หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 5.4 ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง (4)
ต่อให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเพราะร่วมรักกับองค์ชายรัชทายาทเมื่อคืน แต่ฉันก็ไม่อยากเลื่อนตารางงานออกไป ฉันลากสังขารที่เหนื่อยล้าไปห้องหนังสือ เหล่านักบวชที่รออยู่ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจ
“ท่านไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
“แค่นอน…”
“ถ้าเช่นนั้นอันนี้ไว้คราวหน้าก็ได้”
ทันทีที่ฉันเอ่ยคำพูดกำกวม เหล่านักบวชก็หันไปกระซิบกระซาบกันเองอีกครั้ง จากนั้นก็นำเอกสารต่างๆ ที่ถือมาออกไป นักบวชผู้ที่คราวก่อนเคยกล่าวว่าจะนำส่วนที่เหลือมาให้ก็อยู่ในกลุ่มของพวกเขาเช่นกัน
เห็นเหล่านักบวชเป็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลื้มใจ
ภายนอกยังคงมีข่าวลือย่ำแย่เกี่ยวกับนักบุญหญิง คงลือกันว่าที่ฉันทำงานหนักแบบนี้ก็เพราะตั้งใจจัดการความผิดมากมายที่เคยกระทำจึงได้แสร้งทำเป็นตั้งใจทำงาน แต่ไม่ว่าข่าวลือพวกนั้นจะเป็นอย่างไร เรื่องที่เหล่านักบวชซึ่งอยู่ที่นี่ตอนนี้กำลังเป็นห่วงฉันก็เป็นเรื่องที่เชื่อถือได้
‘แบบนี้มีที่ไหนกัน’
ถึงจะมีเพียงไม่กี่คนแต่ความจริงที่ว่ามีคนในวิหารหลวงเป็นห่วงฉันอยู่บ้างก็ทำให้รู้สึกปลื้มใจ แม้รู้ว่าเด็กแต่หากทำได้ฉันก็อยากบอกกับอีเบลลีน่าว่า ‘เธอไม่มีคนมาห่วงใยอย่างนี้ล่ะสิ?’ และแน่นอนว่านางคงตอบกลับมาว่ามันไม่จำเป็น
มีความจริงที่ฉันรับรู้ได้ระหว่างที่เริ่มทำงานและดูเอกสาร
‘อีเบลลีน่าไม่ได้ปิดความทรงจำ’
นางเอ่ยคำไล่พร้อมกับผลักฉันออกมา แต่น่าแปลกที่ฉันยังคงดูความทรงจำของนางได้ทั้งที่นางคือคนที่อยากเห็นฉันลำบากและเป็นทุกข์แท้ๆ
‘ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้เพื่อฉันเลยนี่นา’
อีกทั้งคงไม่ใช่เพราะกังวลว่าฉันจะทำงานของนักบุญหญิงผิดพลาดด้วย แต่แล้วทำไมนางถึงต้องทิ้งความทรงจำเอาไว้เพื่อให้ฉันทำงานได้อย่างไม่มีข้อบกพร่องด้วย ตอนที่กำลังจมอยู่กับความคิด ฉันพลันนึกถึงตอนที่ได้เจออีเบลลีน่าในความมืดมิดอีกครั้ง มือของฉันที่ได้เห็นตอนที่กำลังตกลงมาหลังจากถูกนางผลักในตอนสุดท้าย…
“…!”
ฉันยื่นแขนออกไปด้านหน้าแล้วสังเกตดูมือทันที
“ทำไม…”
เห็นได้ชัดว่ามือที่มองเห็นตอนตกลงมาคือมือคู่นี้ ไม่ใช่มือที่เต็มไปด้วยรอยด่างและรอยจากเข็มฉีดยาที่เห็นก่อนตาย มันคือมือคู่นี้
‘เป็นไปได้ยังไง?’
เห็นได้ชัดว่าตอนที่เข้าไปพบกับอีเบลลีน่าในห้วงจิตครั้งแรกนั่นคือร่างกายของฉันเมื่อก่อน แต่ว่าทำไมเมื่อวานถึงได้กลายเป็นร่างกายของอีเบลลีน่ากันล่ะ?
ขณะกำลังจมอยู่ในความคิด นักบวชคนอื่นที่ถึงคิวของตนเองก็นำเอกสารใหม่มาให้ หลังจากพลิกไปพลิกมาอ่านดูอยู่หลายครั้ง ฉันก็เซ็นเอกสารไป
“…เอ๋?”
ฉันตระหนักได้ ตระหนักถึงความจริงที่ว่าในตอนที่จัดการเอกสารเมื่อครู่ ฉันไม่ได้ย้อนค้นดูในความทรงจำของอีเบลลีน่าเลย
‘คงเพราะตอนนี้ฉันได้เรียนรู้อะไรมากแล้ว’
แม้น่าแปลกใจ แต่ฉันสามารถจดจำเรื่องราวที่เห็นในความทรงจำของอีเบลลีน่าได้อย่างรวดเร็ว นั่นเลยทำให้ตอนนี้ฉันสามารถพูดบทสวดภาวนายากๆ เหล่านั้นได้ทั้งหมดแม้ไม่ได้เปิดดูแล้ว ความรู้อื่นๆ เกี่ยวกับวิหารหลวงก็เช่นกัน คล้ายกับการเรียนรู้ได้ทันทีว่าหากสัมผัสโดนไฟ มันจะร้อน ความรู้ทั้งหลายที่ได้เห็นในความทรงจำของอีเบลลีน่าหลงเหลืออยู่ในตัวฉันอย่างเป็นธรรมชาติราวกับฉันได้เผชิญมันด้วยตัวเอง
‘ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็’
ต่อให้ไม่มีความทรงจำของอีเบลลีน่าก็คงไม่มีปัญหาหนักหนาอะไรในการจัดการงานของนักบุญหญิง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าจู่ๆ นางจะปิดความทรงจำไปก็คงได้
ฉันคิดต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็หลุดหัวเราะคิกคัก
‘แต่แล้วยังไง สองปีหลังจากนี้มันก็ไม่จำเป็นแล้วนี่นา?’
ด้วยเพราะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายอยู่ตลอดจึงหลงลืมไป ร่างกายนี้จะสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปจนหมดหลังจากสองปีนี้ จากนั้นอีริสก็จะขึ้นเป็นนักบุญหญิงคนใหม่ ต่อให้ฉันฝืนทนมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนั้น แต่นั่นก็ยังเป็นเรื่องที่ฉันไม่อาจต้านทานได้
‘จำเป็นต้องยึดติดแบบนี้ด้วยเหรอ?’
จริงอยู่ที่งานตอนนี้ก็ต้องทำ แต่ลองทำงานอย่างอื่นบ้างดีไหมนะ ฉันเกิดความคิดขึ้น หรือพูดให้ชัดคืองานที่ยังเป็นประโยชน์แก่ตัวฉัน แม้จะออกจากวิหารหลวงไปแล้วในอีกสองปีข้างหน้า
‘มีอะไรบ้างนะ’
มีหลายวิธีผุดขึ้นมาเมื่อเริ่มจินตนาการครั้งหนึ่ง สิ่งแรกที่นึกออกคือการให้กู้ยืมเงิน จะมีอะไรที่แน่นอนและมั่นคงไปมากกว่าเงินอีกได้ และหากเป็นเงินล่ะก็ ในวิหารหลวงแห่งนี้มีอย่างล้มหลามเลยทีเดียว หรือให้ชัดเจนคือมีสิ่งของมากมายที่สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นเงินได้
‘เครื่องบรรณาการ’
ในนิยาย อีเบลลีน่าแจกจ่ายสิ่งของต่างๆ ให้ชายหนุ่มที่ใช้เวลายามค่ำคืนด้วยกันและเหล่านักบวชที่ตนถูกใจอย่างไม่ขาดสาย แน่นอนว่าหลังจากที่ฉันเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้วก็ไม่เคยมอบของพวกนั้นให้กับใครอีก
‘เอาของพวกนั้นไปซ่อนไว้สักหน่อยจะดีกว่า…’
พอเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับเงิน หัวสมองก็เริ่มหมุนไวขึ้น
สิ่งของจำพวกทองคำก้อนขนาดใหญ่ทั้งหนักแล้วก็จัดการได้ยาก บางทีหากเป็นอัญมณีหรือเครื่องประดับชิ้นเล็กน่าจะเปลี่ยนเป็นเงินได้ง่ายกว่า แต่ฉันก็รู้ดีว่าสิ่งของทั้งหมดที่มอบให้แก่นักบุญหญิงจะต้องกลายไปเป็นของอีริสที่จะปรากฏตัวในภายภาคหน้า
ทว่านี่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับชีวิต ฉันจะไม่แตะต้องของชิ้นใหญ่ ดังนั้นนางคงไม่ตามกลับมาเอาคืนภายหลังหากว่าฉันเอาแต่ของชิ้นเล็กเพียงไม่กี่ชิ้นไปหรอกละมั้ง
ฉันนึกถึงกองเครื่องบรรณาการขนาดใหญ่ที่จักรวรรดิส่งมาพลางครุ่นคิด
‘ดูท่าว่าคงต้องต้องออกไปนอกวิหารหลวงบ้างแล้ว’
หลังจากที่อีเบลลีน่ากลายเป็นนักบุญหญิงก็ไม่ค่อยมีเหตุการณ์ให้ออกไปนอกวิหารหลวงเลย การเดินทางของนักบุญหญิงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น นั่นเพราะมีกฎระเบียบว่านักบุญหญิงจะต้องอยู่แต่ในวิหารเท่านั้น นอกเสียจากปีศาจยักษ์ปรากฏตัว
‘สถานการณ์ถูกบรรยายอยู่ในนิยายไว้อยู่บ้างหลายครั้งแต่ก็ยากที่จะรู้แน่ชัด’
เนื้อหาส่วนใหญ่ตอนที่อธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ของอีริสมักจะพรรณนาถึงสภาพของโลกภายนอก ทว่าอีริสเติบโตในเขตชายแดนของทวีปซึ่งอยู่ห่างไกลจากวิหารหลวงมาก ดังนั้นการบรรยายรอบๆ บริเวณนี้จึงไม่มีเรื่องอะไรที่พิเศษมากนัก
‘เรื่องราวที่เล่าถึงการเดินทางข้ามเขาที่เป็นอันตรายเพราะตามหาหมู่บ้านไม่เจอยังมีมากกว่าอีก…’
เรื่องที่เล่าออกมาบางครั้งก็ยังไม่ได้เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ฉันตอนนี้สักเท่าไร อันที่จริงแล้ว มันเป็นหนังสือที่ฉันอ่านผ่านๆ ก่อนเข้านอน ดังนั้นฉันจำมันได้ไม่ละเอียดมากนัก จำได้เพียงว่า ‘เรื่องราวคร่าวๆ เป็นแบบนี้’ อย่างคลุมเครือ
‘ควรจะออกไปข้างนอกจริงๆ สะด้วย’
แต่มันมีปัญหาอยู่ นั่นคือจะออกไปได้อย่างไร
‘มีทางลับที่เชื่อมไปถึงประตูทางเข้าวิหารก็จริง…’
ดูเหมือนทางลับที่อยู่ด้านหลังตู้เสื้อผ้าจะเป็นทางที่เชื่อมไปถึงประตูทางเข้าของวิหารหลวง
‘แต่มันก็ไม่ได้ใช้ได้ง่ายๆ อย่างนั้นน่ะสิ’
ทางลับที่เชื่อมไปยังสวนเป็นทางลับที่ถูกอีเบลลีน่าใช้งานอยู่บ่อยๆ เส้นทางจากห้องที่เชื่อมกับทางลับไปจนถึงสวนยังไม่ได้ไกลกันถึงขนาดนั้น ดังนั้นแม้เป็นทางเดินที่ไม่มีแสงไฟเลยแต่ก็ยังพอคลำผนังแล้วเดินไปได้
ทางลับที่อยู่ในตัวอาคารยังไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเข้าใกล้ด้านนอกมากขึ้น นอกจากปลายนิ้วจะจับโดนแมลงที่คลานยั้วเยี้ยอยู่บนกำแพงหลายต่อหลายครั้งแล้ว ก็ยังมีหลายที่ที่มีน้ำขังอยู่อีก
ทางลับใกล้ๆ ที่ใช้อยู่ประจำเป็นแบบนั้น
‘อีเบลลีน่าไม่เคยใช้ทางลับที่เชื่อมไปทางด้านประตูทางเข้าของวิหารหลวงเลยสักครั้ง’
นักบุญหญิงคนก่อนหน้าอีเบลลีน่าก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ใช้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วที่นั่นคงถูกปล่อยปละละเลยมาก
‘บางทีอาจจะอยู่ในสภาพที่คนสัญจรผ่านไปไม่ได้แล้ว’
คงต้องลองไปดูสักครั้งถึงจะรู้แต่ฉันยังไม่มีความกล้าพอ วิหารหลวงไม่ต่างไปจากเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่ง ส่วนห้องของฉันก็ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนลึกซึ่งอยู่หากไกลจากประตูทางเข้าของวิหารมากที่สุด แค่คิดว่าต้องเดินไปบนทางเดินที่ไม่มีแม้แต่แสงไฟและไม่ได้รับการดูแลก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
‘ในกรณีที่แย่ที่สุดคืออาจจะมีบางที่ที่พังอยู่ก็ได้’
ใจจริงอยากจะระดมสาวกของวิหารไปสำรวจดูด้วยซ้ำ แต่ที่นั่นเป็นสถานที่ที่มีเพียงนักบุญหญิงที่รู้ ดังนั้นจึงทำแบบนั้นไม่ได้
‘เพราะฉะนั้นคงต้องพับวิธีการใช้ทางลับนั้นออกไปก่อน…’
ถ้าเช่นนั้นแล้วการจะออกไปนอกวิหารหลวงพอจะมีวิธีไหนบ้าง
‘ออกไปด้วยการกำหนดตารางงานอย่างเป็นทางการ ไม่ก็ออกไปด้วยการพรางตัวเป็นนักบวชทั่วไปหรือชาวบ้านธรรมดา’
ตารางงานอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่แค่บอกว่าอยากออกไปแล้วจะกำหนดขึ้นมาได้เลย นักบุญหญิงจะไม่ได้เดินทางแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น แถมตอนนี้ยังอยู่ในสถานการณ์ปกติดังนั้นจึงไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องออกไปนอกวิหารหลวง หรือสมมติฉันบอกว่าจะออกไป สาวกในวิหารหลวงจำนวนมากจะมารวมตัวกันจนถึงขนาดที่อาจจะคิดได้ว่านี่คือการออกไปทำสงครามหรือไม่ก็นี่คือการเดินทางไปทั้งวิหารหลวงเลยก็เป็นไปได้ เช่นนั้นก็เหลือเพียงการออกไปด้วยการพรางตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาแล้ว
อาจคิดว่ามันเป็นวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดได้ก็จริง แต่ก็มีอีกปัญหาหนึ่ง
‘ความปลอดภัย’
ฉันไม่มีความคิดที่จะออกไปด้านนอกด้วยการปลอมตัวแบบง่ายๆ แล้วคิดว่าไม่เป็นอะไรหรอกเลยสักนิด แม้จะคุ้นเคยกับวิหารหลวงและคุ้นชินกับร่างกายนี้แล้ว แต่อย่างไรที่นี่ก็เป็นโลกอีกใบสำหรับฉัน ฉันยังคงตกใจกับดวงจันทร์สองดวงที่ขึ้นบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่คือโลกที่มีปีศาจปรากฏกาย ผู้คนที่อยู่ที่นี่คุ้นเคยกับความตายมากกว่าโลกที่ฉันเคยอยู่ นั่นหมายถึงเป็นโลกที่การตายและการถูกฆ่าตายไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรถึงขนาดนั้น
‘จะออกไปที่แบบนั้นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้’
ฉันถอนหายใจ และจ้องมองมือ
‘ขอเพียงแค่สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้’
พลังศักดิ์สิทธิ์ อธิบายง่ายๆ เลยคือพลังที่ใช้คุ้มกันและรักษา โดยเฉพาะพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงที่ทรงพลังจนถึงกับสามารถคุ้มกันทั้งทวีปจากเหล่าปีศาจได้ การใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังถึงขนาดนั้นในการปกป้องร่างๆ หนึ่งจึงไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอะไร แต่แน่นอนว่านั่นหมายถึงถ้าฉันเป็นอีเบลลีน่าตัวจริง
ครุ่นคิดถึงเงินและภายนอกวิหารหลวงอยู่สักพัก นักบวชคนหนึ่งก็หอบเอกสารกองใหญ่เข้ามา
“ขอโทษที่ช้านะขอรับ”
เหงื่อเขาไหลเป็นสาย เขาเริ่มแกะเชือกที่มัดกองเอกสารออกอย่างลนลาน แต่บางทีคงเป็นเพราะเชือกถูกมัดไว้อย่างแน่นหนามาก มันจึงไม่ง่ายที่จะคลายออกนัก ฉันเพ่งมองเขา อาจเพราะคิดว่าฉันหงุดหงิด นักบวชคนนั้นจึงทำตัวไม่ถูกแล้วหันไปถามนักบวชรอบข้างว่ามีใครพกกริชมาหรือไม่
ไม่นาน คนที่ได้รับการอนุญาตให้พกกริชในหมู่พวกเขาก็ส่งกริชให้นักบวชพลางเอ่ยว่าให้ระมัดระวัง เขากล่าวขอบคุณและออกแรงตัดเชือก เสียงฉึบดังขึ้นพร้อมกับเชือกรัดเอกสารที่ถูกตัดออกไปอย่างง่ายดาย
“ฮู ข้าน่าจะยืมมาตั้งแต่แรก อ่ะนี่..โอ้ย!”
ทุกคนพลันถอนหายใจเมื่อได้ยินนักบวชร้องเสียงแหลม
‘บอกให้ระวังแล้วแท้ๆ’
เขาตื่นเต้นที่ตัดเชือกได้อย่างปลอดภัยจนกริชบาดมือตนเองในตอนที่กำลังจะส่งกลับคืน เลือดสีแดงสดหยดเปาะแปะผ่านร่องมือที่กุมเอาไว้ด้วยความตกใจอย่างรวดเร็ว ฉันลุกขึ้นเข้าไปจับมือเขาไว้ทันที ดูเหมือนว่าจะถูกบาดลงไปลึกมาก ควรจะห้ามเลือดหน่อยดีหรือไม่
“เป็นอะไรหรือไม่? ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเลย ทำไม…”
ในตอนที่พูดแบบนั้นพลางจับมือของเขาไว้
วาบ!
จู่ๆ ก็มีลำแสงสีฟ้าครามเปล่งประกายออกมาจากมือของฉันราวกับระเบิด ลำแสงสีฟ้าครามที่วูบไหวอย่างรุนแรงเข้าไปหมุนพันรอบมือของนักบวชที่บาดเจ็บ
“…!”
ทุกคนที่อยู่ในห้องหนังสือต่างก็ได้เห็น เลือดที่หยดติ๋งๆ หยุดไหลในชั่วพริบตาและไม่นานบาดแผลที่โดนบาดลึกในมือของนักบวชก็จางหายไป ตอนนี้สิ่งที่หลงเหลืออยู่บนมือของนักบวชผู้นั้นมีเพียงรอยคราบเลือดที่ไหลออกมาเมื่อครู่ก่อน
“โอ้…”
“ดูสิ นี่ไม่ได้เห็นมันมานานแล้ว”
“สมกับเป็นท่านนักบุญหญิง! เหมือนกับเปลวไฟมีชีวิตเลยมิใช่หรือไง?”
ฉันจ้องมองมันอย่างเหม่อลอย เสียงร้องอุทานระเบิดออกมาจากเหล่านักบวชที่ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่น่าแปลกใจ เพราะฉันที่กำลังดูเจ้าสิ่งนี้อยู่ก็ยังตกใจมากที่สุด
‘นี่คือ…พลังศักดิ์สิทธิ์?’
เปลวไฟสีฟ้าครามขนาดใหญ่ ที่ลุกโชนขึ้นมาในชั่วพริบตา
มันไม่ร้อนต่างจากแรงกระเพื่อมที่รุนแรง เป็นเพียงไออุ่นนุ่มนวลที่ชวนให้รู้สึกดีซึ่งหมุนวนอยู่รอบปลายนิ้วเท่านั้น ฉันพินิจพิจารณาภาพของเปลวไฟเลือนลางที่ยังคงติดตา เปลวไฟที่หายไปในชั่วพริบตาทำให้ฉันรู้สึกเสียดาย น่าแปลกใจที่พอได้เห็นเปลวไฟของพลังศักดิ์สิทธิ์ สักแห่งในใจก็พลันรู้สึกสบายขึ้นมา
เป็นความรู้สึกที่อาลัยและอบอุ่นซึ่งยากจะอธิบาย
‘เพราะแบบนี้ผู้คนจึงได้เชื่อถือในพระเจ้าและติดตามนักบุญหญิง’
ที่จริง หลังจากมายังโลกใบนี้ สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือความศรัทธาอย่างไม่มีเงื่อนไขที่ผู้คนมีต่อวิหารหลวงและนักบุญหญิง มองดูฝูงชนจำนวนมหาศาลที่มารวมตัวในพิธีสวดภาวนาแล้วฉันเคยสงสัยว่าอะไรที่ทำให้คนเหล่านี้ยึดมั่นถึงขนาดนี้ ตอนนี้ฉันเข้าใจจิตใจของพวกเขาแล้ว
“เอ่อ…เป็นเกียรติอย่างมากที่ท่านนักบุญหญิงใช้พลังศักดิ์สิทธิ์กับข้าขอรับ!”
นักบวชที่มือบาดเจ็บมีสีหน้าทำตัวไม่ถูกด้วยความดีใจ ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงเรื่อนั้นดูคล้ายกับสีหน้าของคนที่ได้พบคนที่รักมานาน ก็นะ สำหรับเหล่านักบวชแล้ว พลังศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าดำรงอยู่ สำหรับพวกเขาที่สาบานตนว่าจะเดินไปบนเส้นทางแห่งพระเจ้า นักบุญหญิงคงแทบไม่ต่างจากคนรักละมั้ง
ฟังน้ำเสียงซาบซึ้งใจของเหล่านักบวชคนอื่นแล้วฉันก็พิจารณามือตนเอง จากนั้นก็จ้องไปยังปลายนิ้วมือ แล้วค่อยๆ ตั้งสมาธิ
วาบ!
เปลวไฟสีฟ้าครามที่ได้เห็นเมื่อครู่ก่อนลุกกระเพื่อมบนปลายนิ้วของฉันอีกครั้ง
ฉันใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้