หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 4.1 เลออน (1)
พิธีสวดภาวนาวันแรก จังหวะที่ได้สบตา ฉันก็รู้ได้ทันทีว่าเขาจงใจปลอมตัวเป็นชายชรา แต่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวจริงของเขาจะมีหน้าตาเป็นแบบนี้
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากที่เลียหลังมือออกไป ฉันคิดว่าคนที่ยืนอยู่ด้านข้างจะเกิดความสงสัยต่อการจุมพิตที่ยาวนาน แต่นั่นก็ไม่เกิดขึ้น การกระทำที่ชายผู้นี้เพิ่งทำเมื่อครู่เป็นเรื่องที่มีแต่เขาและฉันที่รู้ ระหว่างที่ฉันกำลังกังวลว่าควรจะตำหนิเรื่องไร้มารยาทนี้ดี หรือปล่อยผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดี เขาก็ลุกขึ้น
เป็นชายหนุ่มที่สูงมาก คนที่ยังดูตัวใหญ่แม้ยืนข้างราธบันนั้นพบเห็นไม่บ่อย ทว่าชายผู้นี้ก็ไม่ได้ดูตัวเล็กเลยแม้เทียบกับเขา และแน่นอนว่าเขามีภาพลักษณ์ที่ต่างจากราธบันผู้เป็นอัศวินอย่างสิ้นเชิง
ผมสีบลอนด์ทองความยาวพอเหมาะให้ภาพลักษณ์ที่ดูสูงส่งยิ่ง นัยน์ตาฟ้าใต้เรียวคิ้วหนาตรง สันจมูกแหลมคมและริมฝีปากที่แนบสนิท โดยรวมแล้วเป็นชายที่ให้ความรู้สึกหรูหราเป็นอย่างมาก แม้ทุกอย่างจะดูสุภาพเรียบร้อย แต่ก็ยังเห็นความสง่าผ่าเผยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดได้ มองดูเพียงแวบเดียวอาจเห็นเป็นความหยิ่งยโสแต่บรรยากาศเหล่านั้นกลับเข้ากันกับชายผู้นี้เป็นที่สุด
ประสาทสัมผัสของฉันตื่นตัวเมื่อเห็นรูปโฉมของเขา
ชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่
“เจ้าคือ…”
เขาคลี่ยิ้มออกมาก่อนที่ฉันจะพูดจบ
“นามของข้าคือ เลออน ฮาเบล อาเพเลียส”
อาเพเลียส? ในขณะที่ฉันก้าวถอยหลังเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขาก็ก้าวเข้ามาใกล้และกล่าว
“องค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิอาเพเลียส”
บรรยากาศของสถานที่จัดงานเลี้ยงพลันเกาะเป็นน้ำแข็งเมื่อเขาพูดจบ
***
หลายสัปดาห์ก่อน เลออนถูกบิดาผู้เป็นองค์จักรพรรดิเรียกให้ไปเข้าเฝ้า
แม้จะชราภาพแล้วแต่ความเด็ดเดี่ยวที่เฉียบขาดเหมือนสมัยยังหนุ่มขององค์จักรพรรดิ ทำให้เลออนก้มหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะเป็นบิดา เขาคือองค์จักรพรรดิผู้พาจักรวรรดิไปสู่ชัยชนะ ในฐานะประชาชนคนหนึ่งของจักรวรรดิ เขาคือบุคคลที่ควรได้รับการเคารพ
บัดนี้องค์จักรพรรดิออกคำสั่งง่ายๆ กับบุตรชายผู้ที่กำลังนำทางจักรวรรดิแทนเขา
“เจ้าไปสังเกตการณ์วิหารหลวงหน่อยเถิด”
บางทีหากที่นี่มีใครอีกคนอยู่ด้วย เลออนก็คงจะรักษารอยยิ้มบางไม่ปรากฏอารมณ์ใดเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ทว่าที่แห่งนี้มีเพียงแค่เขาและองค์จักรพรรดิ เลออนจึงไม่ปิดบังสีหน้าที่ไม่พอใจของเขาเลย
แม้เป็นองค์จักรพรรดิที่เย็นชาและเคร่งครัด แต่สำหรับบุตรชายเขาก็เป็นบิดาที่รู้ขอบเขตเช่นกัน องค์จักรพรรดิทำเพียงเดาะลิ้น มิได้ต่อว่ากลับไปเมื่อเห็นสีหน้าของเลออน
“ไม่อยากทำถึงขนาดนั้นเลยหรือ”
“ก็แค่เบื่อเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเดาะลิ้นเมื่อได้ฟังคำตอบที่เลออนตอบกลับมาทันที ชัดเจนว่านี่เป็นคำสั่งที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับเขา เลออนมีภาพลักษณ์คล้ายว่าตั้งแต่เกิดมาก็ใช้เวลาทั้งชีวิตอาศัยอยู่แต่ในพระราชวังเท่านั้น มีรูปร่างหน้าตาที่สูงส่งสง่างาม ไม่มีความหยาบกร้านมากล้ำกราย ทว่าองค์จักรพรรดิรู้ดีว่าบุตรชายของตนกำลังเก็บซ่อนสันดานเหี้ยมโหดไว้ภายใต้ใบหน้านั้น
‘เขาว่ากันว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’
แม้รูปร่างภายนอกที่คล้ายคลึงกับองค์จักรพรรดินีจะไม่ต่างจากนกยูงแต่ด้านในกลับเป็นสิงโตที่หิวโหย
“มิได้มีเรื่องอะไรให้ทำเป็นพิเศษมิใช่หรือ เจ้าก็เพิ่งไปถล่มแอสเทียร์มาไม่นาน”
แอสเทียร์ คือประเทศที่แข็งแกร่งมากซึ่งอยู่ปลายสุดของจักรวรรดิ เลออนนำกองทัพจักรวรรดิไปชดใช้บาปรวมถึงดอกเบี้ยที่แอสเทียร์ไม่ยอมตอบรับกับข้อเสนอของจักรวรรดิในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างสาสม บัดนี้ไม่มีประเทศที่ชื่อว่าแอสเทียร์อยู่บนแผ่นดินอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นจึงเข้าใจได้หากเลออนจะรู้สึกผิดหวังเมื่อสั่งให้ไปสังเกตวิหารหลวง นั่นเพราะเขากำลังมองหาอาหารจานถัดไปแม้หยดเลือดที่ไหลท่วมยังมิทันแข็งตัว
“กระหม่อมอยู่ดูแลงานอยู่ในพระราชวังยังดีเสียกว่า มีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก…”
“นักบุญหญิงแปลกไป”
“…หมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ท่าทีของเลออนกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง ลูกสมุนของเขาสืบข้อมูลนี้มาไม่ได้ หน่วยข่าวกรองขององค์จักรพรรดิอย่างไรก็ยังคงอยู่เหนือกว่าหน่วยข่าวกรองของเขา
“เห็นว่าเมื่อได้สติขึ้นมาหลังจากที่สลบไป นางก็ตั้งอกตั้งใจจัดการงานอย่างมาก”
ครั้นเลออนได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าผิดหวัง นั่นเป็นข้อมูลที่เหมือนกับที่หน่วยข่าวกรองของเขาได้มา แต่คำพูดต่อมาขององค์จักรพรรดิก็ทำให้ร่างกายของเขาเคร่งเครียดขึ้น
“แล้วก็ผู้บัญชาการอัศวินยังออกไปข้างนอกยามค่ำคืนบ่อยครั้งด้วย”
“…”
เลออนรู้สึกพ่ายแพ้อยู่ในใจ สถานที่เดียวที่หน่วยข่าวกรองของเขาในวิหารหลวงมิสามารถเข้าไปได้คือหน่วยอัศวินแห่งวิหาร แต่องค์จักรพรรดิกลับส่งคนเข้าไปที่นั่นได้
“เจ้าไปสืบดูมาให้ละเอียดเสีย”
“น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ไหนๆ ก็จะไปแล้วเจ้าก็ไปสารภาพบาปเรื่องที่ฆ่าคนด้วยเลย”
“พระองค์กำลังไล่ให้กระหม่อมไปเป็นนักบวชหรือพ่ะย่ะค่ะ”
สารภาพบาปที่ฆ่าคนหรือ นั่นเป็นเรื่องที่พวกเขาสองพ่อลูกไม่มีทางทำแน่นอน บทสนทนาของพวกเขาจบลงตรงนั้น
หลังจากกลับมาถึงห้องทำงานของตน เลออนก็ออกคำสั่งง่ายๆ กับเหล่าทหารคนสนิท เหล่าทหารที่อยู่ๆ ก็ได้รับคำสั่งให้ไปวิหารหลวงมิใช่สนามรบ ยืดอกถามเลออน
“ในที่สุดก็เกิดความสนใจในตัวนักบุญหญิงแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ นักบุญหญิง”
เลออกพูดออกมาคล้ายว่าเพิ่งนึกออกตอนที่ได้ยินคำพูดของทหาร
อันที่จริงความสนใจขององค์จักรพรรดิอยู่ที่ตัวราธบันผู้เป็นผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหารมากกว่าตัวนักบุญหญิง หากกล่าวถึงอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินล่ะก็ ทุกคนจะเลือกราธบันอย่างไม่ลังเล นั่นเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้อัศวินแห่งจักรวรรดิของพวกเขาอับอายมากที่สุด เลออนยังไม่เคยพบราธบันมาก่อน เคยได้ยินเพียงแต่ความกล้าหาญของเขาที่ลือกันมาเท่านั้น
เรื่องกล้าหาญอย่างเช่นว่าเขาสามารถฆ่าปีศาจได้ในครั้งเดียวแม้ไม่ต้องใช้ดาบที่ได้รับการอวยพร หรือไม่ก็สามารถประจัญหน้ากับปีศาจที่โอบล้อมไปทั่วทั้งหมู่บ้านได้ด้วยตัวคนเดียว
พอได้ยินเรื่องราวที่ว่าเมื่อไม่นานมานี้คนผู้นั้นแตกหักกับนักบุญหญิงอย่างเด็ดขาด เขาจึงคิดว่าจะมีวิธีใดที่จะพาเขามาเป็นอัศวินของจักรวรรดิได้หรือไม่
‘ได้ไปวิหารหลวงแล้ว คงต้องลองไปพบคนที่ชื่อราธบันดูสักครั้ง’
หากเรื่องที่แตกหักกับนักบุญหญิงเป็นความจริง นั่นคงทำลายความภาคภูมิใจสูงสุดของเขาผู้เป็นถึงอัศวินแห่งวิหารจนละเอียด
‘ใครจะรู้ ไม่แน่ถ้าลองโน้มน้าวให้ดีเขาอาจจะยอมมาก็ได้?’
เขาเคยคิดเช่นนั้น แต่กลายเป็นว่าตอนนี้ท่าทีของนักบุญหญิงและการกระทำของผู้บัญชาการต่างก็เปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ สัญชาติญาณของเลออนกำลังกู่ร้องว่าสองสิ่งนี้มีความเกี่ยวพันกัน
ในตอนที่เลออนกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องของราธบันอยู่ ทหารที่จัดเตรียมเอกสารก็กล่าวขึ้น
“เอาเถิด ท่านก็เล่นสนุกกับพวกหญิงสาวหน้าตาไม่เลวในวังมาขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้ท่านก็แค่คิดว่าถึงคราวเล่นกับนักบุญหญิงดูบ้าง เคยได้ยินมาว่าหน้าตานางเป็นหนึ่งไม่เป็นสองในจักรวรรดิเราเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่สนใจเรื่องหน้าตา”
นี่เป็นความจริง มิใช่ว่าเขาเกลียดหญิงสาวหน้าตางดงาม แต่เป็นเพราะเลออนชอบผู้หญิงที่อยู่ด้วยแล้วสนุกมากกว่า และหากอันตรายก็ยิ่งชอบขึ้นไปอีก
นักบุญหญิงเป็นหญิงสาวประเภทใดกัน เลออนติดอยู่ในความคิดไปชั่วขณะ ลองผนวกข้อมูลทั้งหมดที่หน่วยข่าวกรองของเขาเคยถามมาให้แล้ว…นักบุญหญิงผู้โง่เง่าและเสเพล เป็นหญิงสาวที่อยู่ห่างไกลจากรสนิยมของเขาเป็นอย่างมาก
เลออนปลอมแปลงบัตรประจำตัวและร่วมขบวนไปกับคณะราชทูต เพราะเขาไม่เปิดเผยใบหน้าและเดินทางแยกไปต่างหากจึงมีคนเพียงจำนวนหนึ่งที่รู้เรื่องที่เขาร่วมขบวนไปวิหารหลวงกับคณะราชทูต
หลังจากเดินทางถึงวิหารหลวง เลออนก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งที่องค์จักรพรรดิเคยให้ไว้ แม้ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมแต่ก็ไม่มีข้อมูลใดที่พิเศษ สุดท้ายเลออนจึงเกิดความคิดว่าตัวเขาต้องลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว
“ต้องลองไปพบผู้บัญชาการอัศวินดูสักครั้ง”
ทว่าเลออนมิอาจเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยพร้อมกับคณะราชทูตได้ เนื่องจากในหมู่คณะราชทูตที่มาจากแต่ละประเทศมีคนจำนวนมากที่รู้จักหน้าตาของเลออน และในจำนวนพวกนั้นคงมีหลายคนต้องการชักดาบขึ้นมาเมื่อเห็นเขา แต่ว่าปัญหาใหญ่ที่สุดมิใช่เรื่องนั้น
“ไม่ได้รับหน้าที่อารักขางั้นหรือ?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ หน่วยข่าวกรองยืนยันมาแล้ว ปีนี้คนที่รับหน้าที่อารักขานักบุญหญิงเป็นคนอื่นพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อออ”
แม้พวกเขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิหารหลวงที่มากนัก แต่ก็ยังพอรู้มาบ้างว่าผู้บัญชาการอัศวินจะเป็นผู้ยืนอารักขานักบุญหญิง แต่นี่เขาไม่ได้ทำงั้นหรือ
‘ดูท่าจะแตกหักกันจริงๆ’
เลออนผิวปากอยู่ในใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะทำให้ราธบันออกมาจากวิหารหลวงให้ได้ หากเป็นความสัมพันธ์ที่ร้าวรานแบบนี้…
‘ความภาคภูมิใจนั้น ต้องทำให้พังอีกกี่ครั้งถึงจะพอนะ’
ต้องทำให้แตกหักกับวิหารหลวงอย่างสิ้นเชิงก่อนจึงจะพากลับไปได้ เลออนคิดได้เช่นนั้นจึงเบนความสนใจไปทางนักบุญหญิง เขาไม่อาจสร้างบาดแผลให้กับศักดิ์ศรีของผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหารโดยใช้คนธรรมดาได้ เช่นนั้นแล้วการใช้นักบุญหญิงที่ราธบันต้องเชื่อฟังจึงเป็นวิธีการที่รวดเร็วและแม่นยำที่สุด
“นักบุญหญิงหรือ ได้ยินมาว่านางเปลี่ยนผู้ชายทุกคืนเลยนี่นา”
ทหารคนสนิทพูดเสริมขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำพูดของเลออน
“ดูเหมือนนางจะชอบชายผมทองที่มีดวงตาสีฟ้ามากด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นดีเลย ท่านนักบุญหญิงจะต้องถูกใจตัวข้าแน่”
ทุกคนส่ายหัวให้กับคำพูดขี้เล่นของเลออน ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องผลักองค์รัชทายาทไปให้นักบุญหญิง พวกเขาคิด
“แต่ก่อนอื่นข้าอยากเห็นหน้านักบุญก่อนสักครั้ง”
“ถ้าเช่นนั้นการไปพิธีสวดภาวนาดูเหมือนจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
เลออนฟังคำอธิบายเกี่ยวกับพิธีการในพิธีสวดภาวนาจากทหารคนสนิทแล้วก็ตัดสินใจลองทำเรื่องน่าสนุกดูสักครั้ง
นี่เป็นสภาพที่เขาเองก็ยังมองว่าอัปลักษณ์ ผิวภายนอกที่เต็มไปด้วยตุ่มหนองจากโรคผิวหนังและกลิ่นเหม็นเน่าจากเสื้อผ้าขาดวิ่นที่คนเฝ้าคอกม้าสวมใส่ที่ตั้งใจหามาทำให้ผู้คนเริ่มออกห่างจากเลออน แม้จะกล่าวว่าผิวหนังปลอมนี้ถูกทำขึ้นอย่างพิถีพิถันแต่ข้อเสียก็คือมันไม่อาจหลอกสายตาได้ แต่เพราะทุกคนถอยห่างออกไปไกลเช่นนี้จึงไม่มีใครที่รู้สึกถึงความผิดปกติจากเขา
‘วันนี้คงต้องแสดงละครหน่อยแล้ว’
เขาจงใจแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางผู้คนและจองที่ตรงหัวมุมถนนที่นักบุญหญิงจะเดินผ่าน เมื่อถึงเวลาทำพิธีประสาทพร นักบุญหญิงก็จะเดินผ่านหน้าตนพอดี
‘อย่าว่าแต่ได้จับตัวเลย คงจะรีบสั่งให้รีบพาตัวออกไปทันทีมากกว่า’
นึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับนักบุญหญิงที่เคยได้ยินมาจนถึงตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นเช่นนั้น แสร้งทำเป็นโดนผลักล้มกลิ้งไปมาดีหรือไม่ หรือแสร้งทำตัวเป็นชายชราที่น่าสงสารที่เหลือเวลาชีวิตอีกไม่มากพลางจับปลายเสื้ออย่างอ่อนแรงดีไหมนะ เลออนที่กำลังคิดเช่นนั้นหันไปมองทางเข้าเมื่อได้ยินเสียงร้องว่านักบุญหญิงออกมาแล้ว
“เอ๋?”
เสียงร้องตกตะลึงหลุดออกมาเองโดยอัตโนมัติ มีชายคนหนึ่งที่สามารถรู้ได้ว่าเขาคือใครแม้ไม่มีใครบอกยืนอยู่ตรงนั้น นั่นคือราธบัน ผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหาร
‘ได้ยินมาแน่ชัดแล้วว่าเขาไม่มาอารักขานี่?’
แต่ชายที่ยืนอยู่กับนักบุญหญิงไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้ ราธบันจับมือของนักบุญหญิงและยืนคุ้มกันอยู่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เลออนเบนสายตาลง เขาพิจารณามือของราธบันที่จับมือของนักบุญหญิงอยู่
ภาพของมือใหญ่และหยาบสีผิวคล้ำแดดที่กำลังประคองมือของนักบุญหญิงเอาไว้ในมือของตนราวกับของล้ำค่าสะท้อนเข้ามาในตาของเลออน
เป็นการคุ้มกันที่แสนธรรมดา และการคุ้มกันแบบนี้ก็เป็นการคุ้มกันที่แพร่หลายมากมิใช่หรือ
‘แต่นั่นมันเป็นไปไม่ได้ในความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนสิ’
นั่นคือราธบันผู้โดนเหยียดหยามให้คลานเยี่ยงสุนัขต่อหน้านักบุญหญิงเพื่อร้องขอให้นางช่วยชีวิตของรองผู้บัญชาการ แล้วทำไมเขาถึงได้ไปคุ้มกันแบบนั้นได้?
‘ได้ยินว่าเขาก็ปฏิเสธการอารักขาด้วยจริงๆ’
แต่จู่ๆ ก็กลับมาอารักขานักบุญหญิงอีกครั้งอย่างนั้นหรือ นี่มีเพียงคำตอบเดียว นั่นคือเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นที่พอจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนไป
‘คงไม่ใช่ว่านักบุญหญิงพาผู้บัญชาการขึ้นเตียงไปหรอกใช่ไหม’
ตามข้อมูลที่เคยได้ยินมา ราธบันมิใช่คนที่จะยอมประณีประนอมด้วยเรื่องเช่นนั้น ถ้าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์กันจริง ก่อนหน้านี้คงมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว เพราะราธบันและนักบุญหญิงมีความสัมพันธ์ที่รู้จักกันมานานมาก
‘หรือว่านักบุญหญิงแสดงปาฏิหาริย์อะไรให้ดูหรือเปล่า?’
วิธีที่จะเปลี่ยนใจของรองผู้บัญชาการแห่งวิหารผู้ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับความศรัทธาในพระเจ้าผู้นั้น
หากไม่ใช่เรื่องนี้ก็ไม่มีเรื่องใดอีกแล้ว
ระหว่างนั้นเอง นักบุญหญิงกำลังเดินเข้ามาใกล้ แถวแตกกระจายและวุ่นวายมาก ด้วยเพราะจู่ๆ ชาวบ้านก็ดันกันไปมาเพื่อที่จะได้ออกมาด้านหน้า เลออนไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย เขาตั้งใจล้มลงไปบนตำแหน่งที่นักบุญหญิงจะเห็นชัดที่สุด แถมยังไม่ลืมที่จะถอดฮู้ดออก จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง
“ท่านนักบุญหญิง! ได้โปรดประสาทพรให้แก่ข้าด้วย!”
สายตาของชาวบ้านต่างก็จ้องมา จะไล่ออกไปไหม หรือจะสั่งให้พาไป แต่ไม่ว่าทางใดเขาก็อยากเข้าไปใกล้นักบุญหญิงให้มากกว่านี้อีกหน่อย ไม่นานนักบุญหญิงก็หันไปกระซิบกระซาบบางอย่างกับราธบัน จากนั้นเขาก็ปล่อยมือของนางและเดินเข้ามาหาเลออน หลังจากตอนนั้นเองก็ได้ยินตะโกนดังขึ้น
“โสเภณีโสโครก!”
ความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นจากคำพูดนั้น ทั้งการปาไข่และชาวบ้านที่เอะอะโวยวาย เลออนมองไปยังความวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วยสายตาที่ปนเปไปด้วยความหงุดหงิด เขาเกือบจะได้เห็นนักบุญหญิงใกล้ๆ กว่านี้แล้วเชียว ใครจะไปคิดว่าต้องมาพลาดเพราะเรื่องพวกนี้ แต่ไม่นานเขาก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะนักบุญหญิงที่เขาคิดว่ากลับเข้าไปในวิหารหลวงแล้วกลับเดินเข้ามาใกล้เขาอีกครั้ง
ต่อมา นักบุญหญิงที่เดินมาถึงหน้าตนก็เอ่ยปากถาม
“ยังอยากให้ข้าประสาทพรให้อยู่หรือไม่?”
นักบุญหญิงดูสงบนิ่งเป็นอย่างมากระหว่างที่พูดเช่นนั้น การเดินเข้ามาหาโดยละทิ้งความวุ่นวายไว้ด้านหลังทำให้เลออนถูกใจมาก
‘น่าสนุกนี่’
นักบุญหญิงกล่าวคำอวยพรสั้นๆ ให้แก่เขาทันทีที่เลออนพยักหน้า จากนั้นก็จุมพิตลงบนผมที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าและผิวหนังที่น่าขยะแขยง เลออนรู้ว่านี่ไม่ใช่ท่าทางที่นางต้องทำเพื่อให้ใครเห็น กระทั่งเหล่านักบวชยังเดินถอยหลังไป แต่นักบุญหญิงผู้อาศัยอยู่ในวิหารเท่านั้นกลับไม่สะทกสะท้านเลย
นักบุญหญิงที่จุมพิตลงบนผมของเขากำลังจะผละออกไป
‘น่าเสียดายแฮะ’
มันน่าเสียดายที่ต้องจบลงเช่นนี้ เขาอยากพบกันให้นานกว่านี้ สัญชาติญาณของเขากำลังบอกว่า สตรีผู้นี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้หญิงที่รักสนุก เลออนยื่นมืออกไปจับผมบลอนด์ที่กำลังพริ้วไหวอยู่ตรงหน้าเขาอย่างนุ่มนวล สัมผัสที่พันรอบมือถูกใจเขาเป็นอย่างมาก
สายตาพลันปะทะกันเมื่อเงยหน้าขึ้น วินาทีนั้นเขาเห็นนัยน์ตาของนักบุญหญิงกำลังสั่นไหว นางค้นพบการปลอมตัวของเขาในพริบตา เลออนจุมพิตลงบนเส้นผมที่พันอยู่ในมือ
“ข้าจะรอวันที่ได้พบท่านนักบุญหญิงอีกนะ”
ในคราวหน้าก็อยากจะลองจุมพิตลงบนที่อื่นบ้าง
หลายวันต่อจากนั้นเลออนมีความสุขมากในทุกวันจนแทบทนไม่ไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้หลังจากนักบุญหญิงส่งจดหมายตอบรับเข้าพบคณะราชทูตจากจักรวรรดิมาให้ เขาก็ถึงกับฮัมเพลงออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘ในที่สุดก็จะได้เจอกันอีกแล้ว’
ภาพของนักบุญหญิงที่เห็นในพิธีการของพิธีสวดภาวนาพลันแวบผ่านเข้ามาในหัวของเขา ภาพที่นางโดนชาวบ้านชี้นิ้วด่าท่ามกลางไข่เน่าที่ร่วงไหล