หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 5.3 ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง (3)
ฉันลืมตาขึ้น
บางทีอาจเป็นเพราะเคยเห็นภาพนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ความมืดมิดที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยปรากฏเข้าสู่สายตา ฉันหันศีรษะไปอย่างเชื่องช้า
“อีเบลลีน่า…”
คนที่คิดไว้กำลังยืนมองฉันอยู่ตรงนั้น นางกำลังฉีกยิ้มสดใสต่างจากน้ำเสียงที่ได้ยินเมื่อครั้งก่อน เป็นรอยยิ้มที่งดงามแต่ทว่าก็บิดเบี้ยว
คาดเดาได้ไม่ยากว่าเพราะอะไรนางถึงรอคอยฉันด้วยรอยยิ้มอยู่แบบนั้น
“ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่ทำจนถึงที่สุดเสียอีก”
อย่างที่คิดเอาไว้ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน แต่ตอนนี้น้ำเสียงของนางแปลกไป มันคือเสียงของฉัน เสียงของฉันผู้เคยเป็นอีเบลลีน่า แม้เจ้าของเดิมก็คือนาง แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนนางขโมยเอาเสียงของฉันไป
“เหมือนจะดีกว่าที่คิดเอาไว้นะ? ไม่ได้ดูเหนื่อยขนาดนั้นนี่นา”
“ใช่ มันก็ไม่ได้แย่เท่าที่คิดไว้”
“…!”
อีเบลลีน่าผงะเบาๆ เมื่อได้ยินคำตอบของฉัน พร้อมกับรอยยิ้มจางหายไปอย่างรวดเร็ว มันก็สมควรแล้ว เพราะครั้งนี้ฉันไม่ได้พูดจาสุภาพกับนางเหมือนคราวที่แล้วอีกต่อไป
“ดูสิ โกรธมากเลยนะเนี่ย แต่ข้าก็โล่งใจนะที่มันไม่แย่ เป็นเพราะข้าเจ้าถึงได้ลองทำเรื่องแบบนั้นมิใช่หรือ?”
พูดขนาดนี้แล้วก็ยังไม่โกรธ ฉันเขม้นมองนางชั่วครู่เมื่อได้ยินคำพูดที่น่าไม่อายของนางก่อนจะถามออกไป
“ทำไมถึงยังโผล่มาอีก? ฉันก็ทำตามเงื่อนไขแล้วไง”
“นั่นสิ คิดว่าจะทำไม่ได้เสียอีกแต่สุดท้ายก็ทำจนได้”
“…จะพูดอะไรกันแน่ รีบๆพูดมา”
ฉันไม่อยากมองหน้าอีเบลลีน่า ความรู้สึกแปลกประหลาดที่สัมผัสได้ในน้ำเสียงมันยิ่งหนักขึ้นเมื่อเห็นหน้าของนาง ในตอนนี้ฉันรู้สึกกระทั่งความอึดอัดใจไม่ใช่แค่ความแปลกแล้ว เพื่อที่จะได้ครอบครองร่างกายนั้น ฉันถึงกับลากองค์ชายรัชทายาทเข้าไปในห้อง ฉันทำตามเงื่อนไขของอีเบลลีน่าและทำมันได้สำเร็จ ดังนั้น ในตอนนี้ ร่างกายนั้นมันต้องเป็นของฉัน
“…ไม่สนุกเลย คิดว่าเจ้าจะร้องไห้โวยวายเสียอีก”
“เสียใจด้วยนะถ้าอยากเห็นอะไรแบบนั้น ถ้าไม่มีอะไรจะพูด ตอนนี้ก็ส่งฉันกลับไปได้แล้ว”
จบคำ อีเบลลีน่าเดินเข้ามาใกล้
“งานของนักบุญหญิงมันสนุกมากงั้นหรือ? สนุกเท่ากับการลากชายแปลกหน้ามาแล้วแหกขานอนแผ่หายหอบใจเหนื่อยอยู่ด้านล่างหรือไม่?
“…”
ชั่วขณะ ฉันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในคำพูดของนาง คนที่ฉันหลับนอนด้วยคือองค์ชายรัชทายาท แต่ทว่าตอนนี้นางกลับกำลังพูดถึงชายที่ไม่ได้สื่อไปถึงเขาเลย ไม่มีทาง
‘อีเบลลีน่าเคยบอกว่าเฝ้ามองดูทุกอย่างอยู่ในร่างของฉัน’
เช่นนั้นแล้วนางไม่มีทางพูดออกมาแบบนั้นแน่ ตอนนั้นเองฉันก็เกิดความสงสัยขึ้น อีเบลลีน่ากำลังดูทุกอย่างอยู่จริงๆ อย่างนั้นเหรอ? ฉันกลืนน้ำลาย และคิดถึงอีกเรื่องขึ้นมาได้
“ใช่ สนุกมาก เพราะว่าฉันทำงานทำการไม่เหมือนกับเธอ พวกเขาก็เลยทำตัวกับฉันดีมาก”
“…”
“แต่ว่านะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มีคนหนึ่งที่ฉันอยากจะถามเธอ พอดีมันมองไม่เห็นในความทรงจำของเธอเลย เหมือนว่าเธอจงใจซ่อนมันเอาไว้”
สีหน้าของอีเบลลีน่าพลันเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว ใจฉันเต้นตึกตัก ฉันเกิดความกังวลว่าถ้าเกิดว่าตอนนี้นางไม่รักษาสัญญาเอาฉันออกไปจากร่างเลยจะทำอย่างไร แต่ฉันก็อยากยืนยัน ฉันคิดอยู่เสมอว่าการกระทำทั้งหมดที่ฉันทำจนถึงตอนนี้มีอีเบลลีน่าเฝ้ามองอยู่ตลอด แต่ถ้าหากไม่ใช่ล่ะก็ มันก็หมายความว่าอีเบลลีน่าไม่อาจควบคุมร่างกายนี้ได้อย่างนั้นเหรอ?
‘ฉันจะถูกอีเบลลีน่าควบคุมอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้’
ลองคิดๆ ดูแล้วมีเรื่องผิดปกติมากมาย ย้อนนึกถึงน้ำเสียงของอีเบลลีน่าที่คอยเอ่ยเตือนว่าเหลือเวลาอีกกี่วันอย่างใจดีทุกเช้าตอนตื่นนอน ด้วยนิสัยแล้วนางไม่มีทางหยุดแค่นั้นแน่ นางจะต้องพูดกับฉันต่อไปเรื่อยๆ และเยาะเย้ยเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ฉันลากแขนขององค์ชายรัชทายาทไป
ฉันนึกถึงชื่อของคนผู้หนึ่งที่ทำให้ร่างกายของนางเกิดการตอบสนองอย่างรุนแรง ไม่รู้เพราะอะไรแต่ฉันรู้สึกว่านั่นจะต้องเป็นอาวุธที่ใช้ในการโจมตีนางได้ ฉันจ้องมองอีเบลลีน่าแล้วกล่าว
“คาร์ล”
“…!”
เป็นอย่างที่คาด ร่างกายของอีเบลลีน่าแข็งทื่อคล้ายกับถูกแช่แข็งเมื่อได้ยินที่ชื่อฉันเปล่งออกมา ฉันกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“คาร์ล คนผู้นั้นคือใครกัน? ทำไมฉันค้นในความทรงจำเท่าไรก็ไม่เจออะไรเลย เห็นพวกเขาบอกว่าเป็นคนที่ติดตามเธอมาตั้งแต่เด็กๆ เลยไม่ใช่เหรอ?”
“เจ้าไปรู้จักชื่อนั้นได้อย่างไร!”
ใบหน้าของนางหงิกงอเสียจนน่ากลัวขึ้นมาในชั่วพริบตา เป็นสีหน้าที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจนกระทั่งตอนนี้ สีหน้าราวกับคนที่เผชิญหน้ากับเรื่องที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุดในโลกใบนี้ก็ไม่ปาน ความเกลียดชัง รังเกียจ หวาดกลัว อารมณ์เลวร้ายทั้งปวงกำลังปะปนอยู่บนใบหน้าของนาง
ลางสังหรณ์ของฉันได้รับการยืนยันเมื่อได้เห็นสีหน้าเช่นนั้น คนที่ชื่อคาร์ลต้องเป็นภัยคุกคามต่ออีเบลลีน่าแน่นอน อีกทั้งยังยืนยันได้ด้วยว่าอีเบลลีน่าไม่ได้เฝ้าดูทุกอย่างเอาไว้
หากแค่เรื่องขององค์ชายรัชทายาทยังคิดได้ว่าอาจจะพูดผิดไป ทว่าเรื่องของคาร์ลนั้นไม่ใช่ ฉันได้รับบัญชีรายชื่อที่มีชื่อของเขาแถมยังสนทนากับนักบวชเกี่ยวกับเขาด้วย ดังนั้นจึงไม่มีทางที่นางจะถามออกมาว่าฉันรู้จักคนผู้นั้นได้อย่างไร
“ทำไม คนผู้นั้นคือใครกันแน่ถึงได้เป็นแบบนี้”
บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกยินดีที่ได้เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของอีเบลลีน่าเป็นครั้งแรก ฉันจึงไม่อาจปิดบังรอยยิ้มที่หลุดออกมาได้ ตอนนั้นเอง อีเบลลีน่ายื่นมือมาจับคอฉัน
“แค่ก!”
อีเบลลีน่าเริ่มบีบคอของฉันด้วยสองมือ ฉันไม่มีความคิดที่จะขัดขืนเลยสักนิด อย่างไรร่างกายนี้ก็…
ชั่วขณะนั้นเองฉันจึงนึกขึ้นได้ หลังจากเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ฉันมองเห็นมือของตัวเองหรือยัง? อีเบลลีน่าจับฉันเขย่าอีกครั้ง จากนั้นก็ตะโกนออกมาอย่างหยาบคาบ
“หุบปาก คงไม่ได้คิดเลยใช่ไหมว่าข้าสามารถเอาร่างกลับคืนมาได้เลยทันที?”
“…ถ้าทำได้ก็ทำสิ ทำไม จะสร้างเงื่อนไขอะไรให้ฉันอีกเหรอยังไง?”
ความกล้าที่ไม่มีที่มาที่ไปปะทุออกมา หากตอนนี้ฉันลงไปหมอบกราบอีเบลลีน่าอีกครั้ง นางจะต้องกลั่นแกล้งด้วยการเสนอเงื่อนไขที่ไม่เข้าท่าอีกแน่ ฉันจะถอยหลังกลับไปอีกไม่ได้แล้ว
อีเบลลีน่าส่ายหัวเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน
“เงื่อนไขหรือ ไม่จำเป็นหรอก เจ้า…ได้รับจดหมายแล้วสินะ?”
แม้เป็นคำถามที่ไม่คาดคิดแต่ฉันก็รู้ได้ว่าอะไรคือจดหมายที่นางกล่าวถึง จดหมายที่ใช้เวทมนตร์และเผาไหม้ทันทีที่อ่านจบโดยไม่หลงเหลือร่องรอยไว้เลย
อีเบลลีน่ามองดูสีหน้าของฉันและตระหนักได้ถึงความจริงที่ว่าฉันได้รับมันแล้ว นางคลายมือที่บีบคอฉันออกโดยไม่เอ่ยถามเพิ่มเติมอีก จากนั้นก็กระชากคอเสื้อของฉันขึ้นพลางกระซิบกระซาบอย่างอ่อนโยนคล้ายว่ากำลังบอกความลับสุดยอดให้รู้
“ตอนนี้ เจ้าจะต้องตั้งท้องเจ้าปีศาจนั่น ด้วยร่างกายนั่น”
“ปีศาจ…?”
ฉันถึงกับคิดว่าตนเองหูฝาดเมื่อได้ยินคำที่ไม่ได้นึกถึงมาก่อน นี่มันหมายความว่ายังไง? แล้วประโยคที่อีเบลลีน่ากล่าวเมื่อกี้กับจดหมายมีความเกี่ยวพันกันยังไงกันแน่?
“นั่นมันหมายความว่ายังไง…”
“ออกไป”
อีเบลลีน่ากล่าวอย่างเย็นชาและผลักฉันออกมา จากนั้นก็จ้องฉันเขม็งพลางกล่าว
“ข้าจะรอดูเลยว่าคราวหน้าเจ้าจะยังยิ้มออกมาได้อยู่อีกหรือไม่”
พูดจบ อีเบลลีน่าหมุนตัวจากไป จังหวะนั้นเองร่างกายของฉันก็ร่วงหล่นลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วเสมือนว่าพื้นใต้เท้าแตกออก มันรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงราวกับหัวใจจะหลุดลงมา ฉันปิดตาลง คำว่าคราวหน้าทำให้ฉันรู้ว่าสักวันหนึ่งอีเบลลีน่าจะต้องเรียกฉันกลับมาในความมืดมิดอีกครั้ง
จะร่วงลงไปถึงตรงไหนกันแน่ ตอนที่คิดแบบนี้พลางหรี่ตามองขึ้นเล็กน้อย ฉันจึงได้เห็นมือของฉันที่ตะเกียกตะกายไปทางอีเบลลีน่า
“…!”
จังหวะนั้นเอง ฉันก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ที่นี่คือที่ไหน มันไม่ใช่เพดานที่คุ้นเคย อากาศก็ไม่คุ้นชิน ไม่ใช่ห้องของนักบุญหญิงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกไม้อยู่เสมอ กลับมีกลิ่นสบู่จางๆ และกลิ่นของต้นไม้เก่าแก่ที่โชยเข้ามาแทน ฉันค่อยๆ ขยับมือไปคลำด้านข้างตัว นี่ไม่ใช่เตียงนอนที่ฉันเคยนอนเหมือนทุกที
ผ้าเนื้อหยาบและแข็งกระด้างที่สัมผัสได้แทนผ้าคลุมเตียงผืนนุ่ม เนื้อสัมผัสที่เย็นและกลิ่นที่โชยมาจากผ้าปูเตียงซึ่งชวนนึกถึงใครบางคนทำให้ฉันตระหนักได้
“…ราธบัน?”
ชั่วขณะที่พึมพำออกมา ความทรงจำก่อนเข้าสู่ห้วงนิทราก็หวนกลับมาทั้งหมด ใช่แล้ว หลังจากหลับนอนกับองค์ชายรัชทายาทก็พบเข้ากับราธบันและมายังบ้านพักของเขา จากนั้นก็อาบน้ำและ…
“…หลับไปทั้งอย่างนั้นเลย”
พระเจ้าช่วย ดูท่าว่าฉันคงจะหลับไปตอนที่ปิดตาลงชั่วครู่ระหว่างที่เขาไปเตรียมชามาให้ ฉันขยับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อจำเรื่องพวกนั้นได้
“โอ้ย…”
ทันใดนั้น ความเจ็บปวดรุนแรงพลันกระจายไปทั่วหว่างขา ความเจ็บแสบที่ลืมไปแล้วบริเวณหน้าอกก็เช่นกัน ฉันแหวกเสื้อดูเล็กน้อย มองเห็นรอยช้ำสีกุหลาบหลงเหลืออยู่บนหน้าอกเข้มขึ้นกว่าตอนอาบน้ำเสียอีก
บางทีอาจเป็นเพราะร้องไห้ ฉันกะพริบดวงตาที่บวมเป่งอย่างยากลำบากแล้วกวาดสายตามองรอบๆ ฉันนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่และกว้างขวาง มองดูหัวเตียงแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของที่ถูกสร้างมานานแล้ว เพราะฉันมองเห็นความมันเงาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเฟอร์นิเจอร์ที่ผ่านการใช้งานมานานแล้วบนร่องรอยของสีเคลือบที่หลุดลอกออกอยู่ทั่ว
“นี่มันหรือว่า…”
ฉันยกผ้าห่มผืนบางที่คลุมตัวอยู่เข้ามาใกล้หน้าโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะฝังจมูกลงไปเล็กน้อย กลิ่นของผ้าที่ผ่านการทำความสะอาดอย่างดีและกลิ่นสบู่ที่อยู่ในห้องอาบน้ำรวมถึงกลิ่นของร่างกายหนักเจือจางลอยเข้ามาในจมูก
“เฮ้อออ”
ฉันถอนหายใจ ต่อให้ไม่มีใครบอกฉันก็รู้ นี่คือเตียงนอนของราธบัน
“…บ้าไปแล้ว”
แค่ร้องไห้แล้วเกาะติดเขาจนบุกเข้ามาถึงในบ้านก็มากพอแล้ว นี่ยังถึงกับใช้เตียงนอนของคนอื่นตามใจชอบอีก ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความรู้สึกผิด เดินเข้าไปใกล้หน้าต่างแล้วเปิดผ้าม่านดู ท้องฟ้ายังคงมีสีเข้มของช่วงเวลาเช้ามืด
‘ควรกลับได้แล้ว’
จะอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้
ฉันเดินเปิดประตูออกมาอย่างระมัดระวัง ในตอนที่เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้ามากที่สุดนั่นเอง
“ท่านตื่นแล้วหรือ”
เสียงของราธบันดังขึ้นคล้ายว่ารออยู่แล้ว
‘…จะแอบออกไปสะหน่อย’
ด้วยเพราะเขินอายและรู้สึกผิด ฉันจึงตั้งใจจะออกจากบ้านหลังนี้ไปโดยไม่ให้เขารู้ตัว แต่ลองคิดดูแล้วการจะแอบออกไปจากบ้านของผู้บัญชาการอัศวินนี่เห็นทีจะเป็นเรื่องที่เหลวไหลไปหน่อย
ราธบันลุกขึ้นเมื่อพูดจบ แม้ถอดชุดตัวนอกออกไปแล้วแต่เขาก็ยังคงอยู่ในชุดตัวเดิมที่เห็นเมื่อคืน คงไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้นอนทั้งคืนหรอกนะ?
“นี่คงไม่ใช่ว่า เซอร์ราธบัน…เป็นเพราะข้าก็เลย…”
ฉันคาดเดาได้เมื่อเห็นสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ที่นี่เป็นบ้านที่มีเพียงของใช้ที่จำเป็นเพียงเล็กน้อย ไม่มีของไม่จำเป็นเลย บางทีในบ้านหลังนี้คงไม่มีห้องนอนอื่นอีกแล้วนอกจากห้องที่ฉันใช้นอนหลับไป ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหนได้
ฉันมองดูเขาที่ยืนอยู่ก็พบว่าสีหน้าดูอิดโรยกว่าหลายชั่วโมงก่อนอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรขอรับ ยิ่งไปกว่านั้น…”
เขาจ้องมาที่ฉันชั่วครู่ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าครั้งหนึ่ง แล้วกล่าว
“หากท่านจะกลับไปก็ควรจะรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขากำลังขาดๆ หายๆ
โชคดีที่ฉันกลับมาถึงห้องของนักบุญหญิงได้อย่างปลอดภัยก่อนที่ฟ้าจะสว่าง ความจริงที่ว่าฉันออกไปข้างนอกตอนกลางคืนมีเพียงนักบวชที่เฝ้าหน้าประตูเท่านั้นที่รู้ ราธบันกล่าวว่าจะจัดการให้พวกเขาปิดปากเองจากนั้นก็บอกให้ฉันพักและผลักเข้ามาในห้อง
ฉันได้นอนต่ออีกเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มตารางงาน
“จะทำยังไงกับมันดี…”
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ฉันก็พับเสื้อผ้านักบวชทั่วไปที่ได้รับจากเขามาให้เรียบร้อยแล้วเก็บเข้าไปด้านในสุดของลิ้นชักก่อนที่นักบวชรับใช้จะเข้ามา
‘ต้องซักแล้วนำกลับไปคืน’
นี่เป็นชุดเครื่องแบบที่เขาได้รับมาตั้งแต่สมัยที่ยังเด็กมาก ดูจากการที่เขาเก็บให้ยังอยู่ในสภาพที่สวมใส่ได้ จะเรียกว่าเป็นของที่สำคัญกับเขาก็ไม่ผิดนัก
‘แต่ว่าจะฝากให้เหล่านักบวชทำก็ไม่ได้’
ด้านในของเสื้อตัวนี้มีชื่อของราธบันถูกปักอยู่อย่างชัดเจน หากมีเสื้อผ้าของเขาอยู่ในห้องของฉันก็แทบไม่ต้องคิดเลยว่าจะถูกลือกันไปแบบไหน
‘ถึงยังไงชื่อเสียงของฉันคงไม่แย่ลงไปมากกว่านี้แล้วแต่…”
ไม่ใช่สำหรับราธบัน ฉันย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เหล่านักบวชเสนอให้แต่งตั้งผู้บัญชาการอัศวินคนใหม่พร้อมกับแย่งกันเสนอชื่อของคนที่ตนรู้จักในตอนที่ฉันเข้ามาอยู่ในร่างนี้ไม่นาน มั่นใจได้เลยว่าถ้าเขามีข่าวลือกับฉัน มันจะต้องเป็นข่าวลือที่ทำให้เขารู้สึกอัปยศมากที่สุดแน่นอน
“เฮ้อ…”
สงสัยฉันคงต้องหาเวลาว่างซักแล้วเอาไปคืนเองสะแล้ว