หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 3.3 พิธีสวดภาวนา (3)
พิธีสวดภาวนาเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับเสียงแตรที่ดังกึกก้อง
ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาทางประตูของวิหารหลวงที่เปิดออกตั้งแต่เช้าตรู่ จัตุรัสกลางที่เคยว่างเปล่าในยามปกติเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจนไม่มีช่องว่างให้ก้าวเดิน เรียกได้ว่าคนทุกชนชาติทั่วทั้งทวีปมาที่นี่ก็ไม่เกินจริงนัก
ไม่เพียงแต่กลุ่มคนที่สวมชุดของจักรวรรดิข้างเคียง แต่ยังมีกลุ่มคนที่สวมชุดขนสัตว์หนาหลายชั้นไม่เหมาะกับอากาศที่ยังเย็นสบาย และกลุ่มคนที่สวมเพียงชุดตัวบางจนดูเหมือนเปลือยเปล่าด้วยเช่นกัน
มีทั้งเสียงร้องตะโกนหากันและกันของคนที่พลัดหลงกับคณะของตน และเริ่มมีคนร้องบทเพลงสรรเสริญเสียงดังเพราะข่มความตื่นเต้นไม่ไหว
เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวนั่นเงียบลงพร้อมกับที่เสียงระฆังเริ่มต้นพิธีแรกดังขึ้น
‘สุดยอดไปเลย’
มีเพียงความคิดเดียวที่เข้ามาในหัวเมื่อได้เห็นผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจากอีกด้านของหน้าต่างที่ปิดอยู่
ฉันเคยตกใจกับขนาดของวิหารหลวงเมื่อครั้งที่ได้เดินชมรอบวิหารและได้ยินจำนวนคนที่อาศัยอยู่ภายในวิหาร แต่ในตอนนี้ฉันก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นคนที่หลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ จนแทบจะแน่นไปทุกที่
ไม่ใช่ว่าพอพวกเขาเข้าร่วมพิธีสวดภาวนาแล้วทางวิหารหลวงจะแจกจ่ายเงินหรือสิ่งของให้ พวกเขาเหล่านั้นใช้เงินของตนเองมาที่นี่ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา เพราะเขาเชื่อในพระเจ้า
‘ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนพวกนั้นล้วนมาที่นี่ด้วยความตั้งใจพวกเขาเอง’
ฉันไม่เคยนับจำนวนฝูงชนที่มากขนาดนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไร ย้อนนึกถึงจำนวนฝูงชนที่เคยเห็นในข่าว ฉันประเมินดูแล้วคาดว่ามีจำนวนมากกว่าหนึ่งแสนคน
‘แถมคนที่ไม่ได้เข้ามาในวิหารยังมีมากกว่านั้นอีก’
นั่นก็หมายความว่าคนที่มาพิธีสวดภาวนาในครั้งนี้มีจำนวนหลายแสนคนเลยทีเดียว การร้องบทเพลงสรรเสริญเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า เสียงขับร้องของพวกเขาดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนราวกับระลอกคลื่น อาจเพราะเป็นบทเพลงสรรเสริญพื้นฐานที่ทุกคนในทวีปต่างก็รู้จักกันดี จึงเกิดเป็นภาพที่ทุกคนร่วมกันขับขานเป็นหนึ่งเดียว ยิ่งใหญ่จนทำให้ขนลุก
ฉันมองดูทุกคนหลับตาร้องเพลงตามบทเพลงสรรเสริญด้วยสีหน้าจริงจังแล้วคิดทบทวนถึงฐานะของพระเจ้า นักบุญหญิง และวิหารหลวงบนโลกใบนี้ใหม่อีกครั้ง
‘ความยกย่องและความศรัทธาอย่างไม่มีเงื่อนไขของผู้คนที่อาศัยอยู่บนทวีปนี้’
นั่นคือจิตใจส่วนใหญ่ของผู้คนในทวีปที่มีต่อนักบุญหญิง ฉันเคยสงสัยว่าทำไมต้องนับถือพระเจ้าที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรในชีวิตเลยด้วย แต่อย่างน้อยบนโลกใบนี้พลังของพระเจ้าก็ปรากฏออกมาให้เห็น
‘ได้ยินมาว่าบนดินแดนของพวกนอกรีตจะมีปีศาจปรากฏตัวขึ้นด้วย’
บนดินแดนของกลุ่มคนนอกรีตจะมีปีศาจเกิดขึ้นอยู่ตลอด แม้บนดินแดนของผู้ที่ศรัทธาพระเจ้าก็มีปีศาจเกิดขึ้นเช่นกันแต่มีจำนวนแตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับดินแดนของกลุ่มคนนอกรีต และทุกครั้งที่มีปีศาจปรากฏตัว หน่วยอัศวินแห่งวิหารก็จะเดินทางไปจัดการปีศาจเหล่านั้นให้ด้วย
‘เพราะพวกปีศาจเกลียดพลังศักดิ์สิทธิ์ เหล่านักบวชจึงร่ายคำอวยพรไว้บนดาบของอัศวิน’
ฉันนึกย้อนถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเห็นตอนเปิดประตูทางลับ เพราะได้เห็นพลังของพระเจ้ากับตาเลยทำให้ไม่อาจปฏิเสธความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าบนโลกใบนี้ได้ และยิ่งพลังนั้นมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของตนด้วย
จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าอีเบลลีน่าเป็นคนที่สุดยอดมาก
มนุษย์ย่อมพยายามทำตัวให้สมกับความคาดหวังของคนรอบข้าง ฉันใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด
‘หนูเป็นเด็กว่าง่ายไม่เหมือนเด็กคนอื่นสินะ ฉันเพิ่งเคยเจอเด็กที่เข้าโรงพยาบาลมานานขนาดนี้แล้วยังไม่บ่นอะไรเลย’
ตอนที่หมอประจำตัวพูดชมฉันแบบนั้น ฉันก็เห็นรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความภูมิใจของพ่อกับแม่ หลังจากนั้นมา ฉันจึงไม่เคยบ่นเลยสักครั้งเดียวแม้กระทั่งตอนที่กำลังจะตาย เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องผิดหวัง
การทำแบบนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่หรือเหนื่อย หากฉันทำตัวแบบนั้นแล้วคนรอบกายยิ่งรักและทะนุถนอม ทั้งยังภูมิใจในตัวฉัน ฉันก็เต็มใจที่จะทำ การอยากแสดงด้านที่ดีให้คนที่รักเราเห็นไม่ใช่เรื่องผิด
‘แล้วทำไมอีเบลลีน่าถึง…’
แค่คนไม่กี่คน ฉันยังหวาดกลัวว่าจะทำพวกเขาผิดหวัง แต่อีเบลลีน่า ทั้งที่มีคนมากมายถึงขนาดนั้น ไม่สิ เรียกว่าไม่สนใจไยดีต่อความคาดหวังของคนทั่วทั้งทวีปเลยดีกว่า แม้จะเห็นความคาดหวังพวกนั้นกลายมาเป็นความผิดหวังและความโกรธเกรี้ยว แต่นางก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไม่สิ กลับกัน นางยิ่งทำตัวเหลวแหลกกว่าเดิมด้วยซ้ำ
อีกทางหนึ่งฉันกลับรู้สึกว่านางกล้าหาญมาก แค่คิดว่าถ้าตอนนี้คนที่มารวมตัวกันตรงนั้นรุมด่าและประณาม ฉันก็เสียวสันหลังแล้ว
ฉันยืนมองดูด้านล่างแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งจากด้านนอก ราธบันที่อยู่ในห้องด้วยกันเดินไปเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียง นักบวชที่รออยู่ด้านนอกโค้งคำนับพลางกล่าว
“ตอนนี้พิธีลำดับสุดท้ายของวันนี้ใกล้จะเริ่มแล้ว”
“…เข้าใจแล้ว”
สิ่งที่จะมาก็มาถึงจนได้ ความกังวลเด่นชัดบนใบหน้าของเหล่านักบวช
‘จนถึงตอนนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร’
แต่ฉันกังวลว่าตอนที่โผล่หน้าออกไปต่อหน้าผู้คนที่ระเบียง บางทีอาจมีลูกธนูลอยมาทันทีเลยก็ได้
‘แม้จะไม่มีเรื่องแบบนั้นก็เถอะ’
พลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงสามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือการใช้พลังปกป้องตนเองจากการโจมตีภายนอกซึ่งถือเป็นพลังขั้นพื้นฐานที่สุดของพลังศักดิ์สิทธิ์ หากถูกลอบโจมตี นักบุญหญิงสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในการปกป้องตนเอง ดังนั้นการลอบโจมตีด้วยอาวุธเช่นดาบหรือธนูจึงไม่อาจทำร้ายนักบุญหญิงได้
‘แต่ว่านั่นมันคือกรณีที่ฉันเป็นอีเบลลีน่าตัวจริงล่ะนะ’
น่าแปลกที่ความทรงจำของอีเบลลีน่าไม่ปรากฏอะไรเกี่ยวกับการใช้พลังศักดิ์สิทธ์เลย ดังนั้นฉันจึงไม่อาจใช้พลังใดๆ ได้นอกจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สำแดงออกมาเอง หากตอนนี้มีใครลอบทำร้ายฉันขึ้นมา คงไม่พ้นว่าฉันต้องพลาดท่าแน่นอน
‘โชคดีที่คนอื่นไม่รู้เรื่องนั้น จึงไม่น่ามีใครลอบโจมตี’
ที่ฉันบอกว่าจะเข้าร่วมพิธีสุดท้ายก็เป็นเพราะฉันมั่นใจในเรื่องนี้ด้วย
“ไปกันเถอะขอรับ”
พูดกับเหล่านักบวชจบ ราธบันก็ขยับตัวมายืนข้างฉันก่อนจะส่งมือมาให้ เมื่อเห็นท่าทีของราธบัน นักบวชหลายคนก็มีสีหน้าตกใจอย่างไม่ปิดปัง พวกเขาคงประทับใจในตัวราธบันที่แม้จะถูกหมิ่นเกียรติแต่เขาก็ยังคงมาทำหน้าที่ของตนจนจบ
ฉันสัมผัสความอบอุ่นจากมือของราธบันอีกครั้งแล้วยืนห่างจากเขาประมาณหนึ่งฝีก้าว
‘เว้นระยะห่างไว้เท่าที่จะทำได้ดีกว่า’
ทันใดนั้น ราธบันก็หันมาจ้องฉันอยู่ครู่หนึ่ง
‘ถอยหลังไปอีกนิดดีไหมนะ’
ขณะที่คิดดังนั้นแล้วทำท่าจะถอยลงไปอีก เขาก็คว้ามือฉันแล้วออกแรงลากไป สุดท้ายเลยกลายเป็นต้องเดินเคียงข้างเขาไปไม่ห่าง
***
“ท่านนักบุญหญิง! ท่านนักบุญหญิง! ได้โปรดประสาทพรให้ข้าด้วย!”
“ข้าใช้เวลาเดินทางมาที่นี่ถึงสองเดือน อยู่รอหน้าวิหารหลวงมาสองอาทิตย์ถึงได้ขึ้นมาอยู่ด้านหน้าได้ ได้โปรดท่านประสาทพรให้แก่ลูกข้าด้วย!”
ทันทีที่ลงมายังจัตุรัสกลาง เสียงตะโกนของชาวบ้านก็ดังเข้าหูราวกับเสียงฟ้าฝ่า แม้เหล่าอัศวินและนักบวชจะช่วยกันขวางเอาไว้อย่างเต็มที่แล้ว แต่เมื่อพวกเขาเห็นนักบุญหญิง การขวางคนที่พุ่งเข้ามาใส่ก็ดูจะเป็นเรื่องที่เกินความสามารถทันที
ราธบันออกคำสั่งอีกครั้งให้เหล่าอัศวินที่ยืนล้อมรอบฉันเพิ่มการป้องกันให้มากขึ้น เหล่าอัศวินกล่าวรับคำอย่างหนักแน่นและขวางคนที่พุ่งเข้ามาใส่โดยไม่มีวี่แววของความเหนื่อยล้าที่ปรากฏบนใบหน้าเมื่อครู่ ในที่สุดก็เกิดเส้นทางที่สามารถเดินออกไปได้
ทันทีที่เริ่มออกเดินตามทางที่เปิดออก ชาวบ้านต่างก็ยื่นมือเข้ามาระหว่างช่องว่างของเหล่าอัศวินพร้อมกับตะโกนขอให้ประสาทพรอีกครั้ง ฉันมองไปที่มือพวกนั้นอย่างลังเลใจ นักบวชที่เดินอยู่ด้านหน้าก็เดินเข้ามาใกล้แล้วกระซิบเสียงเบา
“ถ้าท่านไม่อยากทำก็แค่เดินผ่านไปเหมือนปีที่แล้วก็ได้ สำหรับพวกเขาแค่ได้พบกับนักบุญหญิงโดยตรงเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตแล้ว…”
“…ไม่เป็นไร”
ไม่ใช่ว่าไม่อยากสัมผัส กลับกันคือฉันกำลังกังวลว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสัมผัสผู้คนได้มากที่สุด
ท่ามกลางผู้คนที่ยื่นมือมาทางฉัน มีหลายคนที่สีหน้าบ่งบอกว่าเจ็บป่วย พลังศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกหรือพิษได้ก็จริง แต่อาการก็ดีขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น มันไม่อาจรักษาให้หายได้อย่างสมบูรณ์ และยิ่งเป็นโรคที่เกิดเมื่ออายุมากขึ้นก็ยิ่งรักษาได้ยาก บางทีอาจเป็นเพราะไม่อาจฝ่าฝืนโชคชะตาที่เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ผู้คนก็ยังยึดติดแม้จะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ตาม
ฉันย้อนนึกถึงพี่สาวที่นอนอยู่เตียงข้างๆ กันในโรงพยาบาล
“พวกเขาบอกว่ารักษาไม่ได้แล้ว”
พี่สาวพูดออกมาอย่างสงบนิ่ง เธอส่งอีเมลไปหารายการวิทยุที่ฟังเป็นประจำ บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีดวง แม้จะส่งไปหลายสิบครั้งแต่เรื่องที่พี่สาวส่งไปกลับไม่เคยถูกอ่านเลย แต่แล้วในที่สุดเรื่องของพี่สาวก็ถูกเลือก ในตอนนั้น พี่สาวที่ดูไร้เรี่ยวแรงอยู่เสมอฟังรายการด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยสีเลือดฝาดและแววตาเป็นประกาย
“เธอบอกว่ากำลังต่อสู้กับโรคอยู่ค่ะ สักวันหนึ่งคุณจะต้องเอาชนะโรคพวกนั้นและลุกขึ้นมาได้แน่”
พอมาลองคิดดูตอนนี้ นั่นก็ไม่ใช่คำพูดที่พิเศษอะไร แต่ว่าพี่สาวคนนั้นกลับฟังเสียงของดีเจที่อัดไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้กระทั่งตอนที่เข้าไปอยู่ในห้องไอซียูแล้วก็ยังยิ้มได้
ฉันรู้ว่ารายการวิทยุไม่อาจช่วยรักษาโรคให้ดีขึ้นได้ แต่มันทำให้พี่สาวมีความหวังและสบายใจ
ฉันหันศีรษะกลับมา มองไปยังมือทั้งหลายที่ยื่นมาหา
‘ถ้าสามารถช่วยให้ความสบายใจแก่พวกเขาได้แม้ว่าจะไม่ใช่นักบุญหญิงล่ะก็’
ถ้าอย่างนั้นจะจับมากเท่าไรก็ได้ ขณะที่คิดแบบนั้นแล้วกำลังจะเดินเข้าไปใกล้ ปลายสุดของแถวก็พลันเกิดความวุ่นวาย มีใครบางคนลงไปเกลือกกลิ้งบนพื้น ทันทีที่เสื้อฮู้ดที่เขาใส่อยู่หลุดออก ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็ร้องเสียงหลงและถอยไปด้านหลัง ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราปรากฏใต้เสื้อฮู้ดที่หลุดออก รวมถึงผิวหนังที่เต็มไปด้วยตุ่มหนองที่ไม่รู้ว่าคืออะไรด้วยเช่นกัน ชายชราคนนั้นมองมาทางฉัน เขาหมอบพลางร้องขอ
“ท่านนักบุญหญิง ได้โปรดประสาทพรให้แก่ข้าด้วย!”
พอเห็นชายชราคนนั้น ฉันจึงหันไปถามราธบันว่า
“ผู้บัญชาการราธบัน เจ้าไปพาคนผู้นั้นมาหาข้าหน่อยได้หรือไม่”
ดูสถานการณ์แล้ว หากนางตรงเข้าไปทันที ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็จะยิ่งมารุมทึ้งจนทำให้ความวุ่นวายได้ ราธบันหันไปเรียกอัศวินคนอื่นหลังจากได้ยินคำสั่ง แต่ไม่มีใครให้เรียกใช้จึงหมุนตัวกลับมา
ในตอนนั้นเอง
“นางโสเภณีโสโครก!”
เสียงตะโกนดังขึ้นมาอย่างกะทันหันพร้อมกับอะไรบางอย่างลอยมาที่หน้าฉัน
โพละ!
ความเจ็บปวดแล่นผ่านใบหน้าพร้อมกับเสียงกระแทกแตก แม้บอกว่าเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้หนักหนาถึงขั้นจะทรุดลง ตุ้บ เมือกเหนียวไหลลงมาจากผม พร้อมกับกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจาย
ฉันไม่ต้องคิดนานเลยว่านั่นคืออะไร เพราะมีเศษเปลือกไข่กลิ้งตกอยู่ที่ปลายเท้า ดูจากกลิ่นเหม็นหึ่งแล้วคงเป็นไข่เน่าไม่ผิดแน่นอน
ขณะที่กำลังทำตัวไม่ถูกและทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้ารู้นะว่านางนี่พาผู้ชายไปเกลือกกลั้วในวิหารอยู่ทุกคืน!”
มีอะไรบางอย่างลอยออกมาจากผู้คนอีกครั้ง ไม่รู้เพราะอะไรแต่ฉันเกิดความคิดว่าครั้งนี้คงไม่ใช่ไข่ไก่อีกแน่นอน ฉันหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นเองมีของสีแดงลงมาบดบังสายตา ความอบอุ่นโถมเข้ามาโอบล้อมรอบตัว ตุ้บ! เสียงของกระแทกดังขึ้นจากที่ไกลๆ และได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
“ไปจับมา”
เสียงพูดของราธบันดังอยู่เหนือศีรษะ เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้ฉันขนลุกไปทั้งตัว คำพูดที่เปล่งออกมาสั้นๆ เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ตอนนั้นเองถึงได้รู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ราธบันโอบฉันไว้ด้วยเสื้อคลุมของเขา และด้วยเหตุนั้นฉันจึงมองไม่เห็นสถานการณ์ภายนอก แต่ฉันยังคงได้ยินเสียงโห่ร้องของเหล่าอัศวินและเสียงกรีดร้องของชาวบ้าน จากนั้นก็มีเสียงตะโกนให้ปล่อยดังขึ้น
“คงมีพวกนักบวชชายมุดหว่างขานางทุกคืนล่ะสิ!”
นี่คือเสียงของคนที่ปาไข่ไก่ พอฉันได้ยินแบบนั้นร่างกายก็แข็งทื่อ ฉันไม่อาจปฏิเสธกลับไปได้เลย เพราะต่อให้ไม่ใช่ทุกคืนแต่อีเบลลีน่าทำตัวแบบนั้นจริงๆ
“ทำให้เขาหุบปากเสีย”
ทันทีที่ราธบันพูดออกไป เสียง พลั่ก! ดังขึ้นพร้อมกับเสียงก่นด่าของชายผู้นั้นที่เงียบลง แต่กลับได้ยินเสียงของผู้คนรอบข้างดังขึ้นแทน
“ข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ”
“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน เห็นว่าพวกมีผู้ชายเอาของกำนัลที่ท่านนักบุญหญิงให้มาขายทิ้งกันเยอะแยะเลย”
“เรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับอะไรในวิหารหรอกนะ ข้าได้คุยกับนักบวชของวิหารหลวงมาเองเลย!”
ไม่ช้าเสียงกระซิบเบาๆ ก็กลายเป็นเสียงเอะอะโวยวาย บรรยากาศของผู้คนเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาราวกับเหตุการณ์ที่ยื่นมือมาขอให้ประสาทพรเมื่อครู่เป็นเรื่องโกหก ดูท่าพวกเขาเองก็ได้ยินมาเช่นกัน
ข่าวลือกลายเป็นความจริงสำหรับพวกชาวบ้านตั้งแต่ตอนที่มีคนกล้าปาไข่เน่าและตะโกนด่านักบุญหญิงว่าโสเภณีในวิหารหลวง แถมยังทำต่อหน้าต่อตาพวกเขาแล้ว
บัดนี้ชายผู้นั้นไม่จำเป็นต้องตะโกนอีกต่อไป นั่นเพราะพวกชาวบ้านได้เริ่มส่งเสียงดังแทนเขาแล้ว
“เข้าไปด้านในก่อนดีกว่าขอรับ”
ราธบันก้มหัวลงมาพูดกับฉันที่อยู่ใต้เสื้อคลุม แต่ฉันไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้เลย
ฉันกลัว ถ้าฉันมองออกไปด้านนอกตอนนี้ ฉันกลัวสายตาเหล่านั้นที่มุ่งตรงมาฉัน แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ฉันทำ แต่ตราบใดที่ฉันอยู่ในร่างของอีเบลลีน่า นั่นก็คือสายตาดูถูกและรังเกียจที่ฉันต้องยอมรับ
“นางโสเภณีโสโครก แกจะหลบอยู่หลังอัศวินไปได้ถึงเมื่อไหร่กัน! ท่านอัศวินทั้งหลาย! พวกท่านก็ควรรับรู้เอาไว้! ญาติของข้าบอกมาว่า…!”
บางทีรอบนี้ราธบันคงเป็นคนจัดการ ร่างของคนที่โอบฉันอยู่สั่นไหว จากนั้นเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นและเสียงของคนที่ตะโกนว่าโสเภณีก็หยุดไป
“ข้าจะคุ้มกันท่าน”
ดูเหมือนราธบันไม่คิดจะรอคำตอบอีกต่อไป ขณะที่เขากำลังจะลากฉันไป ฉันก็จับแขนเขาเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน”
เขาหยุดเคลื่อนไหวทันทีที่ได้ยินคำตอบของฉัน ฉันถอดเสื้อคลุมที่ห่มตัวออก ทันใดนั้น ไข่ไก่เน่าที่ติดอยู่บนหัวก็ไหลลงมา จะให้ฉันกลับเข้าไปในวิหารหลวงทั้งอย่างนี้เลยน่ะหรือ ชาวบ้านที่โหวกเหวกโวยวายเมื่อครู่เห็นสภาพของฉันแล้วปิดปากเงียบลงทันที
ตอนนี้ไม่ว่าพูดอย่างไรข่าวลือนี้ก็ไม่อาจปิดได้มิดแล้ว
‘ไม่ว่าฉันจะทำยังไง เหตุการณ์ทั้งหมดก็ยังคงเป็นไปตามเนื้อหาในหนังสืออย่างนั้นเหรอ’
แม้อีเบลลีน่าจะเข้าร่วมตามกำหนดการซึ่งต่างจากในหนังสือ แต่พิธีสวดภาวนาก็ยังคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ข่าวลือเน่าๆ เกี่ยวกับนักบุญหญิงกระจายไปทั่วทั้งทวีปอยู่ดี
‘ถ้าอย่างนั้น’
ฉันหมุนตัวไปด้านหลัง ท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างรังเกียจ ที่นั่นมีชายที่ทุกคนลืมการมีอยู่ของเขานั่งอยู่ เขาคือชายชราที่จู่ๆ ก็ล้มลงท่ามกลางกลุ่มคน พอฉันเริ่มเดินไปทางชายชราผู้นั้น ชาวบ้านก็รีบถอยหลังทันทีต่างจากเมื่อครู่ แต่ชายชราผู้นั้นยังคงนั่งอยู่ที่นั่นไม่ได้ถอยไปไหน
“ยังอยากให้ข้าประสาทพรให้อยู่หรือไม่”
ฉันถามชายชราผู้นั้น จากนั้นเขาก็พยักหน้า ฉันเดินเข้าไปหาแล้ววางมือเหนือศีรษะของเขา แม้เห็นผิวหนังยับย่นอย่างอัปลักษณ์พร้อมกลิ่นเหม็นเน่าก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกตกใจแต่อย่างใด นั่นเพราะตอนอยู่ในโรงพยาบาลฉันก็เคยเห็นอะไรที่น่าขยะแขยงกว่านี้อยู่หลายครั้ง
“ไม่ว่าจะตอนที่เหนื่อยล้าที่สุด หรือในตอนที่มีความสุขที่สุด ขอให้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จงสถิตแก่ท่าน ทุกช่วงเวลาที่ท่านต้องการ ท่านผู้นั้นจะอยู่เคียงข้างท่านแน่นอน”
คำอวยพรมีด้วยกันหลายบท ฉันท่องจำบทอวยพรเป็นสิบๆ บทเพื่อพิธีในวันนี้ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะจบลงที่บทนี้ ฉันโน้มตัวลงแล้วจุมพิตลงบนหัวของชายชราผู้นั้น
ฉันหวังว่าอย่างน้อยบทอวยพรจากนักบุญหญิงตัวปลอมคนนี้จะกลายเป็นพลังให้กับเขา เหมือนกับรายการวิทยุที่ไม่สำคัญอะไรกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้คนคนหนึ่ง ตอนนั้นเอง ชายชราผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองมาที่ฉัน
“ขอบพระคุณขอรับ ท่านนักบุญหญิง”
“…!”
วินาทีที่สบตา ฉันก็รู้ได้ทันที
‘เขาไม่ใช่ชายชรา!’
ดวงตาสีฟ้าที่กำลังมองมาทางฉันกระจ่างใสจนน่ากลัว แถมยังไม่เห็นร่องรอยความเหนื่อยล้าหรือความอ่อนแอซึ่งเกิดจากโรคภัยเลย ตรงกันข้ามในดวงตาของเขากลับมีความสุขและความอยากรู้อยากเห็นกำลังเปล่งประกายราวกับพบสิ่งที่น่าสนใจ
ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นเพราะตกใจ เขาก็เอื้อมมือออกมา เขาจับเส้นผมของฉันที่ปรกอยู่ด้านล่างของไหล่ แม้ไม่ได้ทำตัวหยาบกระด้างแต่ด้วยมือที่เต็มไปด้วยพละกำลังก็ทำให้ฉันต้องมองเขาต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขายกเส้นผมของฉันไปทางปากอย่างเชื่องช้า แล้วจุมพิตแผ่วเบา จากนั้นก็มองฉันแล้วกล่าว
“ข้าจะรอวันที่ได้พบท่านนักบุญหญิงอีกนะ”