หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 4.4 เลออน (4)
เลออนรู้สึกงุ่นง่านใจ เขากำลังถามคำถามที่ในวันนี้ถามกับเหล่าทหารคนสนิทมาแล้วเกินสิบครั้ง
“ยังไม่มีจดหมายตอบหรือ?”
เหล่าทหารคนสนิทถอนหายใจออกมาสั้นๆ คล้ายว่าเหนื่อยหน่ายที่จะตอบคำถามของเลออนแล้ว
“ดูท่าพระองค์จะถูกใจนักบุญหญิงมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ?”
ทหารคนสนิทคนเก่าแก่ผู้หนึ่งพูดขึ้นเพราะไม่อาจทนอยู่นิ่งๆ ได้แล้วเมื่อเห็นเลออนเดินวนไปวนมา
“ใช่ มากเลย”
เลออนพยักหน้าอย่างแรงราวกับไม่คิดจะปิดบัง ช่วงเวลานี้ของเมื่อวาน มีจดหมายตอบมาจากนักบุญหญิง แต่วันนี้กลับยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ ดังนั้นเลออนจึงคิดว่าอาจจะได้รับคำตอบที่ต่างจากเมื่อวานก็ได้? และเดินวนอยู่ในห้อง แม้ยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรแต่เขาก็เบิกบานกับความรู้สึกงุ่นง่านนี้
‘ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว’
เลออนไม่ได้รู้สึกถึงความจริงที่ว่าตนคือองค์ชายรัชทายาทมานานแล้ว ตนไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำอะไรในวิหารหลวงได้อย่างอิสระ
“ชัดเจนไปหรือเปล่านะ…”
เหล่าทหารคนสนิทกล่าวออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำเมื่อได้ยินคำบ่นพึมพำของเขา
“พวกข้าห้ามท่านแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาห้ามเลออนด้วยแรงทั้งหมดแล้วจริงๆ อย่างแรกคือเมื่อฐานะที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผย ปัญหาเรื่องความปลอดภัยก็กลายเป็นเรื่องน่าปวดหัวทันที ที่นี่คือวิหารหลวง สถานที่แห่งนี้ ของมีคมและเลือดได้รับอนุญาตแค่หน่วยอัศวินแห่งวิหารผู้ที่สาบานตนแก่พระเจ้าแล้วเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่มีการปะทะเลย หลายประเทศบนแผ่นดินยังคงทำสงครามกันอยู่ทั้งขนาดย่อมและขนาดใหญ่ เหล่าบุคคลสำคัญของแต่ละประเทศต่างก็พักแรมอยู่ที่วิหารหลวงเพื่อรักษาบาดแผลที่ได้จากสงคราม ท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้น มีคนจำนวนมากที่เป็นศัตรูอย่างใหญ่หลวงกับจักรวรรดิ
ทว่าองค์ชายรัชทายาทกลับปรากฏตัวที่วิหารหลวงอย่างไม่สะทกสะท้านเสียนี่ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ประหลาดแล้ว เป็นอย่างที่คาด ทันทีที่ข่าวว่าเลออนอยู่กับคณะราชทูตของจักรวรรดิแพร่ออกไป จำนวนของแขกไม่ได้รับเชิญก็เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่วันนั้น
‘แต่ก็ อย่างไรพระองค์ก็ไม่ใช่คนที่จะพลาดท่าได้ง่ายๆ…’
ความจริงข้อนั้นช่วยปลอบประโลมความร้อนรุ่มในใจของเหล่าทหารคนสนิท องค์จักรพรรดิผู้เกลือกกลั้วอยู่ในสนามรบไม่มีทางจะเลี้ยงบุตรชายให้ออกมาอ่อนแอ ต่อให้มิได้รับการขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดแต่เขายังสามารถประจัญหน้ากับผู้บัญชาการอัศวินที่มีความสามารถไม่ธรรมดาได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้เห็นองค์ชายรัชทายาทจ้วงแทงแขกที่มาเยือนยามวิกาลพลางบ่นพึมพำว่า ‘ไม่ได้พกจดหมายตอบกลับมาให้ข้าด้วยซ้ำ…’ ก่อนที่พวกเขาจะได้ขยับตัวเสียอีก
“เดี๋ยวข้ามา”
“จะไปไหนพ่ะย่ะค่ะ!”
คิดว่าจะอยู่รอจดหมายตอบของนักบุญหญิงที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อใดเสียอีก ทุกคนตกตะลึงและเอ่ยปากห้ามเมื่อเห็นองค์ชายรัชทายาทที่จู่ๆ ก็จะเดินออกจากประตูห้องไป
“ข้าอยู่รอเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้แล้วน่ะสิ”
สีหน้าขององค์ชายรัชทายาทดูตื่นเต้นมากขณะพูดเช่นนั้น องค์ชายรัชทายาทต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาอยู่ในพระราชวังโดยไม่มีสงครามมาระยะหนึ่งแล้ว แม้เขาจะลุ่มหลงในความสัมพันธ์อันร้อนแรงอยู่สักพัก แต่ไม่ช้าเขาก็ตัดความสัมพันธ์ราวกับเป็นเรื่องโกหก พอหลังจากนั้นก็จะกล่าวว่าเบื่อเสมือนเป็นคำพูดติดปาก คราวนี้ดูท่าเขาจะตั้งเป้าไปที่นักบุญหญิง
เลออนทิ้งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวของเหล่าทหารคนสนิทไว้ด้านหลังและออกมายังทางเดิน ดวงตาของเขาหรี่ลง
“งานที่ได้รับมาก็ยังต้องทำด้วย”
มีงานที่เขาต้องทำนอกเหนือจากเรื่องที่สนใจในตัวนักบุญหญิงอีก นั่นคือการสืบค้นเกี่ยวกับราธบันผู้เป็นผู้บัญชาการของหน่วยอัศวินแห่งวิหาร
ตอนที่ตระหนักได้ว่าวิหารหลวงเป็นอุปสรรคของจักรวรรดิ แน่นอนว่าวิธีการที่เขาคิดได้ครั้งแรกคือการทำให้ยอมจำนนด้วยกำลัง
กองทัพของจักรวรรดิเป็นกองทัพที่มีความเชี่ยวชาญในการพิชิตสงคราม และจำนวนของกำลังพลยังมีมากกว่าประเทศใดๆ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จักรวรรดิของเขาจะไม่อาจชิงชัยจากวิหารหลวงซึ่งมีขนาดเทียบเท่าแค่เมืองๆ หนึ่ง
‘ทว่าก็ทำไม่ได้’
จักรวรรดิไม่อาจโค่นวิหารหลวงลงได้ สาเหตุเป็นเพราะนักบุญหญิง นักบุญหญิงผู้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์อันแกร่งกล้าและปกปักรักษาแผ่นดินจากปีศาจ พลังศักดิ์สิทธิ์ของนางสามารถสร้างเกราะป้องกันการโจมตีจากภายนอกได้ หากนักบุญหญิงใช้พลังนั้นกับวิหารหลวงซึ่งไม่ต่างป้อมปราการที่ปกป้องตนเองได้ กองทัพของจักรวรรดิก็คงอยู่ในสภาพที่ทำได้เพียงเฝ้ามองจากด้านนอกไปตลอดชีวิต
‘และถึงจะปะทะกันก็ยังต้องเจอกับความเสียหายมหาศาล…’
วิหารหลวงครอบครองโล่ที่แกร่งกล้าที่สุดที่เรียกว่านักบุญหญิง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีดาบ
หน่วยอัศวินแห่งวิหารเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งต่อสู้กับปีศาจของแผ่นดิน ราธบันซึ่งเป็นผู้นำของอัศวินเหล่านั้นคือคนที่อัศวินทั่วทั้งแผ่นดินยกย่องและมีความปรารถนาที่จะปะทะดาบด้วยสักครั้ง
ไม่กี่ปีก่อน ปีศาจยักษ์ชื่อว่าเฮเบอร์ลอนปรากฏกายขึ้นที่ชายแดนของแผ่นดิน มันเป็นหนึ่งในปีศาจที่นักบุญหญิงคนแรกผนึกไว้เมื่อนานมาแล้ว
ทันทีที่เฮเบอร์ลอนเข้ามาในแผ่นดิน มันก็ทำลายหมู่บ้านไปกว่าสิบแห่งและสังหารผู้คนไม่เลือกหน้า ทุกประเทศในแผ่นดินต่างก็กลั้นหายใจให้กับพละกำลังนั้น พวกเขายอมถูกฆ่าตายจนกว่าปีศาจตัวนั้นจะพอใจแทนการยืนหยัดต่อสู้และภาวนาให้มันหลับไหลไปอีกครั้ง ในตอนที่หมู่บ้านซึ่งมิมีผู้ใดปกป้องกำลังรอคอยความตายอยู่นั้น ผู้ที่วิ่งไปหาเฮเบอร์ลอนก่อนใครก็คือราธบัน
‘แล้วก็พ่ายแพ้เลยน่ะสิ’
อัศวินซึ่งเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งโค่นล้มปีศาจในตำนาน ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของราธบันจึงเลื่องลือไปทั่วแผ่นดินและได้ความความเคารพจากทุกคน
หากหน่วยอัศวินแห่งวิหารซึ่งนำโดยราธบันปะทะกับอัศวินแห่งจักรวรรดิจะเป็นอย่างไร แม้พวกเขาจะมีจำนวนมากเพียงใดแต่ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าความเสียหายที่ได้รับคงใกล้เคียงกับการกวาดล้างกำลังพลหลักของอัศวินแห่งจักรวรรดิได้เลย
หากต้องเสียหายถึงเพียงนั้นเพื่อกำราบวิหารหลวง แล้วต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร
ทุกประเทศคงอ้างถึงเหตุผลอันชอบธรรมและลุกฮือขึ้นมาพร้อมกัน จักรวรรดิที่ได้รับความเสียหายด้านกำลังพลอย่างใหญ่หลวงไม่มีทางนำชัยชนะมาจากการประจันหน้ากับประเทศนับสิบได้
‘ทุกคนไม่ได้โง่งมจนไม่แตะต้องวิหารหลวง’
เลออนทราบดีว่าในอดีตก็เคยมีคนพยายามทำให้วิหารหลวงยอมจำนน ทว่าก็กลับไปด้วยความพ่ายแพ้ทั้งหมด
‘ดังนั้นจึงต้องทำลายจากภายใน…’
พลังที่ค้ำจุนวิหารหลวงมีอยู่สองอย่าง
หนึ่งคือ นักบุญหญิงผู้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ และสองคือจิตใจที่ศรัทธาในพระเจ้าอย่างแน่วแน่ซึ่งทุกคนในแผ่นดินมีต่อนักบุญหญิงและวิหารหลวง สิ่งนี้มีมาอย่างหนักแน่นตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ทว่าในครั้งนี้ต่างออกไป
ในตอนที่นางขึ้นดำรงตำแหน่งนักบุญหญิงคราแรก อีเบลลีน่า นักบุญหญิงคนที่สี่สิบเก้าเป็นนักบุญหญิงที่ใครต่างก็สรรเสริญ เพราะความศรัทธาอันมั่นคงที่มีต่อพระเจ้าไปจนถึงรูปโฉมงดงามที่ไม่ว่าใครได้มองก็ทำให้จิตวิญญาณหลุดลอย รวมถึงภาพลักษณ์ที่เพียรพยายามในฐานะนักบุญหญิง แต่สิ่งนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน ตอนนี้คำที่นำหน้าชื่อของอีเบลลีน่ามีแต่ถ้อยคำบรรยายถึงความสกปรกทุกประเภทติดอยู่
‘นี่คือโอกาส’
เลออนฮัมเพลงระหว่างเดินไปตามทางเดิน ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของวิหารหลวง ท่ามกลางนักบุญหญิงจำนวนมาก อีเบลลีน่าเป็นนักบุญหญิงคนแรกที่ไม่ได้รับการเคารพบูชาเช่นนี้ ดังนั้นวิหารหลวงจึงสับสนไม่รู้จะทำอย่างไรกับนักบุญหญิงที่เอาแต่ใจดี
‘คนที่เราเลี้ยงไว้ก็จะตั้งใจทำงานดี’
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพิธีสวดภาวนาแพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดินอย่างมีเจตนาร้าย คนที่จักรวรรดิเลี้ยงไว้ใส่ไฟเรื่องที่เกิดในวันนั้นเข้าไปอีกจนทำให้อีเบลลีน่ากลายเป็นนางร้ายที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองในโลกใบนี้
‘ท้องฟ้าไม่จำเป็นต้องมีอาทิตย์สองดวง’
หากมีสองดวงขึ้นพร้อมกันก็ดึงอีกดวงลงมาเสียก็สิ้นเรื่อง เลออนเข้าไปใกล้หน้าต่างและมองดูวิหารหลวง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องนำที่แห่งนี้ซึ่งเป็นดั่งเมืองขนาดใหญ่และป้อมปราการลงมาอยู่แทบเท้าของจักรวรรดิในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ให้ได้
“ถ้าเป็นแบบประเทศอื่นๆ ก็คงไม่ต้องวุ่นวายถึงเพียงนี้”
หลังจากมองดูวิหารหลวง เขาก็พึมพำออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ย้อนนึกถึงมารดาของเขา ตอนที่บิดาของเขาพิชิตสงครามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าหญิงของประเทศที่อดกลั้นจนถึงสุดท้ายก็คือมารดา การแต่งงานจึงเป็นวิธีการง่ายๆ ที่ทำให้รวมสองประเทศเข้าด้วยกันสำเร็จ
แม้การส่งช็องฮนซอ[1]ไปพร้อมกับคอของเฉลยศึกมิใช่กล่องที่เต็มไปด้วยของมีค่าจะให้ความรู้สึกแตกต่างไปสักหน่อย
‘หากสามารถฮุบวิหารหลวงด้วยวิธีนั้นเช่นกันก็คงดี’
เลออนคิดเช่นนั้นพลางลูบคาง
“นักบุญหญิงแต่งงานได้ไหมนะ…?”
ลองคิดดูแล้ว ไม่มีเงื่อนไขที่ว่าร่างกายต้องบริสุทธิ์ในบรรดาเงื่อนไขของนักบุญหญิง อีเบลลีน่าจึงยังคงอยู่ในตำแหน่งของนักบุญหญิงได้ต่อไปแม้ว่านางจะเที่ยวเล่นกับชายหนุ่มแบบนั้นอย่างนั้นหรือ
“…ลองดูดีไหม?”
เขาคงต้องไปศึกษากฎระเบียบของวิหารหลวงให้มากกว่านี้ก่อนก็จริงแต่ก็ไม่เคยได้ยินกฎที่ขัดขวางการแต่งงานของนักบุญหญิงมาก่อน เลออนออกเดินอีกครั้งและเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเมื่อครู่ ทำเช่นนั้นบนปลายสุดของทางเดินเขาก็ได้พบคนที่ตนตามหา ราธบันยืนอยู่ที่นั่น
“นี่มัน ข้ากำลังคิดจะไปตามหาเซอร์อยู่พอดีเลย ช่างบังเอิญอะไรเยี่ยงนี้ ดูท่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะเอ็นดูข้าอยู่กระมัง”
เลออนเดินเข้าไปใกล้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่แล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อได้เห็นสีหน้าของราธบัน ราธบันกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู
“กลับมาแล้วหรือขอรับ!”
ทันทีที่ราธบันเข้าไปในหน่วยอัศวิน เหล่าอัศวินที่อยู่ตรงทางเข้าทำวันทยหัตถ์ให้เขาอย่างรวดเร็ว แม้ปกติก็ไม่ได้หละหลวมแต่เพราะตอนนี้กำลังฮึกเหิมเสียงนั้นจึงดังขึ้นทั่วทิศทาง ราธบันผงกหัวตอบรับเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวแล้วจางหายไปในทางเดิน
“ฮู…”
เหล่าอัศวินที่ทำวันทยหัตถ์เมื่อครู่ถอนหายใจอย่างผ่อนคลายก่อนจะเอามือลงเมื่อเขาลับสายตาไป
ราธบันกลับเข้ามาในห้องและเดินตรงไปนั่งลงที่โต๊ะหนังสือ จากนั้นขยี้ศีรษะของตนอย่างหยาบคาย เส้นผมตัดสั้นที่จัดทรงอย่างเรียบร้อยเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงในมือของเขา
“ทำไมกันนะ”
เขาถามกับตัวเอง เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมจึงได้แสดงความเป็นปรปักษ์กับองค์ชายรัชทายาทเลออน
องค์ชายรัชทายาทคือคนที่เขาไม่ชอบ เขามีเหตุผลเพียงพอที่จะเกลียดองค์ชายรัชทายาท องค์ชายรัชทายาทเป็นคนที่ไม่ปิดบังความโลภที่มีต่อวิหารหลวงเลย ดังนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้วที่เขาผู้ซึ่งมีหน้าที่ต้องปกป้องวิหารหลวงจะเกลียดองค์ชายรัชทายาท
แล้วจะให้เขายิ้มและคบค้าสมาคมกับคนที่จ่อดาบมาทางวิหารหลวงทุกครั้งที่มีโอกาสหรือ แต่ถึงอย่างไรองค์ชายรัชทายาทก็อยู่ในวิหารหลวงในฐานะของแขก ต่อให้รู้สึกอย่างไรก็สมควรดูแลเขาในฐานะแขกของวิหารหลวงแท้ๆ
ราธบันครุ่นคิดว่าเพราะเหตุใดตนจึงไม่ชอบเลออนถึงเพียงนี้ จากนั้นก็มีภาพหนึ่งแวบผ่านในสมอง ในตอนที่นักบุญหญิงไปพบคณะราชทูตของจักรวรรดิ องค์ชายรัชทายาทจุมพิตลงที่หลังมือของนาง แม้คนอื่นจะไม่ทราบแต่ราธบันสามารถสังเกตเห็นการกระทำขององค์ชายรัชทายาทได้ทันที นั่นไม่ใช่การจุมพิตเพื่อแสดงความเคารพทั่วไป เห็นได้ชัดว่าลิ้นขององค์ชายรัชทายาทเลียไปบนหลังมือของนักบุญหญิง ราธบันจึงนึกถึงข่าวลือทั้งหมดที่เกี่ยวกับเขาได้เมื่อเห็นการกระทำขององค์ชายรัชทายาท แม้เขาจะไม่สนใจข่าวคราวของคนอื่นก็ยังเคยได้ยินเรื่องความเจ้าชู้ขององค์ชายรัชทายาทอยู่บ่อยครั้ง
‘เห็นทีว่านิสัยแบบนั้นก็แก้ไม่ได้แม้จะอยู่ในวิหารหลวง’
หลังจากนั้นราธบันจึงยิ่งใส่ใจการอารักขานักบุญหญิงมากกว่าเดิม ค่อยยังชั่วที่นักบุญหญิงรับฟังคำชี้แนะของเขาจึงมิได้เรียกหาองค์ชายรัชทายาทอีก
‘ค่อยยังชั่ว…?’
ราธบันตกใจกับความคิดตนเอง ทำไมเขาถึงต้องรู้สึกโล่งใจที่นักบุญหญิงกับองค์ชายรัชทายาทไม่พบกันด้วย
แปลก เขาเอาแต่คิดแต่เรื่องที่ยากจะเข้าใจมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไรกัน
สายตาของเขาเบนไปทางไม้แขวนเสื้อที่อยู่ตรงมุมห้อง
ที่นั่นยังคงมีเสื้อคลุมของชุดพิธีการที่มีรอยยับย่นอยู่มุมหนึ่งแขวนอยู่
[1] ช็องฮนซอ (청혼서) จดหมายที่เจ้าบ่าวจะส่งไปเจ้าสาวให้พร้อมกับสินสอดในตอนแต่งงาน