หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 4.7 เลออน (7)
ฉันรู้สึกเหมือนจะตาย
ตอนนี้ภายในหัวของฉันมีแต่ความคิดเช่นนี้ จนถึงเมื่อครู่ก่อนก็ยังคิดว่าบางทีฉันอาจตายไปแล้ว หรือพูดให้ชัดเลยคือตั้งแต่ที่องค์ชายรัชทายาทเข้ามาในร่างของฉัน จังหวะที่เข้ามาอย่างแรงในครั้งเดียวเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดำมืดจากนั้นก็กลับมาขาวโพลนอีกครั้ง ทั่วทั้งร่างเหมือนกำลังฉีกขาด เป็นความเจ็บปวดที่น่ากลัวจนฉันคิดว่าบางทีความรู้สึกที่โดนเสาหลอดไฟยัดเข้ามาในส่วนล่างคงเป็นแบบนี้
ร่างกายกำลังขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง ฉันกัดริมฝีปาก
‘ทำเรื่องนี้ไปทำไม’
ในความทรงจำของอีเบลลีน่าที่ฉันเห็น นางมีความสัมพันธ์กับเหล่าชายหนุ่มเป็นประจำทุกวัน ฉันไม่เข้าใจเลยว่าความเจ็บปวดแบบนี้มันมีอะไรดีนักหนาถึงต้องทำมันทุกวัน ในตอนที่กำลังคิดเช่นนั้น แก่นกายของเลออนก็กระแทกเข้ามาด้านในจนสุด
“อ๊ะ อึ๊ง!”
ชั่วขณะ ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไม่คุ้นชิน เป็นความรู้สึกที่ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านทั่วทั้งร่างพร้อมกับที่ฉันจิกฝ่าเท้าโดยไม่รู้ตัว
‘ไม่นะ’
สัญชาตญาณของฉันกรีดร้อง ฉันอยากจะผลักเขาออกไป แต่องค์ชายรัชทายาทกลับดึงฉันเข้ามากอดไว้แน่นราวกับรู้ว่าฉันจะทำแบบนั้น ร่างกายที่แน่บชิดจนแน่นของเขากำลังสั่นไหว จากนั้นสักพัก เขาก็ถอนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า ฉันส่งเสียงครวญครางออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อของที่สอดใส่อยู่จนถึงเมื่อครู่หลุดออกไป มีบางอย่างอุ่นๆ ไหลผ่านต้นขาของฉัน
‘จบแล้วเหรอ…?’
แบบนี้ก็ได้หรือยัง? สิ่งนี้ช่วยให้ฉันได้ครอบครองร่างกายนี้ต่อไปอีกหน่อยแล้วใช่ไหม?
ฉันรู้สึกเหมือนน้ำตาจะทะลักออกมา มันคือน้ำตาแห่งความโล่งใจ ฉันค่อยๆ ขยับตัวอย่างเชื่องช้า องค์ชายรัชทายาทเอื้อมมือมากอดเอวฉัน
“…?”
ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยปากถามว่าทำแบบนี้ทำไมออกไป แก่นกายที่แข็งขืนขึ้นมาอีกครั้งของเขาก็เข้ามาจับจองพื้นที่ระหว่างขา ฉันมองเขาด้วยความตกใจ เขาโน้มลงมาจุมพิตพวงแก้มของฉันก่อนจะกล่าวออกมาราวกับเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
“ท่านคงไม่ได้คิดว่าจะทำแค่เพียงครั้งเดียวหรอกใช่ไหม”
หลังจากพูดจบ องค์ชายรัชทายาทยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับคางฉันทั้งที่ยังจับเอวเอาไว้แน่น ริมฝีปากของเขาทาบลงมาอีกครั้งโดยที่ฉันยังไม่ทันจะได้โต้ตอบอะไรกลับไป ฉันนึกถึงจูบในครั้งแรกและเตรียมพร้อมรับการลุกล้ำที่จะเข้ามาอย่างไม่ลังเลแต่ทว่าครั้งนี้มันต่างออกไป
“อื้อ…”
หากครั้งแรกคือการเคลื่อนไหวของลิ้นที่หยาบคายราวกับยัดเยียดเข้ามา ในครั้งนี้ก็ใกล้เคียงกับการละเมียดอย่างเชื่องช้า ปลายลิ้นค่อยๆ เข้ามาเกี่ยวกระหวัดลิ้นของฉันและสะกิดเนื้อนุ่มที่อยู่ด้านในราวกับหยอกล้อ ทันทีที่ฉันรู้สึกวูบวาบจนบิดตัว เสียงหัวเราะสั้นๆ คล้ายกำลังสนุกก็หลุดออกมาจากปากของเขา
ฝ่ามือของเขาเคลื่อนลงไปด้านล่างเมื่อการจุมพิตที่ยาวนานจบลง มือที่เคยใช้ลูบไล้ลำคอกำลังบีบคลึงเนื้อใต้เนินอกเบาๆ ความรู้สึกแปลกๆ แผ่ซ่านจากส่วนล่างไปทั่วร่างกายอีกครั้ง ฉันรู้สึกแปลกจนขยับตัวขึ้น เขาเข้ามากระซิบข้างใบหู
“คิดว่าถ้าได้ทำไปครั้งหนึ่งแล้วความอยากจะลดลงบ้างเสียอีก”
ขณะที่พูดเช่นนั้น เขาใช้นิ้วมือดึงยอดอกขึ้นเล็กน้อย
“อ๊ะ อือ!”
หว่างขาของฉันบีบรัดโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นแท่งเนื้อของเขาที่อยู่ระหว่างกลางก็กระตุก
“ไม่รู้ทำไมกลับยังกระหายยิ่งกว่าเดิม”
พูดจบ เขาก็ขยับส่วนล่างของตนเองช้าๆ แก่นกายที่แทรกอยู่ระหว่างต้นขาขยับเข้าออกระหว่างขาของฉันจนส่งเสียงเฉอะแฉะอีกครั้ง จังหวะที่แก่นกายใหญ่ซึ่งเปอะเปื้อนไปด้วยของเหลวที่หลั่งออกมาของทั้งคู่กำลังถูไถกับส่วนล่างอย่างรวดเร็ว ร่างกายก็พลันแข็งเกร็ง คล้ายจะสอดใส่กลับเข้ามาทันที
แต่เขาก็ยังไม่ได้ดันมันเข้ามา
เขาหลับตาจุมพิตที่คอของฉัน เรียวลิ้นเลียไปตามต้นคอ มือของเขาค่อยๆ ลูบไล้ลงมาตามแนวหลัง และออกแรงบีบกระดูกเชิงกรานของฉันเล็กน้อย ร่างกายของฉันที่นอนแผ่ราบอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียงส่งเสียงตุ้บและหมุนกลับทันที
ใบหน้าสัมผัสเข้ากับผ้าปูเตียงที่แข็งทื่อและเย็นเฉียบ ฉันได้สติกลับมาชั่วครู่เมื่อสัมผัสกับความรู้สึกเย็นวาบ
“อา…”
ฉันต้องลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับไม่มีเรี่ยวแรง มือของเขายกเอวฉันขึ้น เรียวขาที่เข้ามาทางด้านหลังแยกขาของฉันที่ค้ำอยู่ด้วยสภาพคุกเข่าออก
แปะ แปะ
ทันใดนั้น เสียงน้ำหยดลงบนผ้าปูเตียงดังขึ้น ร่างกายแยกออกพร้อมกับของเหลวที่ขังอยู่ในตัวฉันกำลังไหลออกมา
“อา…”
“ไหลออกมาหมดแล้ว”
เขาใช้ฝ่ามือลูบต้นขาด้านในที่มีของเหลวไหลออกมาราวกับเสียดาย จากนั้นก็แนบลำตัวมาบนหลังของฉัน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะใส่มันกลับเข้าไปอีกครั้งเอง”
ในตอนที่เขากำลังจะสอดใส่แก่นกายเข้ามาอีกครั้งนั่นเอง
แต๊ง!
เสียงระฆังดังขึ้นมาจากหอระฆังของวิหารหลวงจากที่ไกลๆ ฉันมองมือตนเองหลังจากเสียงระฆังครั้งที่สิบสองจบลง ยังอยู่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะและล้มลงไปแต่อย่างใด ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงอีเบลลีน่าด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่
‘ฉันไม่ได้ถูกแย่งเอาร่างไป!’
ฉันขยับตัวพรวดพราดขึ้นมาทันทีเมื่อคิดได้แบบนั้น แล้วก็ผลักร่างของเขาที่กำลังจะเข้ามาในส่วนล่างของฉันออก ร่างกายของเขาที่ไม่คาดคิดว่าฉันจะขยับตัวอย่างกะทันหันถูกดันไปด้านหลัง
“…ท่านนักบุญหญิง?”
ฉันจัดชุดนอนให้เรียบร้อยโดยไม่สนใจเขาที่ร้องเรียกฉันด้วยน้ำเสียงสับสน ชุดนอนที่อยู่ในสภาพกึ่งถอดออกบนร่างมีกระดุมบางเม็ดหายไป แต่โชคดีที่มันยังสามารถปกปิดร่างกายได้อยู่ ฉันใส่เสื้อผ้าด้วยมือที่สั่นเทาพลางมองไปยังองค์ชายรัชทายาทที่ยังอยู่บนเตียง เขากำลังจ้องมองฉันด้วยใบหน้าเหม่อลอยราวกับยังไม่เข้าใจสถานการณ์นี้
เขายืนอย่างสับสนภายใต้เครื่องแต่งกายยุ่งเหยิง ฉันรีบหันหน้าหนีทันทีเมื่อเห็นความเป็นชายของเขา ท่อนเอ็นสีแดงเข้มที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนมองดูแล้วไม่ต่างจากอาวุธ จนถึงก่อนหน้านี้ มันทะลุตัวฉันเข้ามา หลายต่อหลายครั้ง
นั่นเป็นสิ่งที่ฉัน ไม่สิ สิ่งที่อีเบลลีน่าต้องการ
“…ขอบคุณค่ะ”
ฉันโพล่งออกไปทันทีอย่างไม่รู้ตัว จากใจจริง
“อะไรนะ?”
องค์ชายรัชทายาทมีสีหน้าไม่เข้าใจ ฉันโค้งศีรษะให้เขาอีกครั้ง
“…ขอโทษ”
ฉันใช้ประโยชน์จากเขา อย่างไรฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะทำมันเพราะชื่นชอบขนาดนั้น คงเป็นเพราะคนที่ให้ความสนใจเอ่ยปากเชิญชวนพอดีเลยทำได้อย่างสบายใจ ฉันคิดว่าโชคดีที่เลือกเขา เลยได้ดำเนินการทำเงื่อนไขของอีเบลลีน่าในตอนที่ยังไม่สายเกินไป อีกทั้งเขายังนอนกับผู้หญิงที่ตนมุ่งหมายเพียงครั้งเดียว ตอนนี้คงจะกลับจักรวรรดิไปได้พอดี
ฉันขยับเรียวขาที่ไร้เรี่ยวแรงเดินไปทางประตู
“ให้ตายเถอะ นี่มันอะไร…! ท่านรอก่อน!”
เสียงใส่เสื้อผ้าของเขาดังขึ้นมาทางด้านหลังอย่างเร่งรีบ ฉันรีบเปิดประตูที่ล็อกไว้ อยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรือพูดให้ชัดเจนคืออยากหนีจากหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าฉันยอมรับเงื่อนไขของอีเบลลีน่า
เสียงกุกกักดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก เมื่อปะทะเข้ากับอากาศเย็นสบายที่มาจากด้านนอกก็พลันได้สติกลับมา ในขณะเดียวกับที่รู้สึกปวดแสบขึ้นมาจากด้านล่างท้องน้อย ราวกับมันจะย้ำเตือนว่าเมื่อครู่ก่อนฉันได้ทำอะไรมา
ฉันยินดีกับความเจ็บปวดนั้น
ยังเป็นร่างกายของฉันอยู่ ร่างกายของฉัน ที่ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวด
“อีเบลลีน่า!”
ใส่เสื้อแล้วงั้นเหรอ ฉันได้ยินเสียงองค์ชายรัชทายาทเอ่ยเรียกพร้อมกับตามมาจากด้านหลัง ร่างกายหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงที่เอ่ยเรียกอีเบลลีน่า ใช่แล้ว อีเบลลีน่า ตอนนี้นั่นคือชื่อของฉัน
ความเย็นของพื้นหินแข็งกำลังแล่นขึ้นมาบนฝ่าเท้าเปลือยเปล่า ต้องรีบออกไปจากที่นี่โดยไว
“อึก…”
ทว่าจังหวะที่ฉันก้าวเท้าออกไป ความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่ด้านในแผ่กระจายไปทั่วขา ฉันโน้มตัวลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่น่าขนลุกนั่น กำลังจะล้มสินะ ในจังหวะที่ฉันคิดแบบนั้นเอง
ปึก!
มีบางอย่างจับฉันเอาไว้ ทันทีที่หันศีรษะกลับไปด้วยความตกใจก็ได้เห็นคนที่จับฉันเอาไว้อยู่ ฉันรู้สึกไม่อยากเชื่อสายตา ราธบันกำลังยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าถมึงทึงแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงตอนนี้
***
เลออนไม่เข้าใจเลย เขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นักบุญหญิงเป็นคนเอ่ยปากเสนอเขาก่อน แน่นอนว่าเขาตอบรับข้อเสนอด้วยความยินดี แต่เขาคิดว่าจะได้เกลือกกลิ้งไปด้วยกันจนถึงเช้ามืดเพราะนางเป็นคนลากเขาเข้าไปในห้องที่ว่างอยู่ราวกับรอกระทั่งไปถึงที่พักของเขาไม่ไหว
แต่ก็เพียงแค่รอบเดียวเท่านั้น เหมือนกับคนที่หลงทางในทะเลทรายได้แค่ทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นด้วยน้ำ เขาอุตส่าห์คิดว่าจากนี้ตนจะถูกขังร่างอยู่ในน้ำพุลึก คิดว่าจะได้คลายความกระหายลงบ้างไปจนถึงเช้า
แต่มันกลับหยุดลงแค่ตรงนั้น ทันทีที่ได้ยินเสียงระฆังบอกเวลาเที่ยงคืนที่ดังมาจากที่ไกลๆ นักบุญหญิงก็ลุกขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นยังกล่าวคำพูดขอบคุณ ขอโทษที่เขาไม่เข้าใจและออกจากห้องไป
จนถึงตอนนี้แม้เขาเคยจะมีสัมพันธ์กับหญิงสาวมานับไม่ถ้วน แต่ก็เพิ่งเคยพบเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก หากนางหวาดกลัวเขายังพอเข้าใจได้ แต่สีหน้าที่ปรากฏบนใบหน้านักบุญหญิงกลับไม่ใช่สิ่งนั้น
เขามองเห็นกระทั่งความโล่งใจที่ปรากฏบนใบหน้าของนาง ราวกับการหลับนอนกับเขาเป็นเพียงหนึ่งในงานที่นางต้องทำวันนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงร้องไห้ ก่อนอื่นเขาต้องไปทำให้นางสงบลงและพูดคุยกันก่อน
เพื่อจะไปจับนักบุญหญิงที่ออกจากประตูไปแล้ว เขาจึงค้นเจอกางเกงที่ถอดทิ้งไว้อย่างรวดเร็ว เขาไม่มีเวลาคิดด้วยซ้ำว่านี่เป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง กางเกงใส่เข้าไปถูกหรือไม่
‘มาทำแบบนี้ได้ที่ไหนกัน?’
เขาอยากออกไปจับนางกลับมาซักถามเดี๋ยวนี้ เขาถึงกับเกิดความรู้สึกเหมือนถูกนางหลอกใช้เพื่อความสนุกอยู่ครู่หนึ่ง บางทีคำว่า ‘ฟันแล้วทิ้ง’ ที่ทุกคนพูดกันคงใช้ในสถานการณ์เช่นนี้กระมัง เลออนไล่ตามหลังนักบุญหญิงออกมาที่โถงทางเดิน
เขาทันเห็นภาพที่นางซวนเซจวนจะล้มลง แต่กลับมีมือยื่นมาคว้านางเอาไว้ น้ำเสียงพึมพำหลุดออกมาจากปากของเลออนหลังจากเห็นหน้าของชายผู้นั้น
“เซอร์ราธบัน…”
คนที่จับนักบุญหญิงที่กำลังจะล้มลงไว้คือราธบัน จังหวะที่สบตากับเขา เลออนก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเลขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว มันคือสายตาที่คล้ายว่าจะเข้ามาฉีกร่างของตนให้ตายบัดเดี๋ยวนั้น ตอนนั้นเองเลออนจึงคิดได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะถูกมองอย่างไรในสายตาของคนอื่น
นักบุญหญิงใส่ชุดนอนสภาพขาดวิ่นวิ่งร้องไห้ออกมา และเขาที่แต่งกายไม่เรียบร้อยก็กำลังวิ่งออกมาจับนางไว้
ตอนนั้นเอง ราธบันหันไปเปิดปากพูดกับนักบุญหญิง
“ท่านต้องการลงโทษคนผู้นั้นหรือไม่”
เลออนรีบค้นหาดาบของตนทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่ทว่าดาบขนาดกลางที่เขาพกมาเพื่อป้องกันตัวคงนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงในห้องที่เขาใช้ร่วมสังวาสกับนักบุญหญิงเมื่อครู่
‘ให้ตายเถอะ’
ความคิดว่าหรือนี่เป็นแผนการของนางพลันแวบผ่านเข้ามา หากตอนนี้ราธบันจะชักดาบออกมาฟันเขาเป็นสองท่อนเขาก็พูดอะไรไม่ได้อยู่ดี ให้บอกว่าจู่ๆ นักบุญหญิงก็มายั่วยวน แล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้วิ่งออกไปอย่างนั้นหรือ? ใครมันจะไปเชื่อกัน
“มะ ไม่ต้อง!”
นักบุญหญิงส่ายหัวให้ราธบันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดันแขนของราธบันที่จับตนออกและตั้งใจจะเดินไปบนโถงทางเดินอีกครั้ง ทว่าไม่นานก็ทรุดฮวบลงไปบนพื้น จังหวะที่ราธบันกำลังจะดึงนางขึ้นมาอีกครั้ง ของเหลวสีขาวพลันไหลออกมาเปื้อนทางเดินที่ทำด้วยหินสีดำ
ความเงียบงันเข้าปกคลุมพวกเขาสามคน
แม้ไม่อยากเชื่อแต่เลออนค้นพบว่าตนกำลังเกิดความปรารถนาขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นนักบุญหญิงกำลังก้าวเดินไปพร้อมกับน้ำกามของเขาที่ไหลออกมา หากทำได้ เขาก็อยากจะดึงร่างนั้นมาปลอบโยนและสอดใส่มันเข้าไปอีกครั้งเดี๋ยวนี้เลย
“ไปกันเถอะ…ก่อนอื่นออกไปจากที่นี่ก่อน…”
นักบุญหญิงก้มหน้าพลางบ่นพึมพำ ราธบันที่จ้องเลออนเขม้นราวกับจะจับเขากินถอดเสื้อของชุดเครื่องแบบของตนออกมาสวมให้นักบุญหญิง
“ข้าจะไปส่งท่าน”
นักบุญหญิงเดินไปอย่างอ่อนแรงและก้มหน้าลงมากกว่าเดิมเมื่อได้ยิน บางทีอาจเป็นเพราะอึดอัดใจที่นักบุญหญิงมีท่าทางแบบนั้น หลังจากสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่งราธบันจึงอุ้มนักบุญหญิงด้วยสองแขนของเขาแล้วเดินไปบนโถงทางเดินอย่างรวดเร็ว และก่อนที่เลี้ยวจากไป เขาก็หันกลับมาพูดกับเลออน
“พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปพบท่านเพื่อฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยละเอียด”
เขาไม่อาจพูดอะไรได้เมื่อได้ยินน้ำเสียงของราธบันที่แสดงให้เห็นถึงความโกรธเกี้ยว ทำได้เพียงมองไปยังนักบุญหญิงที่ถูกโอบไว้ในชุดของราธบันซึ่งมองไม่เห็นแม้กระทั่งใบหน้า
ไม่นานราธบันและนักบุญหญิงก็จากไป เหลือเพียงเลออนอยู่บนทางเดิน
“นี่มันอะไรกัน…”
เขายังคงไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สิ่งที่มั่นใจคือนี่ไม่ใช่หลุมพรางที่นางวางไว้ เขามองไปตามทางเดินที่ราธบันและนักบุญหญิงจากไปก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง ผ้าคลุมเตียงที่ยับยู่ยี่กำลังย้ำเตือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มิใช่ความเพ้อฝัน
หลังจากค้นหาดาบของตนเจอแล้ว เลออนก็ใส่เสื้อให้เรียบร้อย ตอนที่กำลังจะออกจากห้องเขาก็เก็บของที่ตกอยู่บนพื้นได้
“นี่มัน…”
มันคือกระดุมที่เคยติดอยู่บนชุดนอนของนักบุญหญิง มันหลุดออกมาเพราะเขารีบถอดเสื้อ เลออนจ้องไปที่มันสักพักก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อ
‘ต้องไปสืบค้นดู’
เขาย้อนนึกถึงเรื่องที่เคยคิดมาก่อนหน้านี้ นักบุญหญิงสามารถแต่งงานได้ไหมนะ?
นางเป็นสตรีคนแรกที่เขาหลั่งของเขาเข้าไป
เลออนยกหลังมือขึ้นมาเช็ดริมฝีปาก ความปรารถนาในตอนนี้ดูท่าจะไม่หายไปจนกว่าจะได้จับนักบุญหญิงไว้ในมืออีกครั้ง