หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนพิเศษ 13
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามสัปดาห์ก่อน เลโอน่าไม่ออกห่างจากที่นี่เลยตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เลออนก็เช่นกัน เขาให้หน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิตั้งค่ายไว้ใกล้ๆ แล้วออกคำสั่งกับพวกเขาว่าห้ามไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้เด็ดขาด
เขาโอบเลโอน่าเข้ามากอด ทุกครั้งที่ลูกกำลังอ่อนแอลง เขาก็จะกอดและให้กำลังใจเลโอน่าที่เหน็ดเหนื่อยอยู่ด้านข้าง แต่ระหว่างนั้นเองเลออนก็กังวลจนแทบคลั่ง เขาควรให้เลโอน่าล้มเลิกมันตอนนี้ดีหรือไม่ ผ่านไปสามสัปดาห์แล้วยังไม่กลับมาหมายความว่าไม่มีความหวังแล้วหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยเขาก็ควรจะรักษาเลโอน่าเอาไว้หรือเปล่า
ทว่า ต่อหน้าลูกที่ยังไม่ยอมแพ้ เขาก็ไม่อาจเอ่ยคำว่ายอมแพ้ออกมาก่อนได้
‘ถ้าหากว่าลีน่ากลับมาไม่ได้…’
เลออนมองการซ้อนทับ ถ้าอย่างนั้นเขาเองก็อยากจะกระโดดเข้าไปในนั้นเพื่อตามหานางเช่นกัน เขาอยากจะทำมันเดี๋ยวนี้ แต่ที่ทำไม่ได้ก็เพราะเลโอน่า
ตอนนั้นเอง จู่ๆ ทั่วทั้งถ้ำพลันสั่นสะเทือน แสงที่หมุนวนอยู่เบื้องล่างก็เริ่มสว่างจ้าราวกับเกิดระเบิดขึ้น
“เอ๋ เอ๋?”
ทั่วทั้งโลกสั่นสะเทือน ต้นกำเนิดของการสั่นสะเทือนคือที่นี่ไม่ผิดแน่ เลออนกอดเลโอน่าที่ซวนเซ แล้วล้มลงกับพื้น เหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนกำลังเกิดขึ้น เลโอน่าที่อยู่อ้อมแขนของเลออนมองลงไปเบื้องล่างแล้วกล่าวขึ้น
“กำลังมา….”
ท่านแม่กำลังมา มากับราธบัน และก็มีตัวตนยิ่งใหญ่อีกคนที่สัมผัสได้ด้านข้างพวกเขาด้วย
แสงสาดส่องไปทั่วโลก เลออนและเลโอน่ามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น มีเพียงแสงสว่างเจิดจ้าสะท้อนเต็มสายตาของทั้งสองคน และชั่วขณะที่แสงนั้นหายไป เลโอน่ากับเลออนก็เห็นคนสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ท่านแม่…”
เลโอน่าในอ้อมกอดของเลออนดิ้นพลางเอื้อมแขนออกไปหาลีน่า ลีน่ายืนอยู่ในถ้ำ ด้านข้างนั้นมีราธบัน ส่วนฝั่งตรงข้ามมี…แอสรัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เสียงหัวเราะดังออกมาจากปากของเลออน นับตั้งแต่การซ้อนทับนี้ถูกรายงาน เขาก็คิดแล้วว่าคราวนี้ลีน่าอาจจะตามหาแอสรันเจอแล้วจริงๆ
‘ให้ตาย’
ภรรยาของเขาทำให้คนที่กลายเป็นพระเจ้าไปแล้วปรากฏตัวขึ้นบนโลกนี้ พาพระเจ้าที่เตร็ดเตร่อยู่ในมิติกลับมาอยู่เคียงข้างตนได้ เลออนทำได้แค่หัวเราะออกมาเพราะ ‘อภินิหาร’ ของนางทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ทันใดนั้นแอสรันที่ยืนอยู่ข้างลีน่าก็เปิดปากพูด
“นี่เจ้า เป็นบ้าหรือไง”
เลออนยื่นมือออกไปเมื่อได้ยินเสียงน่าหมั่นไส้ที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว หลังจากหยิบขนมปังที่อัศวินวางทิ้งไว้ให้จากตะกร้า เลออนก็เขวี้ยงมันใส่หน้าของแอสรันด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี
พลั่ก!
ขนมปังกระแทกเข้ากับใบหน้าของแอสรันที่ยังไม่ได้ประสาทสัมผัสกลับมาทั้งหมดเนื่องจากผ่านช่วงเวลาและเกิดร่างขึ้นรวดเร็ว เลออนได้ล้างแค้นเรื่องในอดีตซึ่งเขาอยากทำมาตลอดสำเร็จแล้ว เขากล่าวกับแอสรัน
“กำลังรออยู่เลย ไอ้ลูกหมา”
เขากำลังรอการกลับมาของแอสรันจริงๆ เพราะเมื่อใดที่อีกฝ่ายกลับมา หนี้ทางใจที่ลีน่ามีก็จะได้หายไปเสียที บัดนี้นางก็ไม่ต้องร่อนเร่เพื่อตามหาแอสรันอีกต่อไปแล้ว
‘เลโอน่าเองก็อยู่ฝั่งข้า’
เพราะงั้นก็คุ้มที่จะสู้กันใหม่อีกสักครั้งต่อจากนี้
เสียงหัวเราะอย่างปลอดโปร่งของเลออนดังกังวาลไปทั่วถ้ำ
***
ปุ้ง! ปั้ง!
ดอกไม้ไฟจำนวนมากวาดลวดลายบนความมืดเหนือพระราชวังอาร์เดนเบล ผู้คนในเมืองต่างก็ยกแก้วเหล้าพลางตะโกนชื่อขององค์จักรพรรดิที่จัดงานเทศกาลขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยไม่ได้ประกาศออกไปว่าเพราะเหตุใด ล้วนแต่เป็นคำอวยพร เพราะทุกคนในดินแดนของจักรวรรดิจะสามารถดื่มและกินได้เท่าที่ต้องการตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์
ลีน่าเอนกายพิงเก้าอี้และมองท้องฟ้า เลโอน่าในอ้อมกอดของนางโบกมือขึ้นไปบนฟ้าด้วยใบหน้าสนุกสนาน
ปุ้งงง!
ทันใดนั้น ดอกไม้ไฟจำนวนมากกว่าเมื่อครู่ก่อนหลายเท่าก็ระเบิดขึ้นเหนือฟากฟ้า ดอกไม้ไฟทั้งหมดที่ทำให้ท้องฟ้าสว่างขึ้นเป็นสิ่งที่เลโอน่าใช้เวทมนตร์เสกขึ้นมา
“ท่านแม่ อันนั้นสวยใช่ไหมล่ะ!”
บริเวณที่เลโอน่าชี้นิ้วไปมีดอกไม้ไฟที่เปลี่ยนรูปร่างไปมา ทั้งที่เป็นกังวลว่าหากทำเช่นนี้แล้วจะมีใครสังเกตเห็นพลังเวทของเลโอน่าหรือไม่ แต่ลีน่าก็ปรบมือให้ เพราะสวยก็คือสวย เลโอน่ายืดหน้าเข้าไปใกล้ลีน่าเล็กน้อย หมายความว่าจุ๊บจุ๊บข้าเร็ว
พอลีน่าจูบเบาๆ เลโอน่าก็เกาะแขนนางและซุกใบหน้ากับหน้าอกด้วยสีหน้าสนุกสนาน ทันใดนั้น จู่ๆ ก็พลันมีแสงสว่างวาบจนแทบทำให้ตาบอดและได้ยินเสียงดังตูมตาม
ปุ้งงง! ปุ้งงง!
พอเงยหน้ามองฟ้าด้วยความตกใจก็พบว่าสะเก็ดไฟกำลังโปรยปรายลงมาราวกับน้ำตก ยิ่งไปกว่านั้น ประกายแสงยังเจิดจ้าจนทำให้ไม่อาจลืมตามองดูได้ นั่นทำให้ลีน่ามองไม่เห็นดอกไม้ไฟที่เลโอน่าเสกขึ้นเลยแม้แต่อันเดียว ลีน่าถอนหายใจพลางมองไปด้านข้าง เป็นอย่างที่คาด แอสรันกำลังยื่นหน้าเข้ามาราวกับขอให้จุ๊บจุ๊บเขาด้วย
เลโอน่าจ้องเขม็งไปที่แอสรันที่เสกดอกไม้ไฟออกมาได้ใหญ่กว่าตนมาก แล้วตะโกนออกมา
“ไป! ไปตรงนู้นเลย! ข้าเกลียดเจ้า!”
เลโอน่าถีบแอสรันอย่างแรง เป็นการถีบที่เต็มไปด้วยความจริงใจ แน่นอนว่าแอสรันไม่สนใจเลโอน่าที่ทำแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากเลโอน่ารู้ว่าลูกถีบของตนไม่เป็นอันตรายใดๆ แก่แอสรัน นางก็เปลี่ยนกลยุทธ์
เลโอน่าตัดสินใจเกาะติดลีน่าแทนโจมตีแอสรัน นางแทรกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของลีน่ามากขึ้น และจุ๊บจุ๊บที่แก้มของลีน่า ทันใดนั้นลีน่าก็ยิ้มแล้วดึงเลโอน่าเข้ามากอด ดวงตาของแอสรันที่เห็นภาพนั้นพลันหรี่ลง เลโอน่าชนะ
เลออนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแอสรันมองภาพนั้นแล้วเดาะลิ้นจิ๊จ๊ะ อันที่จริงเขาก็ไม่สบายใจเล็กน้อย เขากังวลว่าหลังจากแอสรันกลับมาแล้วเลโอน่าจะตามติดแอสรันไปตามสัญชาตญาณหรือเปล่า แต่พอเห็นภาพนี้ก็มั่นใจขึ้นมา พ่อของเลโอน่ามีแค่เขา เรื่องนั้นทำให้เลออนยักไหล่ เขาเบนสายตาไปหาราธบันที่นั่งอยู่ด้านข้างลีน่า
‘สามสิบปีอย่างนั้นหรือ’
หลังจากที่ทุกคนกลับมาและได้ฟังเรื่องราวของราธบันก็ไม่อาจเชื่อได้ง่ายๆ สามสิบปีเลยนะ สำหรับเขาและเลโอน่าเพิ่งผ่านไปสามสัปดาห์เท่านั้นเอง อันที่จริงแค่สามสัปดาห์นั้นก็ยาวนานอย่างสาหัสแล้ว ความกังวลกลัวว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ในช่วงที่เขาเผลอสติหลุดไปทำให้เลออนต้องอดทนเอาไว้จนแทบไม่ได้นอน ร่างกายเหน็ดเหนื่อยก็เรื่องหนึ่ง แต่ความเหนื่อยล้าทางด้านจิตใจกลับทำให้เขายิ่งเหนื่อยมากขึ้น
หากเกิดข้อผิดพลาด ลีน่าจะกลับมาไม่ได้
เพียงแค่คิดถึงความจริงข้อนั้นภายในปากก็พลันแห้งผาก หัวใจรู้สึกเหมือนถูกบีบ แล้วราธบันที่ต้องพบกับวันเวลาที่ไม่มีลีน่าเคียงข้างมากกว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เลออนยอมแพ้ที่จะคาดเดาความรู้สึกของราธบันที่ต้องท่องโลกและเดินทางตามหาลีน่าซ้ำไปซ้ำมาด้วยตัวคนเดียว
ตอนที่อีกฝ่ายคืนเปลือกหอยที่กำไว้ในมือให้เลโอน่าด้วยใบหน้าเหน็ดเหนื่อย เลือดและรอยแตกที่อยู่บนนั้นดูเหมือนจะช่วยบอกเล่าช่วงเวลาที่เขาต้องผ่านมาแทนเขาทั้งหมดแล้ว
ลีน่าที่กำลังมองเลโอน่ากับแอสรันถกเถียงกันนั้นรู้สึกได้ว่าดวงตากำลังค่อยๆ ปิดลง ทันใดนั้นราธบันที่อยู่ด้านข้างก็สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว และนำหมอนใบใหญ่ที่อยู่แถวนั้นเข้ามารองหลังนางให้
“ขอบคุณนะ”
พอลีน่าเอนกายพิงหมอนแล้ว ราธบันก็เอื้อมมือออกไปหาเลโอน่า หมายความว่าลีน่าเหนื่อยแล้ว ให้ลงมาเพื่อให้ลีน่าได้พักให้สบายขึ้นได้แล้ว หากเป็นปกติเลโอน่าจะต้องตีมือและบอกปฏิเสธ แต่เมื่อมองใบหน้าของลีน่าครั้งหนึ่งแล้ว นางก็ยอมจับมือของราธบันและลงมาอย่างว่าง่าย จากนั้นก็นั่งลงข้างเขา
“เซอร์ราธบัน เล่าเรื่องปีศาจที่เซอร์เจอมาให้ฟังหน่อยสิ”
หลังจากกลับมาที่นี่ ราธบันก็เล่าเรื่องต่างๆ ที่ตนเองเจอมาให้ฟังครู่หนึ่ง ดูเหมือนนางจะสนใจสิ่งที่เขาเคยพบเจอมาก
“เริ่มจากปีศาจที่เคยฟังค้างไว้เมื่อคราวที่แล้วดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้อ!”
พอเลโอน่าตั้งท่าเตรียมพร้อมฟังอย่างจริงจัง เลออนก็เดินเข้ามาใกล้แล้วอุ้มเลโอน่าขึ้นมานั่งบนตักของตนโดยไม่รู้ตัว แอสรันเองก็เท้าคางบนโต๊ะฟังเรื่องเล่าของราธบันเช่นกัน ลีน่ามองภาพนั้น แล้วค่อยๆ หลับตาไป
***
นี่คือความฝันหรือ สถานที่ที่ยืนอยู่คือห้องทำงานของอีเบลลีน่า มันเป็นทัศนียภาพที่ไม่มีในโลกนี้อีกต่อไปเพราะวิหารหลวงล่มสลายไปแล้ว
‘ฉัน’ หมุนตัวกลับ อีเบลลีน่ากำลังนั่งดูเอกสารอยู่หน้าโต๊ะทำงาน มันเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับวันเกิดปีที่ยี่สิบที่กำลังจะมาถึง แต่นางที่เหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่อื่นของนักบุญหญิงจึงอ่านมันด้วยใบหน้าที่ไร้ความเอาใจใส่ใดๆ หลังจากเซ็นชื่อก็วางลงด้านข้าง
ก๊อกก๊อก เสียงใครบางคนเคาะประตูดังขึ้น ได้ยินเสียงนั้นอีเบลลีน่าก็หันหน้าไป
“เข้ามาได้”
แกร๊ก เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับที่ฉันรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา คงไม่ใช่ว่าคาร์ลเข้ามาหรอกนะ? แต่คนที่ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นอาริค นักบวชวัยรุ่นที่ตัวสูงและพูดน้อยที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเข้ามา เขาหอบเอกสารไว้เต็มอ้อมแขนแล้วเดินเข้าไปที่โต๊ะทำงานของอีเบลลีน่า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจนถึงเมื่อครู่ก่อนของนางพลันมีรอยยิ้มสดใส
“ขอบคุณนะอาริค ต้องมาลำบากในเวลาดึกดื่นแบบนี้”
“ลำบากอะไรกันขอรับ เทียบกับท่านนักบุญหญิงแล้วข้าแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย”
หลังจากพูดตอบโต้กันเสร็จ ความเงียบก็คืบคลานเข้ามาในห้องทำงาน ทั้งสองคนขยับปากอ้ำๆ อึ้งๆ ราวกับอยากพูดอะไรบางอย่างแต่กลับไม่มีใครกล้าพูดออกมาก่อน แก้มที่เริ่มมีสีเลือดฝาดช่วยบอกให้รู้ว่าความรู้สึกที่ทั้งสองคนมีให้กันคืออะไร
ลำคอพลันตีบตันขึ้นมา ฉันรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ดี กล้าดีอย่างไรถึงได้เหยียบย่ำความรู้สึกของทั้งคู่
ตอนที่ความเงียบกำลังดำเนินต่อไป ตรงที่ไกลๆ พลันมีดอกไม้ไฟระเบิดขึ้น หมู่บ้านที่อยู่ด้านนอกวิหารหลวงกำลังเฉลิมฉลองวันเกิดของนักบุญหญิงที่กำลังจะมาถึงตั้งแต่ตอนนี้แล้ว
เสียงนั้นและแสงไฟทำให้อีเบลลีน่ามองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน
“อาริค ตรงนั้นดูน่าสนุกทีเดียวนะ ออกไปเที่ยวด้วยกันไหม”
ได้ยินดังนั้น ฉันก็ปิดปากและข่มกลั้นเสียง ทุกครั้งที่ดูความทรงจำของอีเบลลีน่า ฉันจะคิดอยู่เสมอ
ต้องทำอย่างไรเธอถึงจะมีความสุข ต้องทำอย่างไรเธอถึง…
อีเบลลีน่ามีความภาคภูมิใจในการเป็นนักบุญหญิง ดังนั้นในช่วงเวลาสุดท้ายจึงพยายามฆ่าความภาคภูมิใจนั้นด้วยมือตนเอง เรื่องทั้งหมดที่ตนเผชิญมา และความเจ็บปวดที่ใครบางคนตรงหน้านางอาจต้องเผชิญ นางพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ใครต่อจากนี้ต้องเผชิญมันอีกต่อไป
เรื่องทุกอย่างมีจุดจบตามที่อีเบลลีน่าต้องการ ทว่านั่นไม่ได้หมายถึงความสุขของอีเบลลีน่า
“…”
ขณะที่กำลังเกิดความสิ้นหวังเพราะโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ฉันก็สังเกตเห็นความผิดปกติ
เรื่องที่อีเบลลีน่าเสนอให้อาริคออกไปด้านนอกด้วยกัน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่คาร์ลเริ่มกลืนกินนางแล้ว ทว่าอีเบลลีน่าที่ฉันเห็นตอนนี้พบเจอกับอาริคและเอ่ยชวนเขาให้ออกไปด้านนอกด้วยกันก่อนที่มืออันโสมมของคาร์ลก็ยื่นมา
ความจริงที่แตกต่างจากที่ฉันจดจำได้ทำให้ฉันมองดูทั้งคู่ นี่น่าจะเป็นความฝัน ความฝันที่ฉันฝันขึ้นเพราะสงสารอีเบลลีน่า
ถ้าอย่างนั้น…ฉันก็อยากให้เรื่องทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉันต้องการในที่แห่งนี้
ดอกไม้ไฟระเบิดขึ้นนอกหน้าต่าง อีเบลลีน่ามองมันอย่างเหม่อลอย ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่นักบุญหญิงต้องแบกรับได้ฉุดรั้งนางเอาไว้ จนนางต้องมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่อาจออกไปดูดอกไม้ไฟที่ทุกคนออกไปดูได้เลยสักครั้ง
ตอนนั้นเอง อาริคก็เดินเข้าไปใกล้นาง จากนั้นยิ้มพลางกล่าว
“จะไปตอนนี้เลยไหมขอรับ? ข้าจะได้นำทาง”
“…!”
ดวงตาของอีเบลลีน่าเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำตอบของเขา นางคิดว่าเขาจะปฏิเสธด้วยคำพูดสุภาพเหมือนอย่างเคย นางคิดว่าเขาจะคิดว่าตนจะกล้าพานักบุญหญิงไปในที่ที่ไม่สูงส่งแบบนั้นได้อย่างไร นางคิดว่าเขาจะพูดติดตลกว่าตนจะกล้าอยู่กับคนที่ไม่อาจเอื้อมได้อย่างไรแล้วจากไป
“จะ จะไปด้วยกันจริงๆ หรือ?”
อาริคหน้าแดง
“…มีร้านอาหารที่ข้าไปอยู่บ่อยๆ ในสายตาท่านนักบุญหญิงมันอาจจะเป็นร้านที่ซอมซ่อแต่ว่าอร่…”
“ไป! ไปกันตอนนี้เลย! ข้าอยากไป!”
อีเบลลีน่าลุกขึ้นจากที่นั่งทันที
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน จะออกไปแบบนี้ไม่ได้ เสื้อผ้า…เสื้อที่ใช้ซ่อนตัวอยู่ไหนแล้วนะ? ถ้าออกไปเฉยๆ คาร์ลกับผู้อาวุโสต้องบ่นแน่ ต้องใช้ทางลับ อ๊ะ! อาริค ปิดหูนะ! นี่เป็นความลับของวิหารหลวง…ไม่สิ อย่างไรเจ้าก็จะออกไปด้วยกันอยู่แล้ว ถึงจะบอกว่าความลับไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ยิ่งไปกว่านั้นต้องเอาอะไรไปบ้าง? เงิน? ต้องเอาไปมากแค่ไหน”
นางที่รุ่มร้อนไปด้วยความตื่นเต้นละทิ้งความสุภาพตามปกติและพูดจ้อไม่หยุด เป็นท่าทางของคนวัยสิบเก้าปีที่คาดหวังกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้จนทำตัวไม่ถูก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทั้งสองคนก็เดินไปตามทางเดินที่เชื่อมจากห้องเก็บหนังสือ พวกเขาสวมฮู้ดอย่างแน่นหนาเพื่อปิดบังหน้า เดินมาสักพักก็มาถึงห้องที่อยู่สุดทางเดิน ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันสักพัก ทันใดนั้นต่างคนต่างก็ยื่นมือให้กันโดยที่ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน มือทั้งสองเกี่ยวกันอย่างแนบแน่น พวกเขาเปิดประตูและก้าวเข้าไปในแสงสีฟ้าคราม
ฉันมองภาพนั้น น้ำตาไม่หยุดไหล
ด้านในขาพลันรู้สึกร้อนขึ้นมา เป็นบริเวณที่มีรอยด่างพร้อยที่คาร์ลทำทิ้งไว้เมื่อนานมาแล้ว
แม้ว่าวิหารหลวงจะล่มสลายและเขาก็ได้รับความเจ็บปวดท่ามกลางเปลวเพลิงไปตลอดแล้ว แต่รอยด่างนี้ก็แค่จางลงเท่านั้น ไม่ได้ถูกลบออกไป ทั้งราธบันและเลออนต่างก็ไม่ชอบมันและปวดใจมาก คงเพราะมันทำให้ดูเหมือนว่าคาร์ลยังทิ้งร่องรอยของเขาเอาไว้
ฉันยกเสื้อขึ้นสำรวจขา
“อา….”
รอยที่ยังอยู่แม้จะพยายามกำจัดถึงเพียงนั้นได้หายไปหมดแล้ว ราวกับไม่เคยมีอะไรอยู่ตั้งแต่แรก ราวกับเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น
ฉันเงยหน้าขึ้นมองร่างของอีเบลลีน่ากับอาริคที่กำลังจะหายไปท่ามกลางแสงสว่าง
ฉันรู้
โลกที่ฉันฝัน โลกที่ฉันมองอยู่ตอนนี้ บัดนี้ทั้งสองคนจะไม่กลับมาที่แห่งนี้อีกต่อไปแล้ว ที่พักของนักบุญหญิงคงจะรอเจ้าของจนฝุ่นเกาะ ชื่อเสียงอันสูงส่งและอำนาจของวิหารหลวงก็จะค่อยๆ พินาศลง
แต่ว่า…อีเบลลีน่าจะมีความสุข
ฉันยืนร้องไห้อยู่ตรงที่ที่ทั้งสองคนจากไป เสียงของดอกไม้ไฟที่ดังขึ้นไกลๆ ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
และมีเสียงเอ่ยเรียกฉันดังขึ้นท่ามกลางเสียงนั้น
เป็นเสียงของราธบัน เลออน แอสรัน และเลโอน่า
ฉันเช็ดน้ำตาและมองฟ้า ดอกไม้ไฟขนาดใหญ่กระจายอย่างงดงามบนฟากฟ้ายามค่ำคืน ราวกับกำลังอวยพรให้กับจุดจบของใครบางคนและจุดเริ่มต้นของใครบางคน
ฉันลืมตา เสียงที่ร้องเรียกฉันดังขึ้น
บัดนี้ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปหาคนที่รอคอยฉันแล้ว
เพื่อให้ฉันมีความสุข ให้เท่ากับที่นางมีความสุข
เพื่อใช้ชีวิตร่วมกับทุกคน