หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 5.5 ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง (5)
‘เป็นไปได้ยังไง?’
ฉันกลับมาที่ห้องหลังจากทำงานอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็เรียกพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาใช้หลายต่อหลายครั้ง แม้จะน่าตกใจ แต่ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์จะเปล่งประกายขึ้นบนมือราวกับเป็นเรื่องปกติ ตอนแรกมันมีรูปร่างคล้ายกับกองไฟ แต่พอเรียกออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าฉันก็สามารถควบคุมรูปร่างและขนาดได้ระดับหนึ่งแล้ว
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
ฉันล้มลงบนเตียงหลังจากเรียกพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาจนไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร เหงื่อที่อยู่บนหน้าผากไหลพรากลงมาที่ขมับโดยไม่รู้สึกตัว
“ปกติ…มันเหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ?”
ในหนังสือไม่ได้เขียนไว้ว่าตอนที่อีริสใช้พลังศักดิ์สิทธิ์มีสภาพที่เหน็ดเหนื่อยแบบนี้ นั่นแสดงว่าตอนนี้ฉันหักโหมใช้มันมากเกินไป หรือไม่ก็เป็นเพราะฉันใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ผิดวิธี แต่ว่าตอนนี้นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
บางทีในตอนที่นกรู้ว่าพวกมันสามารถโบยบินได้ก็คงมีความรู้สึกแบบนี้ใช่ไหม?
แค่ความจริงที่ว่าฉันสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ทำให้รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจแล้ว ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าอะไรก็สามารถทำได้และจะผ่านไปได้ด้วยดี หัวใจที่เต้นเสียงดังตึกตักไม่อาจสงบลงได้อย่างง่ายดาย
แค่นอนอยู่เฉยๆ ก็ยังหลุดยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ
‘ทำไมอยู่ดีๆ ถึงใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้กันนะ’
ในเมื่อมันสามารถใช้ออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้ แล้วทำไมจนถึงตอนนี้ถึงไม่อาจใช้ได้เลยสักครั้ง
“ไม่รู้แล้ว…”
ถึงอย่างไรการกังวลอยู่คนเดียวก็ใช่ว่าจะได้คำตอบเสียหน่อย ในขณะที่นอนเหยียดแขนขายาวอยู่บนเตียง ฉันก็นึกถึงเนื้อหาในหนังสือได้กะทันหัน
อีเบลลีน่าเริ่มฉุนเฉียวและกำเริบเสิบสานมากขึ้นหลังจากเริ่มสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ ก่อนอีริสจะปรากฏตัว นางทั้งลากข้ารับใช้ของตนมาแล้วสั่งให้หักมือด้วยเหตุผลว่าเขาทำเรื่องผิดพลาด หรือสั่งให้ตัดลิ้นเพียงเพราะพูดไม่ถูกใจก็ด้วย จากนั้นพออีริสมาถึงวิหาร พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก็หายไปจนหมด นางจึงพุ่งไปฆ่าอีริส
แม้จะเหลวไหล แต่ตอนนี้ฉันก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมอีเบลลีน่าถึงทำอะไรแบบนั้น
นางครอบครองพลังมหาศาลอย่างล้นหลาม อีกทั้งยังสามารถใช้มันได้ตามใจชอบ นางคงเชื่อว่ามันจะเป็นของตนเองตลอดไป แต่หากอีริสที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันบอกว่าเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของตนไป คงไม่มีทางที่ใครจะไม่ทำเรื่องไร้ความยั้งคิด
‘เอาเป็นว่าตอนนี้ดีแล้วที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้ได้อย่างอิสระ’
ตอนนี้ยังทำได้เพียงแค่ให้พลังศักดิ์สิทธิ์ประจักษ์ออกมาเท่านั้น ฉันต้องใช้มันได้เชี่ยวชาญมากกว่านี้ก่อนจึงจะสามารถคุ้มกันร่างกายของฉันได้ในตอนที่ออกไปด้านนอก
‘เพียงแค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว คงต้องฝึกเพื่อให้สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างที่ใจนึกหน่อยแล้ว’
ตอนนี้ ความจริงที่ว่าอีกสองปีข้างหน้าพลังศักดิ์สิทธิ์จะหายไปจากฉันยังไม่สำคัญ มีเพียงความคิดที่ว่าในช่วงเวลาที่พลังศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่กับฉัน จะมีวิธีอะไรที่ทำให้สามารถใช้มันได้อย่างดีหรือไม่
ก๊อก ก๊อก
ฉันขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู มีเรื่องอะไรกันนะทั้งที่ฉันสั่งไปแล้วว่าไม่ให้ใครเข้ามา? ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้อนรนของนักบวชดังขึ้น
“ท่านนักบุญหญิง องค์ชายรัชทายาทเลออนขอพบค่ะ!”
ฉันขยับตัวลุกพรวดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินคำว่าองค์ชายรัชทายาทเลออน จากนั้นก็ใช้มือกดไปที่ท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดเลือนลางที่ฉันลืมไปสนิทเพราะเรื่องที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้
‘ยังไม่กลับไปเหรอ?’
มันคงเป็นเรื่องยากที่จะกลับไปในทันทีเพราะเขาเป็นองค์ชายรัชทายาทและคณะราชทูตของจักรวรรดิเองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน บางทีอาจต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันในการเตรียมตัวเลยก็ได้ ทว่าอย่างไรก็ตามฉันคิดว่าองค์ชายรัชทายาทก็น่าจะกลับไปยังจักรวรรดิ
ฉันย้อนนึกถึงตอนที่เขาจุมพิตบนหลังมือของฉันในพิธีเข้าเฝ้า ความรู้สึกที่เขาใช้ลิ้นเลียบนหลังมือซึ่งมีเพียงฉันเท่านั้นที่รู้ และจดหมายที่ส่งมาอยู่เรื่อยๆ หลังจากนั้น ไม่ว่าเขาจะคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ปฏิบัติกับฉันในฐานะหญิงสาว
‘หรือว่า…’
คงไม่ใช่ว่ามาหาเพื่อซักถามเพราะรู้สึกว่าถูกดูแคลนใช่ไหม? วันที่ร่วมรักกับเขา ตอนที่ฉันกำลังจะออกจากห้อง เขาก็มีท่าทีงงงวย โดยเฉพาะตอนที่พบกับราธบันบนโถงทางเดินก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก
สีหน้าตกตะลึงของเขาทำให้ฉันสามารถตระหนักได้แม้จะอยู่ในช่วงที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
‘คงคิดว่าวิหารหลวงวางแผนร้ายหลอกให้เขาตกลงไปในหลุมพรางล่ะสิ’
เหตุการณ์เมื่อวานเป็นเหตุการณ์ที่หากตั้งใจจะทำให้องค์ชายรัชทายาทจนตรอกก็สามารถทำได้ไม่ยาก แต่เพราะฉันไม่มีจุดมุ่งหมายแบบนั้นโดยสิ้นเชิงจึงจากมาโดยปล่อยเขาไว้ ทว่าองค์ชายรัชทายาทที่อยู่เพียงคนเดียวบนโถงทางเดินจะจินตนาการหรือคาดเดาไปอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้
อันที่จริงในมุมมองขององค์ชายรัชทายาทมันช่างเป็นเรื่องหยามเกียรติ สิ่งที่ฉันกระทำไปเมื่อวานหากเรียกแบบหยาบคายเลยมันก็คือการฟันแล้วทิ้งไม่ใช่เหรอ ลากเขามาเพราะความจำเป็นส่วนตัวแล้วหาประโยชน์จากเขา พอได้ประโยชน์แล้วก็ปล่อยเขาทิ้งไว้แล้วจากมาทันที
‘ถ้าอย่างนั้นแล้ว ก็สมควรที่จะรีบออกไปจากที่นี่ทันทีไม่ใช่เหรอ?’
เขาคือผู้ที่เกิดมามีฐานะเป็นองค์ชายรัชทายาทและไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นมาก่อน ที่จริงแล้ว เรื่องที่ฉันกังวลตอนแรกคือฉันกลัวว่าเขาจะไปนำกองทัพของจักรวรรดิมาทันทีหลังจากที่เขาออกจากวิหารหลวง แต่โชคดีที่ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเขาไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะป่าวประกาศต่อหน้าคนอื่น ดังนั้นความเป็นไปได้ที่เขาจะทำแบบนั้นจึงน้อยมาก
“องค์ชายรัชทายาท กรุณาถอยออกไปด้วย! หากไม่ได้รับคำอนุญาตท่านไม่สามารถเข้าไปในนี้ได้!”
ตอนนั้นเอง น้ำเสียงของเหล่านักบวชที่ได้ยินจากด้านนอกก็ดังขึ้น
‘เอาเป็นว่าออกไปก่อนแล้วกัน’
ฟังดูจากเสียงแล้ว หากฉันยังอยู่นิ่งๆ แบบนี้ องค์ชายรัชทายาทเลออนจะต้องก่อเรื่องใหญ่แน่ หากเขาลุกล้ำเข้ามาในที่ที่เหล่านักบวชอาศัยอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาต นั่นนับว่าเป็นการจู่โจมนักบุญหญิงและวิหารหลวงแล้ว เป็นกฎระเบียบที่ยึดถืออย่างเข้มงวดที่สุดในบรรดากฎทั้งหมดของวิหารหลวง มันจะไม่ใช่ปัญหาที่จะจบลงแค่เพราะฉันบอกว่าไม่เป็นไรเพราะองค์ชายรัชทายาทล้ำเส้นเข้ามาด้วยความไม่รู้
ในขณะนั้น เสียงที่ได้ยินอยู่ด้านนอกก็ดังขึ้นอีก
“ข้าไม่คิดจะกลับไปหากท่านไม่ให้พบก่อน”
ฉันได้ยินเสียงขององค์ชายรัชทายาทเลออนดังขึ้น แม้ได้ยินเพียงแค่เสียงแต่ก็สามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดายว่าเขาพูดมันออกมาจากใจจริง ตอนนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าหนักหยาบดังขึ้น
‘นี่มัน…’
“ท่านราธบัน!”
ฉันรู้สึกเวียนหัวแล้ว แบบนี้มันเหมือนซ้ำรอยเรื่องที่เกิดขึ้นบนทางเดินเมื่อคืนเลย
‘จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้’
คิดได้ฉันก็ไปเปิดประตูทันที ภาพเหตุการณ์ที่ฉันคิดเอาไว้กำลังเกิดขึ้นอยู่ด้านนอก องค์ชายรัชทายาทและราธบันกำลังยืนจ้องกันจนตาลุกเป็นไฟเหลือเพียงแค่ไม่ได้หยิบดาบขึ้นมาเท่านั้น
คณะราชทูตแห่งจักรวรรดิที่ยืนอยู่หลังองค์ชายรัชทายาทกำลังมีสีหน้าตกตะลึงจนซีดขาว ส่วนเหล่าอัศวินแห่งวิหารที่เห็นอยู่ด้านหลังราธบันก็กำลังมีสีหน้าไม่แน่ใจว่า ‘นี่ตอนนี้ควรจับตัวองค์ชายรัชทายาทหรือเปล่า?’
ทั้งสองคนยืนจ้องตากันอยู่สักพัก ก่อนจะหันมามองฉัน
“…”
ความเงียบที่คลุมเครือพลันไหลผ่าน มองสองคนนั้นสลับไปมา ฉันก็ถอนหายใจพร้อมกับกล่าว
“เอาเป็นว่า…ดูเหมือนเราต้องมาคุยกันหน่อยแล้ว”
***
พอเห็นองค์ชายรัชทายาทที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะด้วยสีหน้าพอใจแล้วก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา ความรู้สึกที่เหมือนจะบินขึ้นฟ้าเพราะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้เมื่อครู่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวในตัวฉันแล้ว
ความรู้สึกที่ต้องมาเผชิญหน้ากับคนที่พยายามลืมไปโดยไม่รู้ตัวตลอดทั้งวันนี่มัน…
‘อยากไปหาพระเจ้าจัง’
ฉันอยากจะไปคุกเข่าแล้วถามพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ว่าทำไมพระองค์ถึงได้ทำแบบนี้เสียเดี๋ยวนี้เลย
‘แต่ว่า…’
มองดูองค์ชายรัชทายาทเลออน ฉันกำลังรู้สึกประหลาดใจกับความรู้สึกของตนเองนิดหน่อย มันไม่ได้รู้สึกเก้อเขินเท่าที่คิด มีเพียงความกระดากและรู้สึกผิดเท่านั้น แถมยังไม่ใช่ความเขินอายด้วย
เรื่องที่ฉันทำไปเมื่อวานเป็นเรื่องที่ทำไปเพื่อความอยู่รอดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จริงอยู่ที่มันไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจที่ฉันจับผู้ชายที่เดินผ่านมาร่วมรักด้วย แต่ฉันก็คิดว่านี่มันไม่ได้เป็นเรื่องที่เลวร้ายจนทำให้ต้องถูกคุกคาม เขาไม่ได้ทำเพราะถูกบังคับเสียหน่อย ฉันมั่นใจว่าฉันถามองค์ชายรัชทายาทแล้ว หากไม่ต้องการก็ให้บอก แล้วเขาก็ตกลงยินยอม ดูอย่างไรก็เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเพราะการเห็นพ้องต้องกัน
‘แม้ว่าปัญหาคือตอนจบไม่ค่อยดีเท่าไร’
คิดได้เช่นนั้นพลางผุดยิ้มแห้ง จากนั้นก็พลันตัวแข็งทื่อ ฉันประหลาดใจกับตัวเองที่ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำแต่กลับเผชิญหน้ากับเขาได้อย่างสบายใจแล้ว
‘บางทีอาจเป็นเพราะไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องร่างกายไปสักระยะหนึ่ง?’
ตอนที่กอดเขาเมื่อวาน ฉันคิดแต่ว่าไม่อยากตาย ทว่าตอนนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีกแล้ว ดูจากท่าทีของอีเบลลีน่าเมื่อวาน นางน่าจะไม่มาพบฉันไปอีกสักระยะ เพราะหากนางไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นก็คงยื่นเงื่อนไขที่ไม่เข้าท่า หรือไม่ก็พูดอะไรบางอย่างทุกเช้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
พอเงยหน้าขึ้นมาก็สบตาเข้ากับองค์ชายรัชทายาท
“เมื่อวาน…”
“เมื่อวาน…”
เราสองคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน และปิดปากลงพร้อมกัน คนที่เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นอีกครั้งคือองค์ชายรัชทายาท
“ขออภัย แต่ข้าขอพูดก่อน”
คิดว่าเขาจะบอกให้ฉันพูดก่อนเสียอีก แต่เขากลับขอพูดก่อนผิดจากที่คาดไว้
“…ร่างกายท่าน เป็นอะไรหรือไม่?”
“คะ? อ่า… เพคะ สบายดีเพคะ”
ฉันนึกว่าเขาจะซักถามว่าทำไมเมื่อวานฉันถึงกลับไปแบบนั้นเสียอีก เพราะคำพูดที่ต่างไปจากที่คาดทำให้ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไร้สติ ฉันพิจารณามององค์ชายรัชทายาทอีกครั้ง สายตาของเขาสุขุมต่างจากที่คาดเอาไว้ มันกำลังสังเกตฉันอยู่ในเวลาเดียวกัน สายตาของเขาผู้นั้นไม่มีความใคร่ที่เห็นแบบเมื่อคืน มีเพียงความเย็นชาที่สงบนิ่งเยือกเย็นจนชวนให้ขนลุก
“…”
ฉันกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
‘นี่คือ…องค์ชายรัชทายาทเลออน’
ต่างจากภาพลักษณ์ที่ได้เห็นมาจนถึงตอนนี้ บัดนี้ไม่อาจมองเห็นความขี้เล่นสบายๆ ที่ใดในตัวเขาเลย ฉันย้อนนึกว่าเขาเป็นตัวละครแบบใดอย่างไม่เคยทำมาก่อน แม้เอ่ยคำพูดที่ดูไม่เอาจริงเอาจัง แต่ผู้ที่สั่งให้ถล่มประเทศๆ หนึ่งอย่างไม่สะทกสะท้านก็คือองค์ชายรัชทายาทเลออน ผู้ที่โหดร้ายและเยือกเย็นได้เท่าที่ต้องการในตอนที่จำเป็น
เหงื่อพลันไหลรินเมื่อนึกถึงความจริงข้อนั้นได้
‘ดูท่าจะพลาดไปสะแล้ว…’
ฉันน่าจะไปหาคนอื่นหากรู้ว่าจะกลายเป็นแบบนี้ องค์ชายรัชทายาทเลออนเป็นบุคคลที่อันตรายมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้
เขาเอ่ยขึ้นโดยยังไม่ละสายตาไปจากฉัน
“ข้าจะไม่ถามว่าเมื่อวานท่านนักบุญหญิงคิดอะไรอยู่และทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร”
“…”
“เรื่องที่อยากจะบอกก็คือ…หากว่าท่านต้องการหาใครสักคนเหมือนเมื่อคืนอีกล่ะก็ ข้าหวังว่าตอนนั้นท่านจะมาหาข้าทันที”
“…เพคะ?”
ฉันมองเขาที่เอ่ยคำพูดที่ไม่ได้จินตนาการมาก่อนอย่างเหม่อลอย เขาคลี่ยิ้มบางเบา ตอนที่ตระหนักได้ว่าเขาเพิ่งยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ เขาก็เอ่ยขึ้น
“อีเบลลีน่า ข้าอยากรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้”
***
เหล่านักบวชที่ยืนอยู่หน้าห้องของนักบุญหญิงลูบๆ คลำๆ ปลายนิ้วพลางมองไปยังราธบัน ตอนนี้ไม่ว่าใครเห็นก็ดูออกว่าเขากำลังโกรธอย่างมาก เห็นได้ชัดจากการเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องของนักบุญหญิงด้วยใบหน้าขึ้นสีแดง เหล่านักบวชรู้สึกไม่คุ้นเคยกับราธบันผู้นี้เอาเสียเลย
ผู้บัญชาการอัศวินที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ เย็นชาและบึ้งตึงอยู่เสมอ นั่นคือราธบัน จนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยเปิดเผยอารมณ์กับใครมาก่อน แต่ตอนนี้เขาผู้นั้นกลับไม่เก็บซ่อนอารมณ์ของตนเองเลย
‘มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่’
จู่ๆ องค์ชายรัชทายาทก็โผล่มา แล้วราธบันเองก็ตามมาจนเกิดความวุ่นวายกันอยู่ตอนนี้ ใครเห็นก็คงคิดว่านี่เป็นปัญหาเรื่องความหึงหวงของคนสามคน
ชั่วครู่ที่ย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็พลันเกิดคำถามว่า ‘คงไม่ใช่ว่า?’ ขึ้น แต่เหล่านักบวชก็ส่ายหน้าในทันที หากเป็นนักบุญหญิงกับองค์ชายรัชทายาทนั่นไม่ยากที่จะคาดเดาว่ามีอะไรบางอย่างระหว่างพวกเขาสองคน แต่ราธบันนั้นไม่ใช่ ผู้บัญชาการอัศวินผู้นี้เป็นคนที่ไม่มีทางแทรกเข้าไปในเรื่องแบบนั้นแน่นอน
บรรยากาศแสนพิลึกพิลั่นกำลังล่วงเลยไป ประตูถูกเปิดออก คนที่ออกมาจากด้านในคือองค์ชายรัชทายาทเลออน ท่าทีของเขาต่างจากตอนเข้าไป เสมือนว่าตั้งใจเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มสง่าผ่าเผยเต็มใบหน้าที่เป็นปกติเหมือนทุกที เขาเดินเข้าไปใกล้ราธบันที่กำลังจ้องมองมา
“ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานนะ ผู้บัญชาการราธบัน”
“…”
ราธบันเหลือบหางตาขึ้นเมื่อได้ฟังคำพูดขององค์ชายรัชทายาทที่พูดออกมาอย่างไม่สุภาพราวกับเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว อัศวินแห่งวิหารที่อยู่ด้านหลังเองก็มีท่าทีวุ่นวายขึ้นมาทันที
อันที่จริง ตำแหน่งขององค์ชายรัชทายาทกับอัศวินแห่งวิหารเป็นตำแหน่งที่คลุมเครือว่าใครอยู่เหนือกว่าใคร พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ยืนอยู่เหนือเส้นเดียวกันแต่แรก ฐานะขององค์ชายรัชทายาทเป็นฐานะที่มีผลบังคับใช้ภายในจักรวรรดิ ส่วนฐานะของผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหารเป็นฐานะที่มีผลบังคับใช้ในวิหารหลวงหรือในสถานที่ที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า
เป็นคนที่ยืนอยู่ในที่ที่ต่างกัน และยังเป็นคนที่นับถือคนเพียงผู้เดียวที่อยู่เหนือตน ดังนั้นจึงคิดได้ว่านี่เป็นตำแหน่งที่คล้ายคลึงกันและควรเคารพซึ่งกันและกัน แต่องค์ชายรัชทายาทเลออนกลับทำราวกับกำลังพบปะทหารคนสนิทของตนหรือไม่ก็สหายที่ไม่ได้พบกันมานาน
ทั้งสองไม่ใช่เพื่อนกัน ดังนั้นท่าทีที่องค์ชายรัชทายาทใช้กับผู้บัญชาการอัศวินนั้นอยู่ในแบบแรก
“ท่านนักบุญหญิงเรียกล่ะ อ้อแล้วก็คราวหน้า…”
เลออนเข้าไปใกล้ราธบันแล้วเอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ให้ใครได้ยิน
“หวังว่าจะดูสถานการณ์ออกแล้วหลบไปนะ”