หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 8.4 นอกวิหารหลวง (4)
“ข้ากินต่อไม่ไหวแล้ว…”
ฉันพูดอย่างขุ่นเคืองขณะมองดูของกินที่ไม่รู้จักในมือ มันเป็นของกินที่อร่อยมาก เนื้อหมูที่ถูกหั่นและนำมาเสียบในไม้ยาว จากนั้นก็โรยเครื่องเทศทุกชนิดก่อนจะนำไปย่าง ด้านนอกถูกย่างอย่างดีทำให้มีความกรอบที่พอเหมาะ เนื้อหมูนุ่มเหนียวหนึบที่ไม่อมน้ำมัน และเครื่องเทศที่โรยอย่างทั่วถึง ทำให้กินได้เรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกเลี่ยน
ปัญหาก็คือมันไม่ใช่อาหารที่ฉันเพิ่งกินเป็นอย่างแรกที่นี่
‘นี่ไม้ที่ห้า… ไม่สิ ไม้ที่หกแล้วหรือเปล่า?’
จุดเริ่มต้นของปัญหาคือลูกอม ระหว่างที่เดินอยู่ ฉันก็เห็นของที่เด็กๆ ติดไว้บนแผ่นไม้ใหญ่ที่แบ่งเป็นชั้นๆ เข้า ฉันมองดูด้วยความสงสัยก่อนจะพบมันว่าคือลูกอมหลากสี พอฉันจ้องมองสีสันสวยๆ ด้วยความหลงใหลอยู่สักพัก เลออนก็ซื้อของที่ฉันมองอยู่มาเมื่อไรไม่รู้ และยื่นมันมาตรงหน้าฉัน
พวกเรากัดลูกอมเข้าปากจนดังกรวบและก้าวเดินอีกครั้ง ก่อนจะเห็นรถเข็นขายผลไม้ เมื่อฉันมองผลไม้ที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกด้วยความตื่นเต้น เลออนก็ถือมันกลับมาจนเต็มมืออีกครั้ง ของที่เลออนซื้อกลับมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกครั้งที่ฝีเท้าของฉันหยุดลงแบบนั้น
และเพราะแบบนั้นจึงทำให้ของที่ฉันถืออยู่ในมือไม่ได้มีแค่อย่างสองอย่าง ในมือเต็มไปด้วยสิ่งของหลากหลายประเภท มีตั้งแต่สร้อยคอที่ร้อยขึ้นจากลูกปัดแก้วแวววาวเม็ดเล็ก กังหันลมที่เด็กๆ น่าจะพกติดตัว ไปจนถึงหมวกมีปีกซึ่งถูกเย็บปักอย่างประณีตมาก
“ของพวกนี้จะเป็นของที่ระลึกสำหรับวันนี้”
เขาพูดแบบนั้นและซื้อของที่สายตาของฉันหยุดมองอย่างไม่ลังเล
แม้จะซื้อสิ่งของมามากมาย แต่ก็ซื้อของกินมาไม่น้อยไปกว่ากัน ฉันกินของทุกอย่างที่เลออนซื้อมาเข้าไปจนหมดเพราะเสียดายหากจะเหลือทิ้งไว้ แม้มันจะรสชาติดีแต่ตอนนี้เหมือนท้องจะแตกแล้วจริงๆ
พอฉันมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยจากใจจริง เลออนก็มองมาราวกับประหลาดใจในตัวฉันผู้นั้น
“อิ่มแล้วหรือ? ท่านเพิ่งกินไปได้ไม่เท่าไรเองนะ…? นั่นสินะ ตอนงานเลี้ยงต้อนรับก็กินไปได้ไม่เยอะเช่นกัน”
นั่นเป็นเพราะฉันประหม่าที่ต้องพบเขาเลยทำให้กินไม่ค่อยได้ แต่ฉันคิดว่าไม่พูดอะไรจะดีกว่า
ระหว่างนั้น เลออนก็งับเนื้อหมูในไม้เสียบที่ถืออยู่ในมือคำโต หลังจากทำซ้ำๆ แบบนั้นอยู่หลายครั้ง เนื้อหมูที่เหลืออยู่ก็หายไปในพริบตา ความหิวโหยจนชวนให้อุทานทำให้ฉันพิจารณาเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอีกครั้ง
‘นั่นสินะ…เลออนเองก็ตัวใหญ่และสูงมาก’
พอฉันตั้งใจมองรูปลักษณ์ที่หรูหราและงดงามของเขา ก็เพิ่งพบความจริงที่ว่าเขามีรูปร่างสูงใหญ่มากในตอนนี้เอง ท่าทางของเลออนที่จ้องมองดูไม้เสียบที่ว่างเปล่าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียดายทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมา ฉันถามเขาออกไปโดยไม่รู้ตัว
“หากไม่ถือสา กินของข้าไหม?”
คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของเลออนเบิกกว้าง สีหน้าประหลาดใจราวกับเพิ่งได้ยินคำพูดที่ยากจะเชื่อทำให้ฉันกล่าวต่ออย่างรวดเร็ว
“มะ ไม่ใช่ ปากข้ายังแทบไม่ได้จะแตะเลย มันน่าเสียดาย…”
ขณะที่ฉันผู้เขินอายอย่างไม่มีเหตุผลกำลังจะเก็บมือที่ยื่นไปหาเขา เขาก็คว้ามือฉันอย่างฉับไว
“…!”
เลออนลากของที่ฉันถืออยู่ในมือไปใกล้ปาก แล้วกินมันจนเรียบโดยไม่รีรอแม้สักนิด เนื้อหมูหายไปในพริบตา เขาปล่อยมือฉันราวกับถามว่ามีอะไรหรือไม่ จากนั้นก็มองหาของกินชิ้นอื่นด้านข้างแล้วเอ่ยถาม
“ท่านจะกินอันนั้นด้วยหรือไม่?”
“มะ ไม่แล้ว ข้ากินอะไรไม่ไหวแล้วจริงๆ ค่ะ”
พอฉันตอบไปแบบนั้น เขาก็ตอบกลับมาคล้ายจะถามว่ามีปัญหาอะไร
“หากกินไม่ไหวแล้วเหลือ ข้าจะกินส่วนที่เหลือให้เอง เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องกังวล เราไปซื้ออันนั้นกันเถอะ”
หลังจากขยับฝีเท้า รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความซุกซนพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
***
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินวนภายในเมืองอยู่อีกสักพัก เลออนคอยอธิบายทุกเรื่องให้ฉันผู้เดินชมอย่างตื่นเต้นราวกับเป็นคนที่เกิดที่นี่ ระหว่างนั้นเอง ฉันกับเลออนจึงได้เรียกกันอย่างไม่ถือตัวมากขึ้น
“เลออน อันนั้นล่ะ?”
“นั่นคือหลังคาที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับน้ำฝน บ้านที่อยู่ไกลจากบ่อน้ำจนไม่ได้รับการจัดสรรน้ำประปา ส่วนใหญ่ก็มักจะสร้างหลังคาแบบนั้นขึ้น เอ้อ ลีน่า ส่งมันมาให้ข้า”
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ท่านก็ถือกระเป๋าของข้าให้หมดอยู่แล้ว…!”
บางทีอาจเป็นเพราะคำเรียกแบบนั้น บรรยากาศระหว่างฉันกับเลออนถึงได้ดูสนิทสนมกันมากกว่าตอนที่เรียกกันว่าองค์ชายรัชทายาท หรือไม่ก็นักบุญหญิงในวิหารหลวงอย่างน่าประหลาด
‘ทั้งที่เคยอึดอัดถึงขนาดนั้น…’
ขณะที่คิดจะพบเขาก่อนหน้านี้ฉันยังคิดว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันที่จะสบายใจกับเขาได้อยู่เลย ทว่ามันน่าประหลาดมากที่พวกเรากลับสนิทสนมกันมากขึ้นถึงขนาดนี้ทั้งที่ยังไม่ทันผ่านพ้นหนึ่งวันที่มาพบกันอย่างกะทันหัน ระหว่างที่กำลังเดินคุยกันอยู่แบบนั้น ฉันก็เห็นประตูใหญ่ของวิหารหลวง ภาพนั้นทำให้ฉันถอดถอนใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“อา…”
ตอนนี้หมดเวลาในการออกมาด้านนอกครั้งนี้แล้ว เลออนได้ยินเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเยื่อใยของฉันแล้วก็มีสีหน้าคล้ายว่าเขาเข้าใจความรู้สึก ก็แน่ล่ะ ดูจากของที่ฉันซื้อมาที่อยู่ในมือเขาแล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าฉันเดินเที่ยวด้านนอกอย่างสนุกสนานถึงขนาดไหน
เงยมองท้องฟ้าก็เห็นความมืดมิด ความมืดสนิทเช่นนี้ บางทีอีกไม่นานแสงยามย่ำรุ่งคงใกล้มาถึงแล้ว เมืองที่ครึกครื้นตลอดทั้งวัน ทั้งยังมีผู้คนมากมายที่ยังสัญจรไปมาแม้ในเวลาแบบนี้ทำให้ฉันไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยมาจนดึกแล้ว
เลออนมองท้องฟ้าตามสายตาฉันแล้วกล่าวขึ้น
“อีกไม่นานท้องฟ้ายามเช้ามืดก็คงสว่างขึ้นแล้ว”
เขากล่าวสรุปพร้อมกับยื่นสิ่งของของฉันที่ตนถืออยู่ให้ ขณะที่ฉันเดินเข้าไปใกล้เพื่อจะรับของพวกนั้น ใบหน้าของเขาก็โน้มลงมาบนหน้าผากของฉัน เสียงจุ๊บดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับความรู้สึกนุ่มนิ่มที่สัมผัสบนหน้าผากของฉันก่อนจะละออกไป
“…?”
เลออนฉีกยิ้มอย่างสดใสขณะมองฉันที่ยังงุนงงเพราะไม่รู้ว่าชั่วขณะนั้นเกิดอะไรขึ้น
“วันนี้ข้าสนุกมากจริงๆ ลีน่า”
“…”
“แม้วันนี้เราจะต้องแยกจากกันก่อนฟ้าสางแบบนี้…”
เขาพูดต่อด้วยสีหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย
“แต่สักวันหนึ่งข้าอยากจะใช้เวลาในตอนเช้าร่วมกับท่าน”
***
“เฮ้อ…”
เลออนคลายกระดุมเสื้อหลังจากมองภาพนักบุญหญิงเข้าไปในประตูใหญ่ราวกับหลบหนี ใบหน้าที่แดงระเรื่อยังคงร้อนผะผ่าวเพราะคำพูดที่ตนกล่าวออกไป แต่เขาไม่ได้เสียใจที่กล่าวคำพูดสุดท้ายแบบนั้นไปกับนักบุญหญิง เพราะนั่นเป็นความในใจที่เขาอยากบอกออกไปมานานแล้วจริงๆ
คิดอีกครั้งมันก็ดูเด็กน้อย อยากจะมองดูดวงอาทิตย์ยามเช้าไปด้วยกัน บางทีนักบุญหญิงเองก็คงรู้ว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะหากไม่ใช่แบบนั้น ดวงตาที่กลมโตคงไม่เปลี่ยนเป็นโตขึ้นกว่าเดิม นางรีบรับของจากเขา ก่อนจะหายเข้าไปในประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว ทว่าเลออนสามารถรู้ได้จากสีหน้าของนักบุญหญิงที่หมุนตัวกลับไป นางเพียงแค่เขินอาย แต่มิได้รู้สึกแย่
‘มีที่ไหนกัน’
หลังจากพบกันครั้งแรก นักบุญหญิงก็สร้างกำแพง ขีดเส้นแบ่งและปลีกตัวอยู่ห่างจากเขา พอได้ร่วมรักกันแล้ว เขาเคยเกิดความคาดหวังว่าบางทีนางอาจจะเรียกหาอีกครั้ง หรือไม่ก็อาจจะสนิทสนมกันมากขึ้นสักหน่อย แต่มันกลับไกลกันมากกว่าเดิม ทว่าเพียงไม่ถึงครึ่งวันนี้ นางกลับคลายความระแวดระวังที่มีต่อตัวเขาลง
‘…พยายามมากจริงๆ’
ภาพของดวงตาที่เป็นประกายอย่างตื่นเต้นขณะที่มองดูสิ่งของที่ขายข้างทางมันช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนเขาอยากจะดึงเข้ามาจุมพิตไม่รู้กี่ครั้ง แต่แบบนั้นนักบุญหญิงจะต้องหนีไปไกลจนเหมือนกับว่าเส้นทางที่เคยไม่แยแสจนถึงตอนนี้ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเป็นแน่
ภาพลักษณ์ของนางที่ได้เห็นวันนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวจนเลออนต้องสะบัดหน้าอย่างรุนแรง น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อของเขาอยู่เรื่อยยังหลงเหลืออยู่ในหูจนทำให้รู้สึกจั๊กจี้ เขามองดูประตูใหญ่ที่นักบุญหญิงหายเข้าไปแล้วพลางขยี้ผมอย่างแรง
แม้เขาจะอยากเข้าไปพร้อมกัน แต่เห็นได้ชัดว่านักบุญหญิงจะต้องเดินทางโดยใช้เส้นทางที่มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่รู้แน่ ความคิดที่ว่าหากตอนนี้เขาเดินตามหลังเข้าไปทันทีนางอาจจะระแวงว่าถูกสะกดรอยก็ได้ ทำให้เลออนเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูใหญ่หลายรอบจนสัมผัสได้ถึงสายตาระแวดระวังของอัศวินรักษาความปลอดภัย เขาจึงเดินออกมาจากประตูใหญ่
เลออนที่กลับมาเดินบนถนนคนเดียวอีกครั้ง พยายามเพื่อที่จะคิดเรื่องอื่น
“จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้น…”
สีหน้าของเลออนที่พึมพำแบบนั้นพลันบิดเบี้ยว เขาย้อนนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องออกจากวิหารหลวงไปอย่างเร่งรีบ
“…เห็นว่าชื่ออีริสอย่างนั้นหรือ?”
เป็นเพราะข่าวคราวที่ว่ามีหญิงสาวที่ถูกเรียกว่านักบุญหญิงปรากฏตัวขึ้นที่ปลายสุดของทวีป
ขณะที่ได้ยินข่าวนั้นครั้งแรก เขาคิดว่านั่นอาจจะเป็นคำพูดเหลวไหล ทว่าจดหมายที่ส่งมากลับเขียนเรื่องราวอย่างละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นไว้ ขณะที่อ่านจดหมายจนจบ ใบหน้าของเลออนก็ไม่หลงเหลือรอยยิ้มอีกต่อไป
เขาส่งจดหมายตอบกลับไปทันที แต่นั่นไม่ใช่ข้อมูลที่เขาจะนั่งรอเฉยๆ อยู่ในวิหารหลวงได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลามาเล่นสนุกรอคอยคำตอบของนักบุญหญิงและออกจากวิหารหลวงไปสักพัก และเป็นเรื่องแน่นอนที่เขาจะฝากฝังให้เหล่าผู้ช่วยตอบกลับจดหมายไปดีๆ หากได้รับการติดต่อจากนักบุญหญิงมา
เขานัดเจอกับผู้ส่งข่าวที่เมืองด้านนอกวิหารหลวง เพราะมันเป็นเนื้อหาที่อันตรายเกินกว่าจะพูดคุยในวิหารหลวงที่มีหูตาแอบฟังอยู่จำนวนมาก
“ดูเหมือนจะถูกปีศาจตัวเล็กตัวหนึ่งโจมตีเข้าพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าเหล่าอัศวินของพื้นที่นั้นจะพยายามขับไล่ออกไปแล้ว แต่เพราะมันเป็นปีศาจที่มีพิษ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าตอนนี้คงถึงจุดจบและนอนรอความตาย…”
“จากนั้นหญิงสาวที่ชื่ออีริสอะไรนั่นก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์รักษาให้พวกเขา”
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของเลออนพลันมืดครึ้มขณะฟังคำพูดของผู้ส่งข่าว หากกล่าวแค่ว่ารักษาบาดแผล เขาก็คงคิดว่าอาจจะเป็นแค่ใครบางคนที่มีพลังศักดิ์สิทธิใช้พลังนั่นรักษา แต่นี่ในเอกสารมีเขียนถึงจำนวนของผู้คนที่หญิงสาวนามว่าอีริสรักษา ความรุนแรงของบาดแผลของพวกเขา รวมถึงประเภทของปีศาจที่โจมตีผู้คนด้วย
ปีศาจเทรนเท่
มันเป็นปีศาจที่เลออนเคยพบครั้งหนึ่ง แม้มันจะตัวไม่สูงและพลังทำลายล้างอ่อนแอ แต่ทุกคนจะเฝ้าระวังเมื่อปีศาจตัวนั้นปรากฏตัวขึ้น เป็นเพราะเทรนเท่คือปีศาจที่มีพิษรุนแรงมาก มันจะพ่นหนามในปาก เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย และหากถูกหนามนั้นตำเข้า ผิวหนังของสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่จะเน่าเสียอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตาย
พิษนั่นไม่อาจใช้ยารักษาและมีเพียงพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่รักษาได้ อีกทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านักบวชระดับสูงทั่วไปเองก็ยังไม่สามารถขจัดพิษของเทรนเท่ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหากเทรนเท่ปรากฏตัวขึ้นที่เขตชายแดนล่ะก็ มันก็เร็วมากที่จะคิดว่าคงต้องตายไปเฉยๆ
“เห็นว่านางขจัดพิษของเทรนต์ได้…แถมยังหลายสิบคน…”
เสียงร้องคึก[1]หลุดออกมาจากปากเลออนโดยอัตโนมัติ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นักบวชระดับสูงจะทำได้ พลังศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้มีเพียงนักบุญหญิงเท่านั้นที่ครอบครอง
“แล้วสถานการณ์ฝั่งนั้นเป็นอย่างไร?”
“ได้ยินว่าพวกเขาพากันบอกว่า ‘นักบุญหญิงตัวจริง’ ปรากฏตัวขึ้นแล้วก็โกลาหลกันไม่ใช่เล่นเลยพ่ะย่ะค่ะ หญิงผู้นั้นพอได้ยินชาวบ้านเรียกตนว่านักบุญหญิงก็มึนงง ออกจากที่นั่นไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของเลออนมืดมนเมื่อได้ยินคำว่านักบุญหญิงตัวจริงที่ผู้ส่งข่าวเอ่ยขึ้น
พฤติกรรมของอีเบลลีน่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นที่ล่วงรู้อยู่ทั่วแผ่นดิน อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังมีข่าวลือย่ำแย่เรื่องใหม่จากเหตุการณ์ในพิธีสวดภาวนากำลังแพร่สะพัดด้วย
ผู้คนคาดหวังให้นักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์และสูงศักดิ์อยู่เสมอ แต่กลับมีนักบุญหญิงผู้เสื่อมทรามปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อันยาวนานของนักบุญหญิงกับวิหารหลวง มองจากมุมนี้แล้วการที่ชาวบ้านจะเรียกอีเบลลีน่าว่าเป็นนักบุญหญิงตัวปลอมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
‘แต่มันเป็นไปไม่ได้’
ถึงกระนั้นนักบุญหญิงก็มีได้เพียงคนเดียว การจะมีนักบุญหญิงสองคนนั้นเป็นไปไม่ได้ ตัวแทนของพระเจ้าผู้ซึ่งได้รับความรักจากพระองค์จะดำรงอยู่เพียงผู้เดียวจนกว่าจะถึงวันที่หมดสิ้นอายุขัย ทว่าในใจของเลออนที่ไม่ยอมรับความจริงที่ว่านักบุญหญิงตัวปลอมกลับมีเหตุผลอื่นอยู่
ในพิธีสวดภาวนา แม้อีเบลลีน่าจะถูกเย้ยหยัน ถากถางและได้รับอันตรายจากชาวบ้าน แต่นางก็ยังเดินเข้ามาประสาทพรให้เขา ท่าทางแบบนั้นมันยากที่จะคิดว่านางเพียงแค่ทำเพื่อให้คนอื่นเห็น ก่อนที่จะรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา ท่าทางที่อีเบลลีน่าแสดงให้เห็นเป็นท่าทางของนักบุญหญิงที่ปรารถนาจะให้คนที่เจ็บป่วยมีอาการดีขึ้นจากใจจริง
หลังจากจมอยู่กับความคิดอยู่สักพัก เลออนก็ออกคำสั่งแก่ผู้ส่งข่าว
“บอกให้พวกเขาสะกดรอยตามสตรีผู้นั้นไป หากพบตัวห้ามทำให้หลุดมือเด็ดขาด แล้วก็ไปสืบมาเสียว่ามีใครอยู่เบื้องหลังสตรีผู้นั้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ส่งข่าวก้มศีรษะลงลึกเมื่อได้ยินคำสั่งของเลออน
การนัดพบจบลงแบบนั้น ความคิดของเลออนยุ่งเหยิงขณะกำลังกลับเข้าไปในวิหารคนเดียว ภาพลักษณ์ของนักบุญหญิงที่เขาเห็นเมื่อได้มาที่วิหารหลวงยังเลือนรางอยู่ในหัวของเขา
‘นักบุญหญิงผู้เสื่อมทราม…’
เขาย้อนนึกถึงเครื่องบรรณาการที่แต่ละประเทศส่งมาให้ในตอนพิธีสวดภาวนา นักบุญหญิงใช้อำนาจของพระเจ้าเป็นเครื่องมือในการตอบสนองความโลภของตนเอง แต่ทั้งที่รู้ความจริงข้อนั้น เลออนก็ยังหงุดหงิดใจกับคำว่าเสื่อมทรามเป็นอย่างมาก ผู้คนติดใจกับความจริงที่ว่านักบุญหญิงพาชายหนุ่มมาทุกค่ำคืนยิ่งกว่าความจริงที่ว่านางกอบโกยของมีค่าเสียอีก ทั้งที่เรื่องนั้นมันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่ใครเลยด้วยซ้ำ
ขณะที่กำลังเดินและคิดเช่นนั้น เขาก็เห็นคนแปลกๆ เข้า
“…?”
คนผู้นั้นกำลังพิจารณาด้านในจากปากทางเข้าตรอกที่มีป้ายของร้านค้าที่ดูทรุดโทรมซึ่งเขียนว่าอาร์เบลติดอยู่ ดีนะที่ไม่มีใครอื่นอยู่แถวนี้ มิเช่นนั้นหากมีใครอยู่ เขาคงหยุดดูพลางคิดว่า ‘คนผู้นั้นเป็นอะไรกัน?’
‘เขาทำอะไร ทำไมถึงได้เดินไปเดินมาอยู่แบบนั้น?’
เขารู้ว่าสิ่งของจำนวนมากในตรอกนี้จะถูกจัดการสู่เส้นทางดำมืด เลออนมองดูคนผู้นั้นพลางคิดว่าเขามาขายอะไรกันแน่ คนผู้นั้นเดินเข้าไปในตรอก และขณะที่เขามองเข้าไปในกระจกของร้านค้าร้านหนึ่ง เลออนก็หลุดอุทานออกมา
“พระเจ้าช่วย”
ใบหน้าที่เผยออกมาเล็กน้อยใต้ฮู้ดเป็นใบหน้าที่เขาคิดถึงมาตลอดทางที่เดินมา
‘นักบุญหญิงมาทำอะไรที่นี่?’
เขาเข้าไปใกล้ตรอกและสังเกตการกระทำของนักบุญหญิง และเขาก็ได้รู้ในทันที ความจริงก่อนที่นักบุญหญิงจะถูกเจ้าของร้านหลอก
แม้จะไม่รู้ว่านางมาเพื่อซื้ออะไร แต่ก็ไม่ควรแสดงออกถึงขนาดนั้น หากทำท่าแบบนั้น ราคาก็สำคัญแต่หากเจ้าของร้านรู้ว่าของที่นักบุญหญิงเดินทางมาเพื่อซื้อมันมีมูลค่า เขาอาจจะไม่ยอมมอบมันให้ก็ได้ เห็นแบบนั้นแล้วเลออนก็ทนดูไม่ได้แล้วเข้าไปแทรกแซงเหตุการณ์นั้น แม้จะสงสัยว่านักบุญหญิงมาเพื่อซื้ออะไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว…
‘…อยากช่วยจังแฮะ’
นั่นเป็นความรู้สึกแปลกใหม่มากสำหรับเลออน
ฟากหนึ่งของท้องฟ้ากำลังทอแสงย่ำรุ่งโดยไม่รู้ตัว เลออนเพิ่งรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าในตอนนี้เองเมื่อเห็นแสงนั่น ทว่าเขากลับอารมณ์ดีเป็นอย่างมากต่างจากคราวอื่น หลังจากยื่นป้ายแสดงตัวตนที่เขียนตัวตนปลอมและเข้าไปในวิหารหลวง เขาก็เดินไปที่พักของตนพลางนึกถึงสิ่งที่เกี่ยวกับสตรีนามว่าอีริส
‘หากมีเรื่องอะไรขึ้นกับนักบุญหญิงเพราะสตรีนามว่าอีริสล่ะก็…’
แม้เป็นหญิงสาวที่เขาไม่เคยเห็น ไม่เคยพบ แต่เมื่อคิดว่านางเป็นอันตรายแก่ตำแหน่งของอีเบลลีน่า เขาก็รับรู้ได้ว่าความเป็นปฏิปักษ์ต่ออีริสกำลังก่อตัวขึ้นในตัวเขา
[1] คึก (끄응) เป็นเสียงที่แสดงถึงความเจ็บปวดเมื่อพบกับเหตุการณ์ที่ลำบากใจ เหน็ดเหนื่อย หรือเจ็บปวดเป็นอย่างมาก