หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 7.4 แอสรัน (4)
หัวใจของฉันเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากใต้ซี่โครงบัดเดี๋ยวนั้น บางทีหากตอนนี้ฉันเปิดปากพูด อาจจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจแทนเสียงพูดก็ได้ ฉันเหลือบมองพลางพิจารณาราธบันและเลออนอย่างระมัดระวัง พวกเขาเงียบไปทันทีหลังจากเข้ามาในห้องแล้วเห็นฉัน
‘ถูกจับได้…อย่างนั้นหรือ?’
พอคิดได้แบบนั้นฉันก็ยกมือมาทางคอโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกเจ็บแสบแปลบๆ พลันแล่นผ่านทันทีที่กดลงไปตรงจุดหนึ่ง เป็นจุดที่แอสรันกัดไว้ก่อนที่ราธบันและเลออนจะเข้ามา ฉันกวาดสายตามองไปนอกหน้าต่างอย่างระมัดระวัง
แอสรันออกไปก่อนที่สองคนนี้จะเข้ามา ไม่สิ พูดให้ชัดคือฉันเป็นคนไล่ไป
ฉันลูบคลำบริเวณที่เขาขบกัดราวกับขุ่นเคืองพลางย้อนนึกถึงเรื่องเมื่อวาน
ท่าทีของแอสรันรุนแรงกว่าที่ฉันคิดเอาไว้หลังจากที่ฉันบอกเขาไปว่าจำไม่ได้ ตอนแรกเขามีสีหน้าคล้ายจะสื่อว่าอย่ามาโกหก แต่ความเยือกเย็นก็หายไปทันทีที่ฉันถามถึงข้อแลกเปลี่ยนที่ทำกับเขา เขาเดินไปเดินมาในห้อง และลูบใบหน้าตนเองอยู่อีกหลายครั้ง ก่อนที่จะยื่นมือไปกลางอากาศราวกับนึกอะไรออกขึ้นมากะทันหัน
ห้วงอากาศพลันบิดเบี้ยวพร้อมกับเกิดเสียงลม พลังเวทสีแดงกระเพื่อมอยู่รอบมือของเขา ก่อนจะเกิดช่องขนาดใหญ่ขึ้น อีกฟากหนึ่งของช่องนั้นปรากฏทิวทัศน์ที่แตกต่างออกไป
‘นี่คือเวทมนตร์…’
แหล่งกำเนิดพลังของเหล่าปีศาจใช้ได้หลากหลายกว่ามากเมื่อเทียบกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกจำกัดรูปแบบการใช้
ขณะที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ครั้งแรก ฉันได้สืบค้นเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์และได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพลังเวทด้วยเช่นกัน ในหนังสือเล่มนั้นเขียนไว้ว่าการใช้พลังเวทเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะเป็นการดึงพลังอันแกร่งกล้าจากโลกอื่นมาสู่ร่างกายของมนุษย์จึงทำให้ร่างกายของมนุษย์แปดเปื้อนและอ่อนแอลงหลังใช้งาน
ดังนั้นจึงว่ากันว่าหลังจากใช้พลังเวทแล้ว เหล่าจอมเวทจะอ่อนแอลงมาก และต้องดิ้นรนกันสุดชีวิตเพื่อฟื้นฟูพลังกายกลับคืนมาอีกครั้ง
‘และเพราะพวกเขาเชื่อว่า การดื่มเลือดของคนเป็นวิธีที่ช่วยให้ฟื้นฟูพลังกายได้ จึงยิ่งทำให้ถูกต่อต้านมากขึ้นไปอีก…’
ในหนังสือเขียนไว้ว่าวิธีนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรแก่เหล่าจอมเวทเลยแม้แต่น้อย ทว่าก็ยังมีจอมเวทอีกส่วนหนึ่งที่เชื่ออย่างนั้น ดังนั้นจึงมีเหล่าจอมเวทที่ใช้พลังเวทเกินขีดจำกัดของตนและร่างกายถูกทำลายโดยสมบูรณ์ลองใช้วิธีการอันเปล่าประโยชน์นั่น
นอกจากข้อเท็จจริงนั้น ในหนังสือยังมีเขียนไว้แบบคร่าวๆ ด้วยว่าเวทมนตร์ประเภทไหนใช้ได้ยากและต้องใช้พลังเวทจำนวนมาก
‘ซึ่งตรงนั้นเขียนถึงเวทมนตร์แบบที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้เอาไว้…’
ช่องที่เกิดขึ้นกลางอากาศเชื่อมต่อพื้นที่หนึ่งเข้ากับอีกพื้นที่หนึ่ง เวทมนตร์ที่ทะลุผ่านพื้นที่เช่นนั้น ถูกเขียนไว้ในหนังสือว่าเป็นเวทมนตร์ระดับสูงสุดในบรรดาเวทมนตร์หลายประเภท ดังนั้นในอดีต ยามก่อสงครามจะมีจอมเวทจำนวนมากที่ต้องสละชีวิตเพื่อสร้างเวทมนตร์แบบนั้นขึ้นหนึ่งบทเพื่อแทรกซึมเข้าไปในค่ายของศัตรู
ทว่าตอนนี้แอสรันกลับสร้างมันขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติคล้ายกับการหายใจ และไม่ใช่เพียงเท่านั้น พอสลายเวทมนตร์ไปหลังจากค้นเจออะไรบางอย่างในพื้นที่อีกฟาก สีหน้าของเขากลับไม่ปรากฏร่องรอยความเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด
เวทมนตร์ที่จอมเวทหลายสิบคนต้องรวบรวมพลังและสลบไปหลายวันหลังใช้งาน คนตรงหน้ากลับใช้มันได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างอิสระถึงเพียงนี้
‘ว่ากันว่าเวทมนตร์ทะลุผ่านพื้นที่บทหนึ่งยังยากกว่าเวทเวทมนตร์หลายสิบบทที่ใช้เผาเมือง…’
พอคิดได้ดังนั้นก็พลันขนลุกขึ้นมาทันที
ในหนังสือที่ฉันเคยอ่าน เนื้อหาเกี่ยวกับแอสรันไม่ได้ถูกบรรยายไว้อย่างละเอียด การใช้เวทมนตร์แบบนี้ก็ไม่ได้ถูกพูดถึง ดังนั้นฉันจึงเพียงคิดว่าเขาคงแข็งแกร่งเพราะเป็นหนึ่งในตัวเอก
‘จักรพรรดิของเหล่าจอมเวท…’
ฉันเคยคิดว่ามันเป็นเพียงตำแหน่งของคนที่แข็งแกร่ง แต่พอมาเห็นตอนนี้แล้ว นี่คือคำที่ใช้เรียกบุคคลที่โดดเด่นเหนือใคร หากแอสรันสามารถสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ แสดงว่าตัวเขาคนเดียวคงสามารถถล่มประเทศแห่งหนึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น
ระหว่างนั้นเอง เขายื่นของสิ่งหนึ่งที่นำมาจากอีกพื้นที่หนึ่งให้ฉัน
“นี่คือ…”
สิ่งที่เขายื่นให้ฉันคือม้วนจดหมาย ฉันรับรู้ได้ทันทีที่รับมา ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่อีเบลลีน่าเขียนขึ้น อีเบลลีน่าติดต่อกับเขาอยู่จริง หลังจากเริ่มอ่านจดหมายจากด้านบนสุด ฉันก็พบว่าอีเบลลีน่าได้เจรจากับแอสรันมาเป็นเวลานานกว่าที่คิด
…ท่านเองก็ทราบดีว่าการที่ข้าต้องตั้งท้องลูกของท่านเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ดังนั้นข้าจึงต้องมีเงื่อนไขที่มากพอกับสิ่งนั้น
มองดูจดหมายของอีเบลลีน่าแล้วก็พลันเกิดความรู้สึกแปลกๆ อย่าว่าแต่ของจำพวกไดอารี่เลย นอกเหนือจากการเซ็นชื่อในเอกสารทางการแล้ว อีเบลลีน่าก็ไม่เคยทิ้งร่องรอยอะไรไว้
‘สุขุมจัง’
จดหมายให้ความรู้สึกต่างจากที่ฉันคิดไว้มาก อีเบลลีน่าในความทรงจำเลือกทำแต่การกระทำที่ยากจะเข้าใจ ห้อมล้อมไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่บ้าคลั่งและไม่รู้ที่มาที่ไปอยู่เสมอ ดูได้จากเรื่องที่อีกฝ่ายทำกับฉัน
ดังนั้นฉันจึงคิดว่าจดหมายที่นางเขียนจะต้องอัดแน่นไปด้วยความไร้มารยาท โอหังและวิกลจริต ทว่าจดหมายที่ฉันกำลังอ่านอยู่ตอนนี้กลับสุขุมเป็นอย่างมาก ยิ่งอ่านไปเท่าไรก็ยิ่งสัมผัสได้รุนแรงมากขึ้นแม้จะไม่มีจดหมายตอบกลับที่แอสรันส่งมาด้วยจึงไม่ทราบแน่ชัดว่าเขาบอกอะไร แต่แค่ดูจากจดหมายของอีเบลลีน่า ฉันก็ยังรับรู้ได้ว่านางทำสัญญากับเขาโดยไม่ได้ถูกบีบบังคับหรือกดดันใดๆ
“ตอนนี้พอจะนึกออกบ้างหรือไม่?”
แอสรันเอ่ยถามอย่างกระวนกระวายใจทันทีที่ฉันอ่านจบ ฉันส่ายหน้า
“ไม่เลยค่ะ ยังคงจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”
แอสรันยื่นของที่ถืออยู่อีกมือแทนการตอบกลับ มันคือกระดานชนวนที่ดูเก่าแก่เป็นอย่างมาก หลังจากสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงยื่นของแบบนี้มาให้ ฉันก็มองเห็นอักษรที่เขียนว่า ‘อีเบลลีน่า’ อยู่ด้านล่างของกระดานชนวน และมันไม่ได้แค่เขียนไว้ธรรมดา
“นี่คือ…อะไรหรือคะ?”
อักษรที่ถูกเขียนอยู่บนกระดานชนวนกำลังส่องแสงเลือนราง อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงพลังงานอบอุ่นเมื่อยกมือขึ้นเหนืออักษรนั้น
“ตอนที่ตัดสินใจทำสัญญากับเจ้า ข้าได้ขอให้เจ้าเขียนชื่อลงบนกระดานชนวนนี้ไว้”
พูดจบ แอสรันก็ยกมือขึ้นเหนือชื่อของเขาที่เขียนไว้ข้างกัน
“ตราบใดที่ชื่อถูกเซ็นไว้ในสัญญาตรงนี้ อย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข”
ฉันพิจารณาดูกระดานชนวนอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นี่คือของที่ไม่ธรรมดาแม้จะมองดูด้วยตาที่ไม่รู้อะไรเลยของฉัน มันไม่ใช่ทั้งพลังศักดิ์และพลังเวท แต่มีพลังงานอื่นกำลังแผ่กระจายออกมา
ฉันรับรู้ได้โดยลางสังหรณ์ว่านี่คืออะไร มีบ้างครั้งคราวที่เนื้อหาในหนังสือกล่าวถึงของต่างๆ ที่แปลกประหลาดซึ่งรับเข้ามาจากโลกอื่น มันดำรงอยู่ในโลกใบนี้ด้วยชื่อ ‘อาร์ติแฟกต์’ ซึ่งปรากฏขึ้นเป็นสิ่งของที่อีริสได้รับในภายหลัง อาร์ติแฟกต์เหล่านั้นต่างครอบครองพลังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะต่างกันไป กระดานชนวนนี้คาดว่าคงเป็นหนึ่งในของพวกนั้น
แอสรันชี้ไปบนชื่อของฉันและเขา บนชื่อของพวกเรามีตัวหนังสือที่ไม่รู้จักถูกเขียนไว้อยู่ สิ่งที่ต่างกันมีเพียงพื้นที่ใต้ตัวหนังสือที่อยู่บนชื่อของฉันมีจุดสองจุดแต้มเอาไว้
“ข้าไม่รู้ว่ามันเขียนไว้ว่าอะไร”
ทันใดนั้น เขายักไหล่ครั้งหนึ่งแล้วกล่าว
“มันเขียนไว้ว่า ‘จะเป็นตัวเมียของข้าและให้กำเนิดทายาท’ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าจะอ่านไม่ออก เพราะนอกจากลายเซ็นแล้ว ตัวหนังสือจะปรับเปลี่ยนให้เป็นภาษาของที่ที่แผ่นหินถูกสร้างขึ้นตามใจ”
ฉันไม่มีความคิดที่จะถามว่าเขารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร
‘เขาไม่ใช่คน’
ฉันจ้องมองดวงตาสีแดงของแอสรัน เขาไม่ละสายตาไปจากฉันเลยแม้เพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นฉันจึงปะทะเข้ากับสายตาของเขา ดวงตาของเขายังคงวูบไหวด้วยไฟปรารถนา แม้ตอนนี้จะสนทนากันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่ามันก็พร้อมจะพุ่งเข้าใส่อีกครั้งเสมอ นั่นคือความใคร่ของสัตว์เดรัจฉาน
‘…ปีศาจ’
กล่าวกันว่าหากใช้เวทมนตร์ไปเรื่อยๆ จอมเวทจะถูกพลังเวทกลืนกินและกลายเป็นปีศาจ ฉันลูบคลำหน้าท้องของตัวเอง ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำกามอุ่นๆ ที่เขาหลั่งเข้ามาในส่วนล่างของฉันอย่างไม่หยุดยั้งจนถึงเช้ามืด การตั้งท้องทายาทต่างสายพันธุ์ ทั้งยังเป็นมนุษย์ที่ตั้งท้องลูกของปีศาจ ความจริงนั่นทำให้ฉันขนลุกซู่
ฉันมองไปที่กระดานชนวนอีกครั้งพลางเอ่ยถาม
“เช่นนั้นแล้วบนชื่อของข้าเขียนไว้ว่าอะไรหรือ?”
ถามออกไปแบบนั้นแล้ว ฉันก็ถอนหายใจ
“แต่ถึงถามไปก็คงไม่มีความหมาย เพราะไม่ว่าท่านจะพูดอะไร ข้าก็ไม่มีวิธียืนยันอยู่ดี”
แอสรันก้าวเข้ามาตรงหน้าฉันทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น ฉันไม่ได้รับโอกาสให้สะดุ้งและก้าวถอยหลัง เขายกแขนขึ้นมาวางบนหัวเข่าของฉันและวางศีรษะลง ดูคล้ายกับสัตว์เดรัจฉานตัวใหญ่กำลังออดอ้อน
“ดูเหมือนเรื่องนี้เจ้าก็จะลืมไปด้วย ข้าจะบอกให้”
เขาพูดระหว่างที่แทรกตัวเข้ามาระหว่างขาของฉัน
“เจ้าเป็นตัวเมียของข้าแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่อาจกล่าวคำปดใดแก่เจ้าได้”
ฉันตกอยู่ในความคิดไปชั่วครู่เมื่อได้ยินดังนั้น โกหกไม่ได้…อย่างนั้นหรือ
“…แต่ก็คงไม่ตอบได้กระมัง”
ฉันว่าพลางผลักศีรษะของแอสรันที่ฉวยโอกาสหลบเลี่ยงและพยายามจะฝังหน้าเข้ามาระหว่างขา ใบหน้าองเขาพลันปรากฏรอยยิ้มเมื่อได้ยิน เป็นสีหน้าที่กำลังสนุกสนาน ฉันถามออกไปอีกครั้งเมื่อได้เห็นสีหน้านั้น
“…มีวิธีที่ข้าสามารถทำลายสัญญานี้ได้หรือไม่?”
“…”
เขาไม่ตอบ นั่นหมายความว่ามันมีวิธี ไม่จำเป็นต้องถามว่าเขาบอกวิธีนั้นได้หรือไม่ เขาถึงกับเตรียมกระดานชนวนมาและสัญญาก็เสร็จสิ้นแล้ว เขาไม่มีความคิดที่จะถอยหลังแน่
สุดท้าย สิ่งที่ฉันตั้งใจจะถามมาตั้งแต่แรกก็หลุดออกจากปาก
“เช่นนั้นแล้วช่วยบอกหน่อยได้หรือไม่ ว่าข้าได้เสนอเงื่อนไขอะไรกับท่านไป”
“…เจ้าได้เสนอเงื่อนไขกับข้าสามอย่าง ข้าบอกไปแล้วว่าสามารถรับฟังได้มากกว่านี้ แต่เจ้าบอกว่าต้องการแค่สามอย่างนี้เท่านั้น”
คำตอบของเขาทำให้ฉันเกิดคำถามขึ้น อีเบลลีน่าคงไม่มีใจเห็นแก่ฝ่ายตรงข้ามแน่ นางจะต้องใช้สอยแอสรันมากเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตนต้องการที่สุด แต่ว่าแค่สามอย่าง? ราวกับถ้าเงื่อนไขสามอย่างนี้สำเร็จก็ไม่ต้องการอะไรแล้วอย่างนั้นหรือ?
ขณะที่ฉันกำลังสงสัย แอสรันก็ยื่นหน้าเข้ามาระหว่างขาอีกครั้ง คราวนี้ต่อให้ฉันผลักออกไปอย่างไร เขาก็ไม่ยอมถอย เขายกเสื้อของฉันขึ้น จากนั้นก็จุมพิตลงบนเรียวขาที่เปิดโล่ง หรือพูดให้ชัดเจนคือด้านบนรอยทรงกลมสามรอยที่อยู่บริเวณต้นขาด้านในของฉัน
“เจ้าขอให้ข้าทำให้รอยพวกนี้หายไปก่อนเป็นอย่างแรก”
“…!”
ได้ยินดังนั้นฉันก็มองดูรอยพวกนั้นทันที มันให้ความรู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น หลังจากนั้นฉันก็คิดว่ามันต้องมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เกิดรอยพวกนี้ขึ้น ทว่าก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่จะทำให้อีเบลลีน่าไหว้วานเขาเป็นเรื่องแรก
“นี่มันคืออะไรกันแน่ แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
แอสรันจ้องฉันเขม็งทันทีที่ถามออกไปแบบนั้น
“…อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมกระทั่งเรื่องนี้ด้วย?”
หลังจากพูดแบบนั้น เขาก็ลากริมฝีปากเข้าไปส่วนลึกของต้นขาอีกครั้ง ผิวหนังขาวนวลใต้ร่มผ้าที่อ่อนไหวสั่นระริกเพราะตื่นตกใจที่ถูกปลุกเร้า ริมฝีปากของเขาลากมาตั้งแต่ด้านในจนถึงต้นขา ก่อนจะหยุดลงเหนือรอยนั้นอีกครั้ง เขาออกแรงขบกัดลงไปตรงนั้นเล็กน้อย
ฉันจับศีรษะของเขาแล้วผลักออกไปด้วยความตกใจ แต่แอสรันกลับไม่ขยับเขยื้อนสักนิดประหนึ่งได้กลายเป็นก้อนหินไปแล้ว ชั่วครู่ฉันสัมผัสได้ถึงความร้อนราวกับตกอยู่ในเปลวเพลิงบนรอยนั่น ตอนที่ฉันพยายามจะหุบขาด้วยความตกใจกับความเจ็บปวดอย่างกะทันหันก็ได้เห็นพลังเวทที่แอสรันสร้างขึ้นกระเพื่อมอยู่บนนั้นก่อนจะหายไป
“ใครกำลังสูบพลังของเจ้าไปอยู่กันแน่?”
“…!”
ร่างกายพลันแข็งเกร็งเมื่อได้ยินดังนั้น ต่อให้แอสรันไม่อธิบายอย่างจริงจัง ฉันก็เข้าใจแล้วว่ารอยพวกนี้เป็นของประเภทไหน
‘เพราะแบบนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ถึงได้หายไปอย่างนั้นหรือ?’
ฉันเคยคาดเดาว่าบางทีรอยนี้อาจจะเป็นเพียงบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษามานาน ทว่ามันกลับกำลังดูดกินพลังศักดิ์สิทธิ์
“ข้าไม่รู้ว่าอะไรกำลังดูดกินพลังของเจ้าอยู่ แต่สิ่งที่ข้าส่งเข้าไปเมื่อครู่จะต้องเจ็บมากแน่ เพราะข้าจงใจเลือกส่งของที่โสมมที่สุดในบรรดาพลังเวทเลยยังไงล่ะ”
บนใบหน้าของแอสรันที่กล่าวออกมาเช่นนั้นพลันมีรอยยิ้มอำมหิต
“ใจจริงข้าอยากจะส่งอะไรที่ทำให้มันตายห่าไปเลยบัดเดี๋ยวนี้ แต่หากทำเช่นนั้นร่างกายของเจ้าก็คงจะทานทนไม่ได้ด้วยเช่นกัน…ข้าจะพยายามเพื่อลบมันออกไปให้เร็วที่สุด ต่อให้เจ้าเป็นนักบุญหญิง แต่หากมีเจ้าสิ่งนี้อยู่ไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์จะต้องหายไปแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นดูเหมือนการตั้งท้องลูกของข้าก็คงจะยากเกินไปด้วย”
ฉันกลืนน้ำลายเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา
พลังศักดิ์สิทธิ์หายไป
จู่ๆ เนื้อหาในหนังสือก็แวบเข้ามา อีเบลลีน่าค่อยๆ สูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไป
‘แต่ว่านั่นเป็นเพราะอีริส’
เพราะว่าอีริสผู้เป็นนักบุญหญิงตัวจริงปรากฏตัวขึ้น พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าจึงได้เคลื่อนย้ายไปหานาง
‘เรื่องพวกนี้…ไม่มีในหนังสือ’
หากเป็นตามที่แอสรันพูด สิ่งที่ทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าหายไป มิใช่เป็นเพราะอีริสแต่เป็นเพราะรอยพวกนี้ต่างหาก พอเขาบอกว่ามีใครบางคนกำลังรับพลังไปจากสิ่งนี้ ฉันก็เกิดความคิดว่าหรือบางทีอาจจะเป็นอีริส ทว่าในหนังสือที่บรรยายถึงอีริสก็ไม่มีเนื้อหาแบบนั้นที่ไหนเลย
‘มันเป็นไปได้ยังไง’
ภายในหัวยุ่งเหยิงเมื่อประสบกับสถานการณ์ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับความจริงที่รู้มา
“และเงื่อนไขข้อที่สองก็คือ…”
ก๊อก ก๊อก
ขณะที่แอสรันกำลังจะพูดต่อไปนั้น เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้น ไม่นานก็ได้ยินเสียงของนักบวชที่เฝ้าหน้าประตู
“ท่านนักบุญหญิง ท่านราธบันบอกว่าเขามาตามที่นัดไว้กับท่านนักบุญหญิงค่ะ”
ฉันลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งทันที เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นความมืดมิดปกคลุมอยู่ทั่วตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ราธบัน นัดหมาย กลางคืน
‘วันนี้นี่!’
วันที่ชีเดลทำร้ายฉัน ฉันเซ้าซี้ราธบันให้ช่วยสอนดาบและเขาก็ให้สัญญาว่าจะสอนให้ และวันที่เริ่มเรียนก็คือวันนี้!
‘เป็นเพราะแอสรันฉันถึงได้ลืมไปเลย’
เพราะเขากลืนกินฉันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ฉันเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้เองว่าผ่านไปหนึ่งวันแล้ว
“บอกให้เขารอก่อนสักครู่!”
ฉันตะโกนขึ้นมาอย่างเร่งรีบแล้วเดินไปข้างเตียงอย่างรวดเร็ว ฉันรู้สึกถึงความปวดหน่วงแสบๆ ตรงส่วนล่างในทุกครั้งที่ก้าวเดิน
‘เป็นแบบนี้แล้วจะเรียนได้ปกติไหมเนี่ย?’
เรื่องนั้นก็กังวล แต่ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่ด่วนยิ่งกว่า
‘กลิ่นของแอสรันมีอยู่ทั่วเกินไป’
ตอนลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็สัมผัสได้เช่นกัน กลิ่นของน้ำกามที่แอสรันละเลงไว้ราวกับโปรยหว่านบนร่างของฉันคละคลุ้งอยู่ภายในห้อง
หลังจากตั้งสติได้ ฉันก็รีบอาบน้ำ รวมถึงยังม้วนเครื่องนอนทั้งหมดและนำไปไว้ในห้องอื่นแต่กลิ่นของเขาก็ยังไม่จางหายไปง่ายๆ พอสอบถามเขาว่าใช้เวทมนตร์สลายกลิ่นไปได้หรือไม่ แอสรันกลับคำรามพร้อมกับถามกลับมาว่าทำไมต้องทำให้กลิ่นของเขาหายไปด้วย
‘ต้องรีบทำให้มันหายไป’
พอคิดได้แบบนั้น ฉันก็จุดไฟที่กระถางธูปข้างเตียงอย่างเร่งรีบ แล้วหยิบเครื่องหอมที่วางอยู่ข้างกระถางธูปขึ้นมาหนึ่งกำมือก่อนจะโปรยมันออกไป กลิ่นหอมที่ชวนรู้สึกดีกระจายไปทั่วห้องทันที จากนั้นก็รีบเปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้น อากาศเย็นสบายยามค่ำคืนพัดเข้ามาในห้อง ฉันร้องขอแอสรันที่เดินมาอยู่ข้างๆ
“เอาเป็นว่าตอนนี้เจ้าช่วยกลับไปก่อน”
มีอีกหลายเรื่องที่ฉันต้องคิดนอกจากราธบันที่รออยู่ด้านนอก ฉันจำเป็นต้องสืบค้นว่าเนื้อหาข้อแลกเปลี่ยนที่อีเบลลีน่าทำกับอีกฝ่ายคืออะไร และคนที่ปล้นเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าไปด้วยรอยที่ฝังอยู่ด้านในขาเป็นใคร
แต่ไม่ว่าฉันจะดันแอสรันไปทางหน้าต่างอย่างไร เขาก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนเลย
“ทำไมข้าต้องกลับไปด้วย ตอนนี้ข้าก็ได้โอบกอดเจ้าแล้ว ข้าจะแทงเข้าไปไม่ยอมหยุดจนกว่าลูกของข้าจะเข้าไปอยู่ในท้องเจ้า”
“…”
ฉันลืมคำที่จะพูดไปเสียสนิทเมื่อได้ยินระดับภาษาที่ต่ำจนน่าตกใจที่แอสรันเลือกใช้ ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นด้านนอก แม้ไม่เห็นแต่ฉันก็รู้ได้ว่านั่นคือเสียงฝีเท้าของราธบัน เหงื่อของฉันไหลริน ภายในปากพลันแห้งผากขึ้นมา
แอสรันเม้มปากแน่นอย่างดื้อรั้น เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากกับความจริงที่ว่าฉันให้ความสนใจคนอื่นและจะส่งเขากลับไป ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงมาจากด้านนอก
“ท่านนักบุญหญิง ราธบันเองขอรับ!”