หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 7.2 แอสรัน (2)
“อะไรกัน…”
แอสรันมองดูนักบุญหญิงที่สิ้นสติ ร่างกายขาวซีดนอนหมดแรงอยู่บนเตียงนอนยุ่งเหยิง ส่วนลึกที่สุดด้านในขาที่ยังหุบปิดไม่ได้ปรากฏในสายตาเขา แม้นำสิ่งนั้นของเขาออกมาแล้ว แต่น้ำกามสีขาวก็ยังคงไหลออกมาจากกลีบร่องรักที่ปิดไม่สนิท แอสรันจ้องมองมันด้วยสีหน้าพึงพอใจ
‘ในที่สุดก็รับมันเข้าไปแล้ว’
ความพึงพอใจอย่างถึงขีดสุดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แอสรันนั่งอยู่ข้างนักบุญหญิง เขาจับขาทั้งสองข้างแล้วดึงนางมาทางเขาอีกครั้ง
อีกรอบดีไหม
ท่อนล่างของเขายังแข็งขืนอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องที่แน่นอน นางเป็นตัวเมียที่หาได้ยากถึงเพียงนั้น
แอสรันจับข้อเท้าของนักบุญหญิงที่สลบไม่ได้สติแยกออก น้ำกามที่เขาหลั่งเข้าไปกำลังไหลทะลักออกมาจากร่องที่เปิดอ้าจนกว้าง ดูเหมือนการสอดใส่แก่นกายของเขาเข้าไปอีกครั้งเพื่อไม่ให้พวกมันไหลออกมาจะดีกว่าจริงๆ จะได้มีโอกาสตั้งท้องลูกของเขามากขึ้น
แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดการเคลื่อนไหวหลังจากกำลังจะสอดใส่มันเข้าไปในช่องทางรักของนักบุญหญิงอีกครั้งด้วยความคิดเช่นนั้น นั่นเพราะหยดน้ำที่ร่วงหล่นลงบนผ้าปูที่นอนพร้อมกับเสียงแปะ
“…”
แอสรันพิจารณาดูใบหน้าของนักบุญหญิง บนใบหน้าสีขาวที่แหงนไปด้านหลังอย่างไร้เรี่ยวแรงยังมีรอยคราบน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างชัดเจนหลงเหลืออยู่ มือข้างหนึ่งจับเอวของนักบุญหญิงแน่น จากนั้นเขาก็ยื่นมือข้างที่เหลือไปเช็ดรอยคราบนั้น หยดน้ำเปรอะเปื้อนติดฝ่ามือของเขา สีหน้าของแอสรันพลันเคร่งเครียดขึ้นเมื่อได้เห็นมัน
เขาถอนร่างของตนที่สัมผัสกับส่วนล่างของนักบุญหญิงออก
“อื้อ…”
อาจเป็นเพราะส่วนปลายหัวมนเข้าไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว นักบุญหญิงที่สลบไม่ได้สติจึงเปล่งเสียงครางแผ่วเบา ใครได้ยินก็ฟังดูเหมือนเป็นเสียงที่กำลังเหนื่อยล้า
แววตาของเขาที่มองนักบุญหญิงวูบไหว ความใคร่ของเขายังไม่ลดลง เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่เขาเตร็ดเตร่ตามหาตัวเมียที่สามารถยอมรับแก่นกายและเมล็ดพันธุ์ของเขาเข้าไปเพาะพันธุ์ได้ ความปรารถนาดั้งเดิมที่สั่งสมอยู่ภายในตัวเขากำลังอัดแน่นอยู่ในร่างโดยที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยออกไปเลยสักนิด
แอสรันยื่นมือออกไปหลังจากลังเล จากนั้นก็ดึงร่างของนักบุญหญิงเข้ามากอดในอ้อมอก
ร่างของนักบุญหญิงฝังลงในอกเขาอย่างแผ่วเบา เขาดึงชายเสื้อที่พาดอยู่ใต้หัวไหล่มาคลุมนักบุญหญิงจนมองเห็นเพียงแต่เส้นผมสีบลอนด์ที่กระจัดกระจายอย่างยุ่งเหยิง แอสรันถูกใจภาพนั้นเป็นอย่างมาก ภาพที่นักบุญหญิงถูกกอดอยู่ในอ้อมอกของเขาและมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้เห็น
เขามองนักบุญหญิงด้วยสีหน้าพึงพอใจและเลื่อนมือลงไปด้านล่าง
มือของเขาคลำบนหน้าท้องแบนราบที่กำลังขยับขึ้นลงช้าๆ ราวกับต้องการแสดงให้เห็นว่ามันยังมีชีวิตอยู่ การกระทำนั้นราวกับต้องการประเมินว่าแก่นกายของตนจะเข้าไปสัมผัสได้ถึงตรงไหน
“ในที่สุด….”
น้ำเสียงพึมพำเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติ ตามหาเจอยากเหลือเกิน เขาเคยคิดว่าบนโลกใบนี้คงไม่มีตัวเมียที่สามารถรับมือเขาได้แล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่านางจะปรากฏตัวขึ้นมาเช่นนี้
ปลายนิ้วที่ลูบคลำหน้าท้องของนักบุญหญิงมีประกายแสงสีแดงเลือนรางอยู่ชั่วครู่ก่อนจะจางหายไป ทันใดนั้น นักบุญหญิงก็เปล่งเสียงครวญครางพร้อมกับน้ำตาไหลออกมา แอสรันหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเสียงนั้น
‘นางบอกว่าเตรียมร่างกายไว้เพื่อยอมรับข้าเข้าไปแล้วนี่?’
เขาได้รับจดหมายที่เขียนไว้ว่านางรอคอยเขาและกำลังเตรียมพร้อมอยู่ ดังนั้นนางจึงน่าจะดื่มชาที่เป็นยาช่วยให้ทนต่อพลังเวทของเขาไว้แล้ว แต่เขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนางถึงยังเหนื่อยแบบนี้ และยังไม่ใช่เพียงเท่านั้น
ทั้งที่พวกเขาติดต่อกันอยู่แท้ๆ แต่นักบุญหญิงกลับทำสีหน้าราวกับไม่รู้อะไรเลยขณะที่ได้พบเขา
‘เป็นไปไม่ได้’
เขาได้รับการยืนยันและได้รับคำมั่นสัญญาจากนักบุญหญิงอยู่หลายครั้ง
การตั้งครรภ์ลูกของเขา หากนักบุญหญิงไม่เห็นชอบด้วยแต่แรกก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ มันต้องเตรียมสภาพร่างกายที่ต้องปรับพลังเวทให้เป็นกลางซึ่งกินระยะเวลานาน อีกทั้งหลังจากให้กำเนิดแล้วยังต้องคอยดูแลต่อไป เพราะฉะนั้นจึงได้ยืนยันอยู่หลายครั้งมิใช่หรือ
‘อย่างไรตอนนี้ก็ถอยไม่ได้แล้ว’
สัญญาสำเร็จลุล่วงในวินาทีที่นางเซ็นชื่อ บัดนี้นางคือตัวเมียของเขา
นักบุญหญิงมิได้แค่เซ็นชื่อไปงั้นๆ โดยที่ไม่คิดอะไรเลย
แอสรันเลื่อนมือลงไปด้านล่างและคลำต้นขาของนาง ไม่ช้าปลายนิ้วของเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังงานที่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ รอยทรงกลมสามรอยปรากฏเข้าสู่สายตาเขาทันทีที่ยกชายเสื้อขึ้น
“สิ่งนี้เองสินะ”
นักบุญหญิงมีเรื่องที่ร้องขอเป็นค่าตอบแทนในการกกกอดลูกของเขา อย่างแรกเลยคือการขอให้เขาทำให้รอยพวกนี้หายไป เขาพิจารณาดูรอยอย่างระมัดระวัง
‘นี่เป็นคาถาที่เก่าแก่มาก’
ความสงสัยแวบผ่านนัยน์ตาของแอสรันที่พินิจพิจารณารอยนั้น
ในดินแดนที่พลังศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิพลเหนือสิ่งอื่นใดแห่งนี้ คาถาที่หายไปเป็นระยะเวลานานแล้วมาฝังอยู่บนร่างของนักบุญหญิงได้อย่างไร ทั้งยังมีถึงสามรอย
‘แล้ว…ทำไมนางถึงอยู่เฉยทั้งที่เกิดรอยพวกนี้ขึ้นกัน?’
หากดูจากคำขอที่ให้เขาช่วยลบรอยนี้ออกไป นั่นหมายความว่านักบุญหญิงเองก็รู้ว่ารอยพวกนี้มีไว้เพื่ออะไร เขารวบรวมพลังเวทมาไว้ที่ปลายนิ้ว ประกายแสงสีแดงที่ให้ความรู้สึกอันตรายและน่ากลัวซึ่งแตกต่างจากพลังศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิงลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขานำมันไปจ่อไว้บนรอยกลม ทันใดนั้น นักบุญหญิงก็ส่งเสียงร้องครวญครางพร้อมกับเริ่มบิดตัว พลังเวทของเขาที่หมุนวนอยู่บนร่างของนางหายไปในพริบตาที่สัมผัสโดนรอยพวกนั้น แอสรันเดาะลิ้นพลางกดไปที่รอยนั่น นักบุญหญิงที่หมดสติราวกับตายไปแล้วหายใจหอบเสียงดัง
“ให้ตายเถอะ”
เป็นเพราะสัมผัสโดนพลังเวทของเขาไม่ผิดแน่ นักบุญหญิงยังรับพลังเวทของเขาไม่ได้จริงๆ
ใบหน้าของแอสรันแฝงไปด้วยความวุ่นวายใจขึ้นเป็นครั้งแรก เขาดึงนักบุญหญิงเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงร้องไห้ การรับสิ่งนั้นของเขาเข้าไปด้วยร่างที่ยังไม่พร้อม ถึงแม้นางจะครอบครองพลังที่วิเศษในหมู่มนุษย์แค่ไหน แต่ผลที่ตามมาก็คือความเจ็บปวดและความสุขสมที่ยากจะต้านทาน
แอสรันพิจารณานักบุญหญิงด้วยความกระวนกระวาย
ตัวเมียของเขา
เมื่อมีสัมพันธ์กันหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังเป็นตัวเมียที่โอบอุ้มเมล็ดพันธุ์ของเขาเอาไว้ ตอนนี้นางจึงไม่ต่างไปจากชีวิตของเขา ไม่สิ มันมากกว่านั้นอีก แม้ครั้งนี้จะไม่อาจทำให้ตั้งท้องได้ในคราวเดียวก็ไม่เป็นไร เขาจะโอบกอดนางนับจากนี้ไปอย่างไม่สิ้นสุด เช่นนั้นอย่างไรสักวันหนึ่งก็ย่อมให้กำเนิดแน่ เขาแค่ต้องทำเช่นนั้นไปจนกว่าจะนางจะให้กำเนิดก็พอ
‘แต่พอเป็นแบบนี้…’
อย่าว่าแต่ทำจนกว่าจะให้กำเนิดเลย ตอนนี้เขาเป็นกังวลแล้วว่าครั้งต่อไปจะยังทำได้หรือไม่
‘…มนุษย์อ่อนแอเกินไป’
แอสรันคิดเช่นนั้นพลางมองไปยังกระจกที่อยู่ไกลออกไป ตรงนั้นมีมนุษย์ชายผู้มีดวงตาและเส้นผมสีแดง แม้เป็นภาพลักษณ์ที่เห็นมานานเกินกว่าพันปีแล้ว แต่มันก็ยังเป็นภาพลักษณ์ที่จนถึงตอนนี้ตัวเขาก็ยังไม่คุ้นเคย
เสียงคำรามของสัตว์เดรัจฉานหลุดออกมาจากปากของแอสรันที่จ้องมองภาพสะท้อนของตนในกระจก ประกายสีแดงวูบไหวในดวงตาของเขา มันคือพลังงานที่มีเพียงปีศาจเท่านั้นที่ครอบครอง
เขาดึงนักบุญหญิงมากอดอีกครั้ง เส้นผมของนักบุญหญิงที่อยู่ในอ้อมกอดฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอม แอสรันฝังหน้าลงไปบนเส้นผมพลางคิดว่าคราวหน้าเขาจะปลดปล่อยของตนเองตรงนี้ ตัวเมียที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า มันจะน่าเอ็นดูเพียงไหนกัน
แอสรันร้องครวญครางพลางฝังหน้าลงไปที่หน้าอกของนักบุญหญิง มันช่างอดทนได้ยากจริงๆ แม้ในวันนี้จะเพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก แต่เขาก็ได้กลายเป็นสัตว์ของนักบุญหญิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับจากนี้ไปเขาจะยอมทำทุกอย่างที่นางต้องการ ยกเว้นการปฏิเสธเขา
แอสรันเลียอกอิ่มที่ขยับขึ้นลงอย่างดึงดูดอยู่ตรงหน้าพลางนึกถึงข้อแลกเปลี่ยนที่ทำกับนักบุญหญิง
‘ก่อนอื่นต้องทำให้รอยหายไปก่อน’
นักบุญหญิงไม่ได้บอกว่ารอยนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและใครเป็นคนทำ นางเพียงขอให้เขาช่วยลบมันออกไปเท่านั้น
‘มันซับซ้อนมาก’
พอมาเห็นด้วยตาตัวเองเขาก็เข้าใจว่าทำไมนักบุญหญิงถึงร้องขอสิ่งนี้เป็นค่าตอบแทน
มันเป็นคาถาที่พัวพันอย่างซับซ้อนทั้งยังแกร่งกล้า ไม่ใช่รอยที่จะหายไปได้ด้วยพลังที่ช่วยปกปักรักษาหรือชำระล้าง มีเพียงพลังทำลายล้างที่ถอนรากถอนโคนและเผาไหม้จนมันไม่อาจเติบโตขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้นจึงจะสามารถลบมันออกไปได้ ซึ่งพลังแบบนั้นล้นทะลักอยู่กับเขาผู้เป็นปีศาจ
‘ปัญหาคือ…ต้องทำไม่ให้นางบาดเจ็บ…’
จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะลบมันออกไปโดยไม่ทำให้ร่างกายของนักบุญหญิงบาดเจ็บ และเรื่องที่กวนใจเหนือสิ่งอื่นใดเลยคือเจ้าสิ่งนี้มันดูดกลืนพลัง
ตอนนี้มันยังสงบอยู่เพราะมันกำลังสูบพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงจากบนร่างของนางอย่างเต็มที่ แต่หากพลังของนางจางหายไปและมันรู้ว่านางพยายามจะถอนมันออก สิ่งนี้จะต้องจ้องทำร้ายชีวิตของนักบุญหญิงแน่
‘และมันถูกวางแผนไว้ให้เป็นแบบนั้น’
มันเป็นรอยที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่ให้สามารถลบออกไปได้จนกว่าจะตาย เสียงสบถต่ำที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธลอดผ่านริมฝีปากของแอสรัน
เขาดึงเอวของนักบุญหญิงมาและกดเข้าหาตนเอง จุดที่ยังอัดแน่นไปด้วยความปรารถนาถูไถบนผิวอ่อนนุ่ม ของเหลวที่ปลดปล่อยออกมาทิ้งร่องรอยไว้บนหน้าท้องของนาง น้ำตาเอ่อคลอบนขอบตาที่ปิดสนิทอีกครั้งแม้ยังไม่ได้สติ ราวกับนางรู้ว่าอะไรกำลังกดนางอยู่
แอสรันใช้ริมฝีปากซับน้ำตาของนาง
ตัวเมียของเขา ไม่ว่าจะไหลออกจากด้านบนหรือไหลออกจากด้านล่างก็หวานหอมจนน่าหลงใหล ถึงขนาดที่เขาคิดว่าทั้งชีวิตได้ดื่มแค่มันก็อยู่ได้แล้ว
หลังจากดื่มสิ่งที่ไหลออกมาของนางจนหมด แอสรันก็นึกถึงค่าตอบแทนอย่างที่สอง มันเป็นงานที่ง่ายดายมากเมื่อเทียบกับการลบรอยพวกนี้
“…นางขอให้เขาทำลายวิหารหลวงให้สิ้นซาก”
นั่นเป็นค่าตอบแทนข้อที่สองที่นางขอจากเขา
***
“อา…”
เสียงครวญครางขาดๆ หายๆ หลุดออกจากปากฉันทันทีที่ได้สติ
“นะ…น้ำ…”
ร่างกายรู้สึกร้อนพร้อมกับอาการคอแห้ง ฉันยันแขนเพื่อจะลุกขึ้นจากที่ แต่อย่าว่าแต่ลุกขึ้นเลย กระทั่งออกแรงยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นเอง มีใครบางคนอุ้มฉันขึ้น ฉันคิดว่าคงมีอะไรนิ่มๆ มาแตะที่ริมฝีปากในไม่ช้า แต่กลับมีน้ำเย็นเข้ามาเพิ่มความชุ่มชื้นภายในปากที่แห้งผากแทน
ความรู้สึกเย็นสบายนั่นทำให้ฉันยึดมันไว้แน่นและดื่มเข้าไป เสียงดื่มน้ำอึกๆ ดังขึ้นพร้อมกับความสดชื่นของน้ำแผ่กระจายไปทั่วทุกที่ภายในร่าง ฉันคว้าของที่มาสัมผัสใบหน้าอย่างสุดชีวิตและขณะที่เลียกระทั่งหยดสุดท้ายนั่นเอง
“ตอนนี้คงตาตื่นแล้วสิ”
“…!”
ในหูได้ยินน้ำเสียงเอื่อยเหนื่อยล้า ฉันกะพริบตาซ้ำๆ ด้วยความตกใจเพราะเสียงที่ไม่คุ้นเคยนั่น ภาพรอบข้างที่เลือนรางค่อยๆ ชัดเจน ตอนนี้เองฉันถึงตระหนักได้ว่าคนที่พูดกับฉันคือใครและฉันกำลังอยู่ในสภาพไหน
“แอสรัน…?”
เขาดึงฉันเข้าไปกอดโดยที่ไม่ได้สวมใส่แม้แต่ด้ายสักเส้น ตัวฉันเองก็เช่นกัน
“อา…”
ในที่สุดในหัวก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืน พลันรู้สึกถึงความอับอายใจที่เพิ่งเกิดขึ้น ฉันดิ้นขลุกขลักและบิดตัวเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมกอดของเขา แต่ไม่นานก็ต้องหยุดการเคลื่อนไหวเพราะอาการปวดหน่วงอย่างรุนแรงที่แผ่ซ่านจากช่วงล่าง
“อึก…”
มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับมีไม้พองขนาดใหญ่มาทุบตีส่วนล่างของฉัน ไม่สิ เหมือนกับยัดเข้าไปแล้วดึงออกมา ฉันตัวสั่นระริกพลางมองลงไปด้วยล่างด้วยจิตใจที่คิดว่าบางทีมันอาจจะถูกทำลายไปแล้ว
“…”
แม้จะเจ็บปวดถึงเพียงนี้ แต่ตรงนั้นของฉันยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์จนน่าตกใจ ทันทีที่ฉันเอื้อมมือลงไปคลำด้านล่างอย่างยากจะเชื่อ แอสรันก็เปล่งเสียงหัวเราะราวกับเข้าใจว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้น ขณะที่ปลายนิ้วสัมผัสเข้ากับน้ำกามที่แห้งติดระหว่างต้นขา เสียงสะอื้นก็หลุดออกมา
“ฮึก…”
น้ำตาไหลทะลักออกมาอย่างไม่มีเวลาให้อดกลั้น ความรู้สึกที่โดนสอดใส่ส่วนล่างและพลังกดดันอากาศของแอสรันทำให้ฉันหายใจไม่ออกอีกครั้ง
“…นักบุญหญิง?”
น้ำเสียงของเขาดูงงงัน ฉันยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นเมื่อได้ยิน
“ฮึก…ฮือ…”
หยดน้ำตาและเสียงสะอึกสะอื้นพรั่งพรูออกมาพร้อมกัน ต่อหน้าแอสรันแบบนั้น ฉันร้องไห้ต่อหน้าแอสรันอย่างหยุดไม่ได้เป็นเวลานาน
***
“ต้องหลบขนาด…”
ขณะที่เขาเปิดปากพูด ฉันรีบจัดชายเสื้อให้เรียบร้อยแล้วไปขดตัวอยู่ปลายเตียง แอสรันมองฉันอย่างไม่เข้าใจ ไม่สิ มันคือสีหน้าที่คล้ายว่าเขาช็อกมากที่ฉันมีพฤติกรรมแบบนั้น
สีหน้าแบบนั้นทำให้ฉันกัดริมฝีปาก ความโกรธพลันพลุ่งพล่าน นี่เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าตัวเองทำเรื่องอะไรไปถึงได้ทำหน้าแบบนั้น? มองดูเขาที่ไม่ได้เดินเข้ามาหาฉันทันทีแล้วฉันก็นึกถึงบทสนทนาเมื่อคืน
‘เขาบอกว่าทำข้อแลกเปลี่ยนกับอีเบลลีน่าไว้’
ฉันจำเป็นต้องรู้ว่าพวกเขาทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรไว้กันแน่
‘ยังไงล่ะ?’
แกล้งทำเป็นสูญเสียความทรงจำดีไหม? สิ่งเดียวที่ฉันคิดออกตอนนี้มีเพียงความคิดนั้น ลองไตร่ตรองดูแล้วนี่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่ผิดไปนัก ฉันเข้ามาอยู่ในร่างของอีเบลลีน่าและมองเห็นเพียงความทรงจำที่นางทิ้งไว้ให้ ซึ่งข้อแลกเปลี่ยนกับแอสรันเป็นความทรงจำที่นางไม่ได้ทิ้งไว้ ทว่าอีเบลลีน่าทำข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างกับแอสรันจริงๆ ฉันย้อนนึกถึงคำที่นางพูดพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าจะต้องตั้งท้องลูกของเจ้าปีศาจนั่น”
นึกถึงที่เขาเรียกฉันว่าตัวเมียเมื่อวาน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องที่มีการเตรียมการไว้อยู่แล้ว ขณะที่ฉันกำลังเม้มปากแน่นพลางนึกถึงเรื่องนั้น แอสรันที่มองฉันอย่างพิจารณาก็ก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวพลางกล่าว
“ดูเหมือนร่างกายของเจ้าจะยังเตรียมพร้อมได้ไม่ดีพอ เจ้าได้ดื่มชาเป็นปกติหรือไม่?”
“ชา…?”
มีบางสิ่งที่นึกออก วันที่ฉันสลบไปตอนที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับตารางงานในวันที่สองของพิธีสวดภาวนา ชาที่ฉันดื่ม ชาที่เขาบอกว่าอีเบลลีน่าเป็นคนเลือกมาเองกับมือ แอสรันกำลังพูดถึงมันอย่างแน่นอน
‘มันมีสาเหตุอยู่นี่เอง’
ก็นะ ไม่เช่นนั้นอีเบลลีน่าคงไม่สั่งให้ยกชาตัวนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษต่อให้บอกว่ามันเป็นกลิ่นที่ชอบก็ตาม ฉันมองแอสรันพลางเอ่ยถาม
“ชานั้นมีไว้เพื่ออะไรกันแน่คะ?”
“…อะไรนะ”
เมื่อเห็นเขาถามย้อนกลับมา ฉันก็กังวลอยู่ครู่หนึ่ง
ฉันสูญเสียความทรงจำ ดังนั้นฉันจึงไม่รู้เลยว่าคุณกับฉันกำลังพูดถึงเรื่องอะไรและข้อแลกเปลี่ยนนั้นคืออะไร อันที่จริงการบอกเขาไปแบบนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาก็คือเขาจะตอบคำถามของฉันตามตรงหรือเปล่า
‘ฉันยังไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง’
หากเขาตอบคำถามให้ได้ประโยชน์แก่ตัวเองล่ะ? ฉันจะรับรู้ถึงมันได้ไหม? ฉันพิจารณาแอสรันอีกครั้ง ดวงตาสีแดงที่ไม่ละไปจากฉันเลยสักเสี้ยววินาทีทำให้ขนลุกซู่ขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าน่าแปลกที่ฉันไม่รู้สึกเลยว่าเขาจะพูดโกหก
ฉันเว้นระยะห่างจากเขาเล็กน้อยแล้วเปิดปากพูดอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
“ขอโทษนะ…แต่ข้าจำไม่ได้เลยว่าเป็นอะไรกับท่าน และเราทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรกันไว้”
“…อะไรนะ?”
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวในทันที