หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 3.2 พิธีสวดภาวนา (2)
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเช้าของพิธีสวดภาวนาก็มาถึง
“วุ่นวายกันตั้งแต่เช้ามืดเลย นอนหลับสบายดีหรือไม่ ท่านนักบุญหญิง?”
ฉันหัวเราะอย่างขมขื่นพลางผงกหัวให้กับคำถามของนักบุญที่เข้ามาปลุก เหล่านักบวชที่มองฉันอยู่ต่างก็ทำสีหน้าว่าเข้าใจดี
แทนที่จะนอนหลับสบายแต่ฉันกลับลืมตาตื่นตลอดทั้งคืน เสียงโหวกเหวกของผู้คนที่มารวมตัวกันหน้าวิหารหลวงตั้งแต่หลายวันก่อนดังเข้ามาในกำแพงแม้ในตอนเช้ามืด พอถามนักบวชดูก็พบว่ามีคนไม่น้อยที่มาจากสุดขอบทวีปเพื่อรอคอยพิธีสวดภาวนาในวันนี้
“เพราะนี่เป็นพิธีที่ทุกคนอยากเข้าร่วมสักครั้งในชีวิตน่ะสิคะ”
“เห็นว่ามีหลายคนเลยที่พาเด็กเล็กมา แล้วมีคนอีกจำนวนมากที่พาพ่อกับแม่ที่อายุมากแล้วมาด้วยเช่นกันนะคะ”
“แล้วทุกคนแย่งที่กันน่าดูเลยเพราะอยากจะฟังคำอวยพรจากท่านนักบุญหญิงโดยตรงที่จัตุรัสกลางในวันสุดท้าย”
ฉันรู้สึกหนักใจขึ้นทุกครั้งที่เหล่านักบวชนำข่าวคร่าวมาแจ้งในทุกๆ วัน เพราะสัมผัสได้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าพิธีสวดภาวนานี้เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่เพียงใด
“เชิญทางนี้ค่ะ”
ฉันเดินไปห้องอาบน้ำโดยมีนักบวชคอยนำทาง ที่นั่นมีคนกว่าสิบคนกำลังยืนรอฉันอยู่แล้ว หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เมื่อชำระร่างกายแล้ว ฉันก็แต่งกายด้วยชุดพิธีการอย่างเรียบร้อย ร่างของฉันในกระจกค่อยๆ กลายเป็นนักบุญหญิงที่เพียบพร้อมมากขึ้นจนอดถอนหายใจออกมาเป็นครั้งคราวไม่ได้
จนกระทั่งเมื่อวาน ฉันก็ยังให้กำลังใจตัวเองว่าฉันทำได้
‘แต่จนถึงตอนนี้ฉันได้เจอแต่คนที่จำกัดในสถานที่ที่จำกัด…’
ในโลกปัจจุบัน ฉันใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลจึงไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนในชีวิต ดังนั้นต่อให้ยังทนอยู่ได้เพราะมีความทรงจำของอีเบลลีน่าอยู่ แต่พอคิดว่าต้องแสดงให้จบอย่างปลอดภัยต่อหน้าคนนับพันนับหมื่นก็พลันรู้สึกตึงเครียด
ฉันเอาแต่จินตนาการถึงเรื่องที่ไม่ดีอยู่บ่อยครั้ง จินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ที่จู่ๆ คนที่มาเข้าร่วมพิธีวันนี้ก็พากันหันมาตะโกนใส่ฉันว่า ‘นั่นเป็นตัวปลอม’
ฉันพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความตายในอนาคต แต่หากว่าอนาคตของอีเบลลีน่าเปลี่ยนไปตามความพยายามของฉันล่ะ เป็นไปได้ไหมที่เรื่องจะเลวร้ายลงยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้ เช่นนั้นการอยู่รอความตายเฉยๆ จะเป็นเรื่องที่ดีกว่าหรือไม่
หลังจากจมอยู่กับความคิดในห้วงลึกอยู่บ่อยครั้ง ฉันก็ส่ายหน้า
‘จะต้องผ่านไปได้ด้วยดี’
เป็นเพราะงานใหญ่กำลังใกล้เข้ามา จิตใจจึงพลอยเป็นกังวล จนถึงตอนนี้ หลังจากที่ฉันเข้ามาอยู่ในร่างนี้ฉันก็ยังทำได้ดีโดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เลย ดูจากที่ยังไม่มีใครรู้ความจริงว่าฉันไม่ใช่อีเบลลีน่า ฉันคิดพลางกดไปที่ปลายนิ้ว จากนั้นก็สบตาเข้ากับนักบวชคนหนึ่ง นางมองมาที่ฉันและพยักหน้าให้ราวกับจะทำให้ฉันสบายใจ ก่อนจะกล่าว
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ปีที่แล้วก็เสร็จสิ้นลงด้วยดี ปีนี้ก็จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน”
คงเห็นชัดว่าฉันกำลังประหม่า ความรู้สึกที่เหมือนถูกเปิดเผยความในใจทำให้ฉันหลบสายตาโดยไม่พูดอะไรออกมา นักบวชคนนั้นออกไปข้างนอก จากนั้นไม่นานก็ถือถ้วยชากลับเข้ามา
“อันที่จริง ปกติแล้วไม่ควรจะทานอะไรเลย แต่การได้ดื่มของร้อนๆ จะช่วยให้ความเครียดลดลงได้ค่ะ”
“ขอบใจมาก”
ที่จริงแล้ว ฉันอยู่ในช่วงอดอาหารตั้งแต่เมื่อคืน เพื่อเตรียมตัวสำหรับพิธีสวดภาวนา พอรับถ้วยชาที่นักบวชถือเข้ามาก็จิบอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เครื่องสำอางหลุดออก อุณหภูมิอบอุ่นไหลเข้าสู่ร่างกาย มือที่สั่นน้อยๆ ของฉันก็หยุดลง
‘นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น’
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นกับอีเบลลีน่าก่อนที่อีริสจะมาที่วิหารหลวงและกลายเป็นนักบุญหญิง ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้อีเบลลีน่าเสื่อมเสียเกียรติ แม้ว่าพิธีสวดภาวนาในครั้งนี้อาจจะใหญ่ที่สุด แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ที่ยุ่งยากและน่าหงุดหงิดเรียงรายเข้ามาอีก และฉันไม่อาจถอนตัวออกไปจากที่นี่ได้
‘ทำได้แน่’
ตอนที่กำลังให้ให้กำลังใจตนเองอยู่ในใจนับสิบครั้งนั้นเอง ประตูพลันเปิดออก นักบวชคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เขากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับนักบวชที่อยู่รอบๆ สีหน้าของนักบวชเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดหลังจากฟังคำของนักบวชผู้นั้น
มีเรื่องอะไรเกิดกันแน่ถึงได้ทำสีหน้าแบบนั้น ฉันวางถ้วยชาที่ดื่มเมื่อครู่ลงแล้วมองไปยังนักบวช ความสงสัยของฉันเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นนักบวชยังคงกระซิบกันราวกับตั้งใจจะไม่ให้ฉันได้ยิน
ตอนที่กำลังจะถามออกไปเพราะทนความสงสัยไม่ไหว นักบวชคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาฉันแล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า
“ท่านนักบุญหญิง จะเป็นอะไรหรือไม่ถ้าหากจะปรับเปลี่ยนกำหนดการของพิธีสวดภาวนาเล็กน้อย”
“…เปลี่ยน? จะเปลี่ยนอะไร อย่างไร”
เป็นไปไม่ได้ ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาฉันตั้งใจจดจำกำหนดการของพิธีสวดภาวนาและท่องจำบทสวดภาวนาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่อยู่ดีๆ กลับบอกว่าจะเปลี่ยนกำหนดการในเช้าของวันนั้นเนี่ยนะ?
“เอาส่วนของพิธีที่ต้องให้คำอวยพรแก่ผู้คนที่จัตุรัสกลางออก…”
ฉันกลั้นลมหายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ช่วงสุดท้ายของพิธีสวดภาวนา นักบุญหญิงจะออกไปยังจัตุรัสกลางแล้วประสาทพรให้แก่ชาวบ้านมาที่วิหาร ที่จริงแล้วนี่เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่เขากลับบอกว่าให้ตัดพิธีการนี้ออก? ทว่านักบวชรอบข้างกลับค่อนข้างโล่งใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของฉันเคร่งขรึมมากขึ้น ก่อนจะถามออกไป
“…มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”
ทั้งสีหน้าตอนเดินเข้ามา ทั้งตอนคุยกับนักบวชคนอื่นด้วยน้ำเสียงเบาก็เช่นกัน แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่
เขาถึงกับปั้นหน้าไม่ถูกทันทีที่ฉันถามออกไป
“พูดออกมา อย่าปิดบัง”
“คือว่า…”
นักบวชหลับตาลงและเปิดปากพูด หลังจากลังเลราวกับเป็นเรื่องที่มิอาจให้หลุดออกจากปากได้
“…มีข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่คนที่กำลังรออยู่หน้าวิหารขอรับ”
“ข่าวลือ?”
“เขาบอกว่าท่านนักบุญหญิง กับผู้ชาย…ในวิหารหลวง…ทุกวัน…”
พอพูดจบ นักบวชก็ก้มหน้าลงอย่างแรง ฉันจับหน้าผากทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา
ไม่จำเป็นต้องพูดไปมากกว่านี้ฉันก็พอจะรู้ว่าด้านนอกวิหารกำลังพูดถึงข่าวลือแบบใดกันอยู่
‘แต่นั่นไม่ใช่ข่าวลือน่ะสิ’
เพราะอีเบลลีน่าทำเรื่องพวกนั้นจริง ปัญหาคือทำไมเรื่องนี้ต้องมาถูกซุบซิบจากผู้คนในตอนนี้ด้วย ทำไมต้องเป็นวันนี้!
“บรรยากาศก็เลยไม่ค่อยดีเล็กน้อยขอรับ”
“…เล็กน้อยอย่างนั้นหรือ”
จะเป็นไปได้เหรอ เหล่านักบวชต่างเข้มงวดกับข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในพิธีราวกับว่านั่นจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นได้ แต่นี่ถึงขั้นทำให้พวกเขาเหล่านั้นออกปากว่าให้ตัดพิธีที่สำคัญที่สุดออก แสดงว่าข่าวลือด้านนอกจะต้องรุนแรงมากเป็นแน่
“เล็กน้อยที่ว่านั่นถึงกับทำให้ไม่อาจดำเนินพิธีที่สำคัญที่สุดของพิธีสวดภาวนาได้เลยสินะ”
“…”
“ด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นอยู่กันแน่”
“ระ เรื่องนั้น…”
เมื่อเห็นท่าทีลังเลของเขา ฉันยกมือไล่นักบวชคนอื่นให้ออกไปจากห้อง เมื่อเหลือเพียงสองคนภายในห้อง ฉันก็ถามเขาอีกครั้ง
“พูดออกมาตามที่ได้ยินเถิด เจ้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร”
เมื่อฉันกล่าวดังนั้น นักบวชผู้นี้ถึงได้เปิดปากอีกครั้ง
“มีข่าวลือที่มีเจตนาไม่ดีแพร่กระจายในกลุ่มคนที่มารวมตัวกันขอรับ หนึ่งในนั้นมีคนที่บิดเบือนว่าอาการป่วยของตนเกิดขึ้นจากความโชคร้ายเพราะท่านนักบุญหญิง เพราะท่านนักบุญหญิงประพฤติตัวไม่ดีในสายตาของพระเจ้า เขาก็เลยป่วย เพราะฉะนั้น นักบุญหญิง…”
“…เป็นตัวอันตรายสินะ”
“…ใช่ขอรับ ข้ามั่นใจว่านี่เป็นข่าวลือที่พวกนอกรีตที่อยู่ชายแดนจงใจปล่อยออกมาแน่นอนขอรับ ไม่ก็พวกจอมเวท ถึงเราจะค้นตัวทุกคนก่อนปล่อยเข้าไปในจัตุรัสกลางแล้วก็ตาม แต่หากว่ามีใครแอบเอาอะไรเข้ามาถึงตอนนั้นก็ป้องกันได้ยากแล้วขอรับ ถ้าเกิดมีคนที่นำอาวุธเข้ามาแล้วทำอันตรายต่อท่านนักบุญหญิงขึ้นมา…อีกทั้งปีนี้ยังไม่มีผู้บัญชาการราธบันอยู่ด้วย…จึงยิ่งอันตราย…”
นักบวชที่กำลังพูดอยู่รีบหุบปากลง เขาดูจะตกใจมากที่เขาหลุดปากชื่อนั้นออกมาโดยไม่ตั้งใจ เพราะปกติแล้วอีเบลลีน่ามักจะฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราธบัน ดังนั้นจึงไม่แปลกหากเขาจะตกใจ
‘ถ้าอย่างนั้นฉันควรทำอย่างไรต่อดี?’
ถ้าถึงกับยับยั้งการเข้าร่วมพิธีขนาดนี้ แสดงว่าบรรยากาศจะต้องอันตรายถึงขนาดว่าอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นได้
‘เพราะตอนนี้ชื่อเสียงที่ไม่ดีของอีเบลลีน่าคงถูกพูดถึงอย่างเต็มที่แล้ว’
เรื่องที่ดูหมิ่นราธบันก็แพร่สะพัดออกไปนอกวิหารหลวงแล้วด้วย เป็นเพราะพิธีสวดภาวนาครั้งนี้ทำให้เรื่องอื้อฉาวที่สั่งสมไว้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว
เบื้องหน้าพลันดำมืด ต่อให้ฉันจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมพิธีสวดภาวนา สุดท้ายเรื่องราวก็เป็นไปตามแบบเนื้อหาในหนังสืออยู่ดีอย่างนั้นเหรอ
วินาทีนั้นในตัวของฉันก็มีใครบางคนกระซิบขึ้นมา
ทำไมต้องพยายามเปลี่ยนแปลงอนาคตขนาดนั้นด้วย?
เป็นชีวิตที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ชีวิตของฉันหลังจากลืมตาตื่นมาในร่างของอีเบลลีน่าตอนนี้เป็นดั่งของขวัญที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ถ้าอย่างนั้นก็แค่อยู่เฉยๆ จนกว่าจุดจบจะมาถึงก็ได้ไม่ใช่เหรอ
หากว่าพยายามไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นก็แค่ปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ? ถึงอย่างไรก็ยังเหลือเวลาอีกสองปีกว่าอีเบลลีน่าจะตาย เทียบกับช่วงเวลาอยู่ในโรงพยาบาลโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ระยะเวลาสองปีที่ฉันสามารถเพลิดเพลินกับร่างกายที่แข็งแรงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสรวงสวรรค์
“ท่านนักบุญหญิง…”
ฉันเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกของนักบวช เขากำลังรอการตัดสินใจจากฉันอยู่
ถ้าตัดพิธีช่วงสุดท้ายที่ต้องออกไปยืนต่อหน้าผู้คนออก ก็เหลือส่วนที่ฉันต้องไปเข้าร่วมในพิธีสวดภาวนาอีกไม่มากนัก ไม่สิ ที่จริงแล้วไม่ต้องเข้าร่วมเลยก็ยังได้
‘ในหนังสือ วันนั้น อีเบลลีน่าก็ไม่ได้เข้าร่วมพิธีสวดภาวนาเพราะบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยดี’
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่รู้กันทั่วทั้งแผ่นดินว่านางเป็นนักบุญหญิงที่ละทิ้งหน้าที่ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าอีเบลลีน่าได้รับอันตรายถึงชีวิตทันที อีเบลลีน่ายังคงใช้ชีวิตอยู่ในฐานะนักบุญหญิงจนถึงวันที่อีริสปรากฏกาย เรียกได้ว่าถ้าฉันใช้ชีวิตไปวันๆ แบบในนิยายก็ไม่มีปัญหาอะไร
ใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแล้วรอคอยจุดจบ รอคอยตอนจบแบบในหนังสืออยู่เงียบๆ
‘ไม่’
ฉันไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น
ถ้าฉันจะใช้ชีวิตแบบนั้นฉันไม่จำเป็นต้องเข้ามาในร่างนี้ก็ได้
เพราะฉันตายไปแล้วครั้งหนึ่ง จึงรู้สึกขอบคุณโอกาสที่ได้รับมา และฉันไม่คิดที่จะเอาแต่ดื่มด่ำไปกับความโชคดีนี้ ฉันอยากจะพยายามคว้าโชคดีที่ไม่รู้ว่าอาจจะพลาดมันไปอีกเมื่อไหร่ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตราบเท่าที่ยังมีมันอยู่ในมือ
ฉันเดินออกไปเปิดประตู สายตาของผู้คนที่ยืนอยู่ด้านนอกจับจ้องมาที่ฉัน ระหว่างพวกเขาฉันเห็นทางเดินที่ฉันต้องก้าวเดินไปซึ่งมืดและยาวจนมองไม่เห็นปลายทาง มองดูแล้วคล้ายกับอนาคตที่ฉันต้องเดินต่อไป
บัดนี้ ฉันต้องเดินบนเส้นทางนี้คนเดียว ขณะที่ฉันคิดเช่นนั้นพลางก้าวเดินออกไปด้านหน้า
“ข้าจะไปส่งท่าน”
ทันใดนั้นก็มีมือขนาดใหญ่เข้ามาใกล้พร้อมกับน้ำเสียงที่คุ้นเคย
ฉันมองไปทางมือนั้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็ตวัดสายตาขึ้น ราธบันยืนอยู่ในชุดพิธีการสีขาวทองหรูหราสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับฉัน ฉันมองดูเขาและพูดอะไรไม่ออกไปสักพักเพราะได้เห็นคนที่ไม่ควรจะอยู่ตรงนี้
“เจ้า…ทำไมถึง…อยู่ที่นี่…”
ในพิธีสวดภาวนาครั้งนี้ ราธบันกล่าวไว้ว่าจะไม่มาอารักขาให้นักบุญหญิงแล้ว แต่ทำไมเขาถึงมายืนยื่นมือมาให้อยู่ตรงนี้ล่ะ?
เขาก้มหัวลงเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
“การอารักขาท่านนักบุญหญิงเป็นหน้าที่ของข้า”
ครั้นได้ยินคำตอบนี้ ฉันก็เข้าใจว่าราธบันเป็นคนอย่างไร แม้จะรังเกียจนักบุญหญิงมากเพราะถูกเหยียดหยามเช่นนั้นแต่เขาก็ยังกลับมาทำหน้าที่ของตนเองจนจบ
ฉันมองดูมือที่เขายื่นมา มือใหญ่ที่ใช้จับดาบมีรอยแผลที่กระทั่งพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมิอาจรักษาให้หายได้หลงเหลืออยู่
ฉันเงยหน้าขึ้นมองไปทางเขา เขายังคงยืนคอยให้ฉันยื่นมือไปหาอยู่เช่นเดิม ดวงตาสีดำที่มองมาทางฉันไม่มีความหวั่นเกรงใดๆ ทางเดินที่มองไม่เห็นปลายทางกลับเข้ามาในสายตาอีกครั้ง หลังจากหันไปมองทางนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็วางมือลงบนมือของเขา
บางทีมือคู่นี้อาจเป็นมือที่ใช้ฆ่าอีเบลลีน่าและฉันในสักวันหนึ่ง
ฉันค่อยๆ เลื่อนไปจับปลายนิ้วของเขา รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่อบอุ่นซึ่งต่างจากภาพลักษณ์ที่เย็นชา ฉันหันหน้าไปทางเขาแล้วหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา
“ฝากด้วยนะ เซอร์ราธบัน”