีเดียวที่ข้าคิดได้’
แอสรันมองร่างของตนเองที่สร้างขึ้นจากแสงอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อไป
‘ต่อจากนี้ข้าจะอยู่กับมันไปตลอด ทุกครั้งที่มันพยายามจะฆ่าเจ้า ข้าก็จะขวางไว้ได้’
ฉันไม่อาจพูดอะไรได้เลย ต่อให้มีพลังศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างไรฉันก็คือมนุษย์ แม้ว่าฉันจะได้รับร่างกายของอีเบลลีน่ามา แต่อย่างมากสุดก็มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่สิบปี แอสรันที่มีชีวิตอยู่อย่างไร้ขีดจำกัดได้ทอดทิ้งตัวตนของตนเองเพื่อช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าแสนสั้นสำหรับเขา
ร่างของแอสรันกำลังเลือนราง เขากำลังจะหลับไปพร้อมกับพระเจ้า
‘เพราะงั้นเจ้าจงดูสิ่งอยากดู ไปในที่ที่อยากไป อย่าลืมเสียล่ะว่าทุกย่างก้าวของเจ้า มีข้าที่คอยปกป้องอยู่’
“แอสรัน…”
สายตาพร่ามัวเพราะน้ำตาที่คลอขึ้นมา แอสรันหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นดังนั้น ก่อนจะก้มศีรษะลงมา เห็นได้ชัดว่าร่างของเขาเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่ริมฝีปากของเขาช่วยกลืนน้ำตาของฉันไป
‘ข้าไม่ได้ตายเสียหน่อย อย่าทำหน้าแบบนั้น ตอนนี้ข้าเป็นครึ่งเทพแล้ว เพราะงั้นบางคราวที่…ทวีปนี้เกิดสถานที่ที่ไม่เสถียรเพราะพลังบิดเบี้ยว ข้าก็อาจจะปรากฏร่างขึ้นมาได้ ถึงตอนนั้น…’
ฉันตอบกลับไปก่อนที่คำพูดของแอสรันจะจบ
“ข้าจะไปหา”
เป็นเพราะความรู้จากความทรงจำที่อีเบลลีน่าทิ้งไว้ ฉันจึงเข้าใจได้ว่าร่างที่เขากล่าวถึงคืออะไร สถานที่เหล่านั้นที่เกิดเรื่องมหัศจรรย์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ได้ ที่นั่นคือสถานที่ที่มีการรวมตัวกับโลกใบอื่นเมื่อพลังที่ปกปักรักษาโลกใบนี้อ่อนแอลง และในสถานที่เช่นนั้น สิ่งมีชีวิตที่ครอบครองพลังมหาศาลต่างก็หลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้และเปิดเผยร่างของตนออกมา
ฉันรู้ว่าบัดนี้สถานที่ที่สามารถพบแอสรันได้มีเพียงแค่ที่แบบนั้นแล้ว
“ข้าจะไปหาท่านเอง เพราะฉะนั้น…”
ได้ยินดังนั้น แอสรันก็คลี่ยิ้ม
‘ข้าต้องรอเจ้าอยู่แล้ว คู่ชีวิตของข้า’
นั่นคือครั้งสุดท้าย
แอสรันหายไปโดยไม่แม้แต่จะกล่าวคำลาครั้งสุดท้าย แสงของพระเจ้าบรรพกาลที่ตอนนี้กลายเป็นสีแดงค่อยๆ ซึมหายไปใต้พื้น
เรื่องทุกอย่างจบลง แสงแดดสาดส่องลงมาจากท้องฟ้าแจ่มใส ราวกับสถานที่ที่กลายเป็นซากปรักหักพังไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย
[1] ลาก่อน (안녕) อ่านว่า อัน-นยอง คำคำนี้มีความหมายได้สองบริบท มักใช้ในตอนทักทายหรือแยกจากกัน หากใช้ในการทักทายจะหมายถึงการเอ่ยทักหรือแปลว่าสวัสดี แต่หากใช้ตอนจากลาจะหมายถึงลาก่อน ซึ่งในมุมมองของอีเบลลีน่า (ในตอนก่อนหน้า) จะสื่อถึงคำว่าลาก่อน แต่ในมุมของอีริสที่เพิ่งได้เจอพี่สาวเป็นครั้งแรกจึงนึกว่าพี่เอ่ยทักทาย