หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 6.1 ผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโส (1)
ห้องของนักบุญหญิงยุ่งวุ่นวายกันตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจบพิธีสวดภาวนา ฉันก็ใส่แต่ชุดธรรมดาทั่วไปที่ใช้สัญจรในวิหารหลวงได้สะดวกสบายเพราะไม่มีความจำเป็นให้ต้องสวมชุดเครื่องแบบนักบุญอย่างทางการ แต่ว่าไม่ใช่วันนี้ เหล่านักบวชที่รับหน้าที่ดูแลเครื่องแต่งกายกลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปนาน พวกเขาตรวจสอบอย่างละเอียดว่าชุดเครื่องแบบที่ฉันสวมอยู่มีปัญหาใดหรือไม่
“ดูเหมือนจะผอมลงนะคะ…”
สีหน้าฉันเคร่งเครียดขึ้นเมื่อได้ยินคำนั้น
“ต้องแก้ชุดเครื่องแบบหรือไม่?”
“ไม่ค่ะ ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น รบกวนท่านกางแขนออกสักครู่”
ฉันทำตามคำสั่ง ผู้รับผิดชอบเครื่องแต่งกายเริ่มขยับมืออย่างรวดเร็ว แม้ไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ แต่ฉันรู้สึกได้ถึงแรงดึงเล็กน้อยและรอยพับบนชุดเครื่องแบบก็ถูกจับจีบอย่างเป็นธรรมชาติขึ้น ฉันมองท่าทีของนางแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
‘ค่อยยังชั่ว’
ตอนใส่ชุดพิธีการตอนพิธีสวดภาวนา ต้องถอดออกมาหมดตั้งแต่แรกแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ วุ่นวายไม่ใช่น้อย แต่วันนี้ดูเหมือนแค่สวมทับลงบนเสื้อตัวในที่สบายที่สุดก็ได้แล้ว
‘รอยพวกนั้นยังไม่ได้หายไปหมด…’
รอยที่องค์ชายรัชทายาททำทิ้งเอาไว้เริ่มจางแล้วแต่ก็ไม่ใช่ว่าหายไปหมด อาจเป็นเพราะผิวของอีเบลลีน่าขาวและบอบบางมากก็จริง แต่องค์ชายรัชทายาทก็ออกแรงบีบแรงกว่าที่คิดเอาไว้ด้วย
อันที่จริง หากเพราะไม่ใช่มีรอยพวกนี้อยู่ ฉันก็รู้สึกเลือนลางถึงขนาดที่ไม่มั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นมันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า เป็นเพราะตอนนั้นไม่มีสติมากจนทำให้ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นแค่ฝันไป
‘แม้มันจะดูสมจริงเกินไปก็ตาม’
แม้พยายามที่จะไม่นึกถึงมันให้มากที่สุด แต่ก็ยังมีบางครั้งที่มันโผล่พรวดขึ้นมา ลมหายใจที่ปล่อยออกมาในอากาศที่หนาวเย็น สัมผัสของผ้าปูเตียงที่ถูกขยำอย่างเต็มแรง เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของเตียง รวมถึงความรู้สึกที่เข้ามาในส่วนลึกของตัวฉัน และอุณหภูมิร่างกาย
มันไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับอีเบลลีน่าด้วยซ้ำ ดังนั้นฉันจึงไม่ต้องให้ความสำคัญก็ได้ แต่ดูเหมือนฉันคงเมินเฉยต่อมันไม่ได้เพราะมันคือครั้งแรกของฉัน
‘แต่จะว่าไป นี่มันก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว’
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้วหลังจากองค์ชายรัชทายาทมาพบ หลังจากวันนั้นฉันใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเป็นอย่างมากมาตลอด นั่นเพราะเขาไม่ได้ขอพบอีกต่างจากที่ฉันกังวล เห็นได้ชัดว่าเขายังพักอยู่ในวิหารหลวงแต่กลับไม่มีทั้งจดหมาย และดอกไม้
ต้องขอบคุณที่นั่นทำให้ฉันมีเวลาคิดเกี่ยวกับเขาได้ง่ายขึ้น
“อีเบลลีน่า ข้าอยากรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้”
พอหวนนึกถึงคำพูดนั้น ใบหน้าพลันร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
‘สมแล้ว…เขามีประสบการณ์เยอะก็เลยโปรกับอะไรแบบนี้มาก’
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเขาจะจงใจให้เวลาฉันได้คิดอย่างไม่ต้องรู้สึกกดดัน
ขณะคิดเรื่อยเปื่อยเรื่ององค์ชายรัชทายาท ชุดเครื่องแบบก็ถูกสวมใส่เสร็จเรียบร้อยโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าเช่นนั้น ไปกันเถอะค่ะ”
พอเหล่านักบวชเอ่ยส่ง ฉันก็ออกจากห้องพร้อมกับนักบวชคนอื่นที่รออยู่ สิบคนด้านหน้า สิบสองคนด้านหลัง แม้เป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับพิธีสวดภาวนา แต่จำนวนคนเท่านี้หากจะใช้คำว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินก็ไม่เกินจริงไปนัก
“ข้าอยากไปพบผู้อาวุโสก่อนตามที่ได้พูดไว้เมื่อวาน”
ฉันกล่าวขึ้นทันทีที่ออกจากอาคารเพราะกังวลว่าพวกเขาอาจจะลืมมันไป นักบวชที่ยืนอยู่หน้าสุดค้อมศรีษะลงเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน
“แน่นอน ทางนั้นก็เตรียมตัวไว้และกำลังรอท่านนักบุญหญิงอยู่ เมื่อครู่ก่อนก็มีการติดต่อมาขอรับ เรารีบไปกันเถิด”
ที่ที่ฉันกำลังไปมิใช่ที่อื่นใดแต่คือบ้านพักส่วนตัวของผู้อาวุโสซึ่งตอนนี้กำลังนอนป่วยอยู่
‘ได้ยินว่าชื่อผู้อาวุโสเดลเลอร์’
เห็นว่าหลังจากสลบไปเมื่อหลายเดือนก่อนก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาอีกได้เลย บางทีเพราะเหตุนี้เหล่านักบวชระดับสูงจึงได้สังเกตการณ์และทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนั้นในพิธีสวดภาวนา คาลูซที่ถูกขังอยู่คุกใต้ดินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
‘ว่าไปแล้วก็ไม่ได้ยินข่าวคราวเลยว่าคาลูซเป็นยังไงบ้างหลังจากนั้น’
ราธบันเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องของคาลูซทั้งหมด หากถามเอากับเขาก็สามารถรู้ได้ง่ายๆ แต่ว่า…
‘…ฉันก็ไม่เห็นราธบันมาตั้งแต่หนึ่งอาทิตย์ก่อนแล้วเหมือนกัน’
หลังจากส่งองค์ชายรัชทายาทเลออนกลับไป ตอนที่ฉันออกมาจากห้องหลังจากจัดการความคิดยุ่งเหยิงก็เป็นตอนที่ราธบันจากไปแล้ว เขารู้สึกไม่ดีกับองค์ชายรัชทายาทจึงเตือนให้ฉันหลบเลี่ยงเลออน แต่ฉันกลับมีความสัมพันธ์กับเลออนอย่างเปิดเผย ภายในใจของเขาจะรู้สึกยุ่งเหยิงขนาดไหนกัน
‘บางทีคงคิดว่าฉันจงใจเมินคำพูดของตนเองด้วย’
พอนึกถึงสีหน้าของเขาตอนที่ประจัญหน้ากับองค์ชายรัชทายาทที่หน้าประตู ฉันก็คิดว่ามันเป็นไปได้
‘แต่ตอนไปบ้านเขาตอนนั้นก็ไม่เห็นสีหน้าแบบนั้นเลยนี่นา’
หรือว่าเขาข่มมันเอาไว้เหรอ
ขณะกำลังเดินนวดศีรษะที่คิดวุ่นวาย ก็พลันเหลือบไปเห็นเหล่าอัศวินที่เดินผ่านแถวนั้นพอดี พวกเขาเห็นฉันแล้วค้อมศีรษะให้จากที่ไกลๆ จากนั้นก็หมุนตัวและเดินต่อบนทางที่ตนตั้งใจจะไปทันที
“เดี๋ยวก่อน!”
ฉันเปล่งเสียงเรียกพวกเขาที่กำลังจะหมุนตัวจากไปอย่างเร่งรีบ เหล่าอัศวินมองมาที่ฉันราวกับต้องการยืนยัน ด้วยสีหน้าย้อมความสงสัยว่ากำลังเรียกพวกตนอยู่หรือ ฉันเดินออกมาจากกลุ่มเหล่านักบวชและเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ขอโทษที แต่ว่าช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเซอร์ราธบันหรือเปล่า?”
“ถ้าเป็นหัวหน้า…ไม่มีเรื่องอะไรนะขอรับ ท่านมีเรื่องอะไรหรือ?”
“พอดีไม่ได้เห็นมานานข้าจึงถามดู เช่นนั้นหากข้าไปที่หน่วยอัศวินก็คงได้พบ…”
ตอนนั้นเอง อัศวินวัยหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ขึ้นมาด้านหน้าและจ้องเขม็งมาที่ฉันพลางกล่าว
“เจอแล้วคิดจะทำอะไร?”
“ชีเดล!”
แม้การใช้คำพูดไม่สุภาพกับนักบุญหญิงจะเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมาก แต่สายตาของอัศวินที่เรียกชื่อชีเดลนั้นเปี่ยมไปด้วยความเป็นศัตรูแรงกล้าที่ไม่ว่าใครเห็นก็รู้ ทันทีที่ชีเดลพูดออกมาแบบนั้น สีหน้าของอัศวินที่อยู่ด้านข้างเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดขาว เหล่านักบวชที่อยู่ด้านหลังฉันเองก็ส่งเสียง เฮือก พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าไปเสียงดังด้วยความตกใจ
“เจ้าจะตามหาหัวหน้าของพวกเราไปทำไม เจ้าน่ะ…อือ! อืออือ!”
เหล่าอัศวินที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามาปิดปากชีเดลทันทีที่เขาตั้งใจจะพูดต่อ จากนั้นก็บังคับให้เขาคุกเข่าแล้วกดหลังลงไปให้หมอบลงบนพื้น
“ขออภัยขอรับ ท่านนักบุญหญิง! ขอท่านโปรดช่วยยกโทษให้สักครั้งด้วย!”
อัศวินที่ดูมีอายุมากที่สุด เตะสีข้างของชีเดลที่ดิ้นอยู่บนพื้นอย่างแรงคล้ายจะสั่งให้เงียบ แล้วหันมาก้มหัวทางฉัน
ฉันมองไปยังชีเดลที่อยู่บนพื้น ต่อให้เหล่านักบวชคนอื่นพยายามปิดปากและกดหน้าเขาลงไปอย่างไร แต่เขาก็ยังพยายามสะบัดหัวอย่างหยาบคายและจ้องมาทางฉัน จ้องมาด้วยสายตาที่ใช้มองพวกหนอนแมลงยังดูอบอุ่นกว่า
‘นี่คงเป็นความรู้สึกปกติที่ผู้คนมองฉันล่ะสิ’
ความเป็นปรปักษ์แบบดิบเถื่อนที่ไม่ได้เห็นมานาน ทำให้ฉันรู้สึกตัวว่ากำลังเผชิญกับสถานการณ์แบบใดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เหล่าอัศวินที่อยู่ด้านข้างยังคงกดชีเดลเอาไว้พลางพิจารณาสีหน้าของฉัน พวกเขาจำได้ดีว่าอีเบลลีน่าเคยลงโทษคนที่เสียมารยาทกับนางอย่างไรบ้าง ทบทวนความทรงจำคร่าวๆ ในตอนนี้ พบว่าคนเหล่านั้นส่วนใหญ่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งและไล่ออกไป มิใช่เพียงแค่ไล่ไปเฉยๆ แต่พวกเขาจะถูกนำไปขังไว้ในคุกใต้ดินก่อนเป็นเวลานานจนมีสภาพมิใช่คน
ฉันมองชีเดล บางทีหากอยู่ด้วยกันสองคนคงไม่เป็นไร แต่ต่อหน้าคนจำนวนมากที่ดูอยู่เช่นนี้ หากทำกริยาเสียมารยาทกับนักบุญหญิงก็จำเป็นต้องมีบทลงโทษ แต่ถ้าฉันสั่งลงโทษอัศวินของหน่วยอัศวินแห่งวิหาร ผู้คนจะต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของฉันกับราธบันกันไปตามใจชอบอีกแน่
‘แต่ว่าตอนนี้ฉันคงต้องปล่อยผ่านไปตามสมควร’
มีข้ออ้างที่พอใช้ได้พอดี
“เจ้าควรจะถูกลงโทษที่เสียมารยาทเมื่อครู่ แต่ตอนนี้ข้ากำลังจะไปพบนักบวชเดลเลอร์ ข้าอยากจะหลีกเลี่ยงเรื่องเลวร้ายเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะไปพบผู้ที่กำลังจะไปอยู่ข้างพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นข้าขอสั่งลงโทษห้ามเจ้าจับดาบและห้ามออกจากอาณาบริเวณของหน่วยอัศวินเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
ใบหน้าของชีเดลพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง บทลงโทษนั้นไม่รุนแรงก็จริงแต่การที่อัศวินไม่อาจจับดาบได้เป็นเวลาหนึ่งเดือนนั้นถือเป็นเรื่องที่ทำลายศักดิ์ศรี
ฉันเร่งเหล่านักบวชที่ยื่นเหม่อลอยอยู่
“รีบไปหาผู้อาวุโสเดลเลอร์กันได้แล้ว”
“ขอรับ…? ขอรับ!”
เหล่านักบวชนำทางให้ฉันอย่างรวดเร็ว สีหน้าไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะจบลงเงียบๆ เช่นนี้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมองอย่างไร ฉันก็ขยับฝีเท้าอีกครั้ง
‘ถ้าจะพบราธบันคงต้องไปหน่วยอัศวินใช่ไหมนะ’
ฉันอยากไปบอกเขาว่าฉันไม่ได้เมินเฉยคำพูดของเขาเลย
‘อุตส่าห์คิดว่าความสัมพันธ์เริ่มดีขึ้นมาแล้วเชียว…’
แบบนี้ก็เหมือนกลับไปจุดเริ่มต้นอีกครั้ง คิดได้แบบนั้นก็พลันรู้สึกหมดแรง ฉันขยับฝีเท้าก้าวเดินไปยังที่พักของนักบวชเดลเลอร์พลางครุ่นคิดว่าต้องพยายามอีกมากแค่ไหนถึงจะดึงความสัมพันธ์ของฉันกับเขากลับมาอีกครั้ง
***
“ไอ้เชี่ยเอ้ย!”
ทันทีที่ชีเดลยืนขึ้นแล้วสะบัดมือ อัศวินคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ฟาดลงที่ท้ายทอยของเขาจนเกิดเสียงดังปัก
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดนักบุญหญิงแต่พูดออกมาแบบนั้นได้อย่างไร! อยากตายมากนักหรือ? หรืออยากจะลาออกจากการเป็นอัศวิน? ถ้าอย่างนั้นก็รีบถอดเสื้อแล้วออกไปเสีย! อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้หัวหน้า!”
ชีเดลผู้ฮึกเหิมราวกับจะถามว่าข้าทำอะไรผิดจนถึงเมื่อครู่ก่อน ก้มหน้าลงแน่นเมื่อได้ยินคำว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้หัวหน้า
“ไอ้โง่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการกระทำของเจ้าจะส่งผลกระทบไปหาหัวหน้า?”
“ไม่สิ ก็แค่ข้ารับบทลงโทษแล้ว…”
“หุบปาก พวกเราจะรายงานเรื่องนี้กับหัวหน้า เพราะฉะนั้นเจ้ารีบกลับไปที่พักเสีย”
เหล่าอัศวินพูดเช่นนั้นแล้วตีหลังของชีเดลอย่างแรง จากนั้นก็ดึงดาบของเขาออกมาแล้วเดินจากไป
หลังจากเหลืออยู่คนเดียว ชีเดลปัดฝุ่นดินที่ติดอยู่บนชุดเครื่องแบบอัศวินออก เขานึกถึงใบหน้าของนักบุญหญิงที่มองมายังตนเองเมื่อครู่แล้วกัดฟันกรอดโดยอัตโนมัติ
“แม่งเอ้ย…”
ยังคงเป็นใบหน้าที่งดงาม แต่ช่วงนี้ไม่รู้เป็นเพราะปรับเปลี่ยนนิสัยหรืออย่างไร ถึงได้ไม่มีสีหน้าอำมหิตและเยือกเย็นเหมือนเมื่อก่อน ถึงจะดูซีดเซียวไปบ้างแต่ก็ดูสบายใจและมั่นคง นึกถึงหน้าตาของนักบุญหญิงแล้วชีเดลก็ย้อนนึกถึงท่าทีของราธบันในช่วงนี้
ราธบันผู้ไม่เคยแสดงสีหน้าจนดูคล้ายกับแท่งไม้และหิน ทว่าตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ราธบันกลับไม่ใช่คนเดิมที่ชีเดลเคยรู้จัก หน้าตาที่ใครเห็นก็รู้ว่าอารมณ์ไม่ดีแถมคำพูดที่พูดออกมาสั้นๆ อยู่แล้วยิ่งสั้นลงกว่าเดิม ในเวลาว่าง ปกติเขามักจะอยู่ที่อาคารของหน่วยอัศวินเสมอ แต่ตอนนี้กลับมุ่งกลับไปยังบ้านพักส่วนตัวทันที
‘ได้ยินว่าเขากลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่ไปห้องของนักบุญหญิง’
เขาถามเหล่าอัศวินที่ไปที่นั่นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขารักษากฎที่ไม่อาจพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในนั้นได้จึงไม่ยอมบอกอะไรทั้งนั้น ดังนั้นชีเดลจึงทำได้เพียงจินตนาการไปเอง
‘อีนางนั่นมันตั้งใจจะวางอุบายอะไรกับหัวหน้าเรากันแน่?’
นี่ไม่ใช่แค่ความคิดที่มั่นใจไปเองเท่านั้น ครู่ก่อนนักบุญหญิงเองก็ถึงกับหยุดถามถึงความเป็นอยู่ของราธบันเองด้วยซ้ำ ใครๆ ก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนไม่ได้อยู่ในสถานะแบบนั้น
‘คงไม่ใช่ว่านักบุญหญิงพาหัวหน้าไปทำเรื่องยามค่ำคืนสกปรกๆ…’
ชีเดลส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้ ต่อให้นักบุญหญิงจะยั่วยวนแต่ราธบันก็ไม่มีทางหลงกล
‘ถ้าอย่างนั้นหรือว่ากำลังอยู่ในช่วงหลอกล่อ?’
งั้นสถานการณ์ทุกอย่างก็ลงตัวเป๊ะ ราธบันอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดหลังจากกลับมาจากห้องของนักบุญหญิง นักบุญหญิงที่ถามกับเหล่าอัศวินว่าเขาเป็นอะไรหรือไม่ อยู่ที่ไหน
ถ้าหากว่าผู้หญิงคนนั้นเรียกราธบันไปแล้วบังคับให้มีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมเพื่อที่จะเหยียดหยามเขามากขึ้นล่ะก็…
ชีเดลกัดริมฝีปากพลางมองไปยังทางที่นักบุญหญิงจากไป นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแหลมคมที่มุ่งไปทางคนที่หายไปแล้ว