หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนพิเศษ 4
พระราชวังอาร์เดนเบล
สถานที่ที่โดยปกติแล้วถูกเรียกว่าพระราชวังแห่งที่สองแห่งนี้ เป็นพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ
จนถึงเมื่อสิบปีก่อน ปกติแล้วเมื่อต้องอธิบายถึงจักรวรรดิจะต้องใช้คำว่าประเทศที่ครอบครองกว่าครึ่งของทวีป ทว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะบัดนี้มีจักรวรรดิเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ถูกเรียกว่าประเทศอยู่บนแผ่นดิน
“หลังจากนี้ข้าต้องรีบกำจัดสิ่งที่น่ารำคาญเสียแล้ว”
นั่นเป็นผลลัพธ์ที่เลออนผู้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่สร้างขึ้นหลังจากก่อสงครามล่าอาณานิคม จักรวรรดิจึงกว้างขวางขึ้น และจำเป็นต้องมีเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งเพื่อการปกครองที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นสถานที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของจักรวรรดิก็คือที่นี่ สถานที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรอาร์เดนเบลในอดีต
เลออนใช้ชีวิตครึ่งปีอยู่ในเมืองหลวง ส่วนอีกครึ่งปีที่เหลือจะอยู่ที่อาร์เดนเบลแห่งนี้ อาร์เดนเบลที่อยู่ไกลออกไปทางตอนใต้ของเมืองหลวงเดิม เป็นสถานที่ที่อบอุ่นมากแม้ในฤดูหนาวเนื่องจากลมร้อนที่พัดมาจากทะเลใน[1] ที่อยู่ลึกเข้าไปในจักรวรรดิ ด้วยเหตุนั้น เลออนจึงมักมาที่นี่ในฤดูหนาวเพื่อเคลียร์งานของจักรวรรดิ
เด็กสาวผู้หนึ่งกำลังเดินอยู่คนเดียวในสวนดอกไม้ของพระราชวังอาร์เบนเดลแห่งนั้น เส้นผมสีทองที่เหมือนกับแสงอาทิตย์กำลังส่ายไปมาจนเหมือนระลอกคลื่นยาวถึงช่วงเอว ดวงตาสีฟ้าที่สว่างยิ่งเสียกว่าทะเลในของอาร์เดนเบล และสีเลือดฟาดที่ปรากฏบนพวงแก้มกลมๆ ที่ยังมีเนื้อหนังนั้น น่ารักมากเสียจนทำให้ใครก็ตามอยากลองจับแก้มนั้นสักครั้ง
ทว่า ที่แห่งนี้ไม่มีใครที่บังอาจทำเช่นนั้นได้
เด็กสาววิ่งปราดในสวนดอกไม้เข้าไปใกล้ประตูทางเข้าวัง ทันใดนั้น ข้ารับใช้ที่รอคอยเด็กสาวอยู่ก็ค้อมศีรษะต่ำพลางกล่าว
“ฝ่าบาทรออยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ? รออยู่ที่ไหนล่ะ”
“อยู่ในห้องเกียรติยศ…”
ก่อนที่คำพูดของข้ารับใช้จะจบลง เด็กสาวก็รีบวิ่งเข้าไปด้านใน เสียงฝีเท้าคล่องแคล่วดังก้องกังวานไปทั่วโถงทางเดิน เหล่าข้ารับใช้ตั้งใจจะวิ่งตามหลังเด็กสาวไป แต่นั่นก็เป็นหลังจากที่เด็กสาวหายตัวไปแล้ว
***
“ฝ่าบาท อย่างไรการระดมกองกำลังทหารก็สมควรที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินดังนั้น เลออนก็นิ่วหน้าพลางใช้นิ้วมือนวดขมับ
“ข้าเคยบอกไปแล้วนะ ว่าไม่อยากเห็นเลือดในอาร์เดนเบล”
“แต่ยิ่งเวลาผ่านไป อำนาจของกลุ่มนั้นก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่นึกถึงกลุ่มคนที่ข้าหลวงเรียกว่า ‘กลุ่มนั้น’ ใบหน้าของเลออนก็พลันไม่สบอารมณ์
“น่าตลกเสียจริง พวกมันคิดถึงนักบุญหญิงจนวุ่นวายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“ฝ่าบาท กระหม่อม…”
“ข้ารู้ พวกเขากำลังใช้ข้ออ้างเรื่องนักบุญหญิงเพื่อรวบรวมกำลังคนและจะก่อกบฏไร้สาระ ไอ้พวกที่ต้องการทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ของทวีปเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันแสนยิ่งใหญ่ในการทำลายจักรวรรดิ พูดแล้วก็หงุดเสียจริง ถ้าเป็นห่วงนักบุญหญิงถึงเพียงนั้น วันที่วิหารหลวงล่มสลายก็ควรวิ่งมาเสียสละชีวิตสิ ไอ้พวกที่ขุดอุโมงค์แล้วคลานเข้าไปแอบตอนที่ปีศาจปรากฏตัวขึ้นจริงๆ จะมาห่วงนักบุญหญิงอะไรตอนนี้?”
เลออนกล่าวออกมาอย่างยาวโดยไม่หยุดพักหายใจ ก่อนจะถอนหายใจด้วยใบหน้าที่เกาะกุมไปด้วยความหงุดหงิด
หลายเดือนก่อน กลุ่มอำนาจกลุ่มหนึ่งเริ่มรวมตัวกันโดยใช้พื้นที่รอบอาร์เดนเบลเป็นศูนย์กลาง พวกเขาเรียกร้องการบูรณะวิหารหลวงขึ้นใหม่และการกลับไปของนักบุญหญิง ตอนแรกเลออนคิดเพียงแค่ว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มอำนาจที่มีอยู่ทั่วทวีป แต่ไม่รู้เพราะผู้นำของกลุ่มนี้เป็นพวกใช้สมองและลิ้นดีกว่าที่คิดหรืออย่างไร พวกเขาถึงได้สร้างรากฐานได้แข็งแกร่งและรวดเร็วยิ่งกว่ากลุ่มอำนาจใดที่เคยเห็นมา
หากคนพวกนั้นเรียกร้องแค่การบูรณะวิหารหลวงขึ้นใหม่ก็คงไม่อะไร แต่พวกเขากลับเริ่มเรียกร้องการกลับไปของนักบุญหญิง เรียกร้องการกลับไปของนักบุญหญิงอีเบลลีน่า ไม่ใช่นักบุญหญิงอีริส
อีริส นักบุญหญิงที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของวิหารหลวงยังเป็นข้อถกเถียงในหมู่ผู้คนว่านางเป็นนักบุญหญิงจริงหรือไม่ อภินิหารของนางมีเพียงเหตุการณ์ไม่กี่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชายแดน และพยานพบเห็นก็มีจำนวนไม่มากนัก อีกทั้งหลังจากมาวิหารหลวง คาร์ลซึ่งเป็นผู้อาวุโสในขณะนั้นยังขัดขวางการเข้าพบของผู้คนโดยอ้างว่าเป็นการปกป้องนักบุญหญิง ด้วยเหตุนั้น จำนวนของคนที่ได้พบนักบุญหญิงอีริสโดยตรงและเห็นอภินิหารของนางจึงน้อยมาก และคนเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตในวันที่วิหารหลวงถล่มแล้ว
เทียบกันแล้ว แม้นักบุญหญิงอีเบลลีน่าจะเหลวแหลกถึงเพียงนั้นและสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปในตอนสุดท้าย แต่ก็เป็นนักบุญหญิงที่ผ่านพิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมาวิหารหลวงตั้งแต่ยังเยาว์วัย และก่อนเป็นผู้ใหญ่ก็ช่วยเหลือผู้คนไปจำนวนมากและแสดงอภินิหารของพระเจ้าให้ทั้งโลกได้เห็น
เมื่อเวลาผ่านไปความทรงจำก็ย่อมเลือนราง หลังจากวิหารหลวงล่มสลายและนักบุญหญิงหายไป พื้นที่หลายแห่งในทวีปก็เริ่มมีปีศาจอาละวาดมากกว่าเมื่อก่อน ผู้คนจึงเริ่มคิดถึงอดีตที่แสนสงบสุข
นอกจากนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าอีริสหายไปอยู่ที่ไหนหลังจากวันสุดท้ายของวิหารหลวง แต่ตำแหน่งที่อยู่ของอีเบลลีน่ากลับแน่ชัดเพราะนางแต่งงานกับองค์จักรพรรดิ
‘เพราะงั้นถึงได้หันหัวม้าอย่างไรล่ะ’
เลออนเท้าคางพลางย้อนนึกถึงข่าวลือระหว่างเขากับลีน่า ข่าวลือที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือข่าวที่ว่าเขาบังคับฝืนใจนักบุญหญิงและฆ่านางเพื่อกุมอำนาจและทรัพย์สินของวิหารหลวง
‘ไม่สิ ข้าได้รับทรัพย์สมบัติและดินแดนของวิหารหลวงมาก็จริงอยู่…’
เป็นความจริงที่เขาออกหน้าดูแลทรัพย์สินของนักบุญหญิงแทนนางเพราะเขาแต่งงานกับนักบุญหญิงแล้ว เพราะฉะนั้น วิหารที่แอสรันไม่ได้ทำลายและสมบัติกับที่ดินที่เหลืออยู่ที่นั่นจึงกลายมาเป็นของจักรวรรดิทั้งหมด
‘แต่ไม่ได้ฆ่าเสียหน่อย’
จะฆ่าอะไรกันเล่า ทุกวันนี้เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอทั้งวันว่าจะมีการติดต่อมาจากนางหรือไม่
‘ว่าแต่ ไม่ได้ติดต่อมานานแล้วเหมือนกันนะ…คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง? แต่มีราธบันอยู่ก็คงไม่ต้องห่วงอะไร…’
ขณะที่เลออนไม่สนใจความวุ่นวายของข้าหลวงที่กำลังเอะอะเสียงดัง และจมอยู่กับความคิดเรื่องลีน่าอยู่นั้น ประตูก็เปิดออกพรวด
“ท่านพ่อ!”
“เลโอน่า!”
เลออนลุกขึ้นทันทีที่เห็นเด็กสาวที่เปิดประตู จากนั้นอุ้มเด็กสาวที่วิ่งเข้ามาหาแล้วหมุนเป็นวงกลม
“เดินเล่นที่สวนดอกไม้เสร็จแล้วหรือ เป็นอย่างไร”
“เหมือนเดิมทุกอย่างค่ะ! ดูเหมือนคนสวนจะดูแลดี”
“งั้นหรือ? เจ้าดีใจขนาดนี้สงสัยข้าต้องตบราง…พวกเจ้ายังมัวทำไรอยู่อีก รีบออกไปได้แล้ว”
เลออนที่นั่งชักสีหน้าไม่พอใจจนถึงเมื่อครู่ก่อนพลันมีรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าราวกับไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน เขาโบกมือให้เหล่าข้าหลวง เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างช่วยไม่ได้ หากเป็นเรื่องอื่นก็ไม่แน่ แต่พวกเขาเคยเห็นท่าทางไร้ความปรานีตอนที่มีคนมารบกวนในขณะที่องค์จักรพรรดิอยู่กับบุตรสาวมาก่อน
เมื่อข้าหลวงจากไป เลออนก็หอมแก้มของเลโอน่าในอ้อมกอดซ้ำๆ ดูกี่ทีก็เป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง
เลโอน่า องค์หญิงแห่งจักรวรรดิ บุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวขององค์จักรพรรดิ
ราวๆ หกปีก่อน ตอนที่องค์จักรพรรดิลงไปพระราชวังตากอากาศอยู่ขณะหนึ่งแล้วกลับมาพร้อมกับทารกผู้หญิงที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานและบอกว่าเป็นบุตรสาวของตนเอง ทั่วทั้งจักรวรรดิพลันโกลาหลขึ้นมา เพราะอย่างไรการแต่งงานขององค์จักรพรรดิก็ไม่ใช่เรื่องที่ได้รับการยืนยัน
มีเพียงหน่วยอัศวินที่ได้เห็นพิธีการแต่งงาน และนักบุญหญิงก็ไม่เคยเผยตัวออกมาเลยหลังจากวิหารหลวงย่อยยับด้วยเหตุผลว่ากำลังพักฟื้น แม้จะพูดให้ดีว่าพักฟื้น แต่ข่าวลือที่ว่านางถูกสังหารด้วยเงื้อมมือขององค์จักรพรรดิก็กระจายไปอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว แล้วบุตรสาวโผล่มาได้อย่างไร?
ต่อหน้าข้าหลวงที่พูดอะไรไม่ออก เลออนอุ้มลูกราวกับอุ้มของล้ำค่าที่สุดในโลกพลางกล่าว
“เหมือนข้าจริงๆ เลย อ้อ ชื่อเลโอน่านะ ไพเราะหรือไม่? ข้าตั้งชื่อนี้เพื่อให้รู้ว่านี่คือลูกของข้าล่ะ”
ไม่มีใครกล้าถามว่า ‘นี่คือลูกสาวของฝ่าบาทจริงหรือ?’ ต่อหน้าเลออนที่กล่าวเช่นนั้น ปีแรกทุกคนต่างก็กระซิบกระซาบกันเรื่ององค์หญิงเลโอน่า เป็นลูกสาวขององค์จักรพรรดิจริงหรือ? ไม่สิ นั่นน่าสงสัยก็จริง แต่นี่เป็นลูกสาวของนักบุญหญิงจริงหรือ? ทุกคนเก็บความสงสัยเช่นนั้นเอาไว้และรอคอยให้เด็กน้อยเติบโต
เลโอน่าโตเร็วต่างจากเด็กคนอื่น ด้วยเหตุนั้นทำให้หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ทุกคนในพระราชวังก็เห็นเลโอน่าที่ผูกเส้นผมสีทองด้วยริบบิ้นเดินเตาะแตะไปทั่วแล้ว ไม่มีใครมองเลออนที่อุ้มเลโอน่าเป็นอื่นได้นอกจากพ่อลูก เส้นผมสีทองสว่างและดวงตาสีฟ้า ตอนนั้นเองทุกคนถึงจำได้ว่านักบุญหญิงเองก็มีเส้นผมและดวงตาสีเดียวกัน
เลออนอุ้มเลโอน่าและมุ่งหน้าไปที่ระเบียง เลออนนั่งลงบนเก้าอี้นุ่ม แล้วจุมพิตศีรษะของเลโอน่าที่อยู่ในอ้อมกอด กลิ่นหอมละมุนละไมที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กน้อยช่วยผ่อนคลายจิตใจของเขา เลโอน่าหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นท่าทางของเลออน ก่อนจะเปิดปากพูดราวกับเพิ่งนึกได้
“แต่ว่าท่านพ่อ ข้าได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็เลยปีนขึ้นไปบนกำแพง เห็นคนมารวมตัวกันด้านนอกด้วยค่ะ”
“เอ่อ…”
เป็นกลุ่มอำนาจที่เหล่าข้าหลวงเล่าให้ฟังเมื่อครู่นี้
“ข้าลองฟังว่าพวกเขาพูดว่าอะไรกัน เขาบอกให้ส่งท่านแม่กลับมาล่ะ”
“…”
ใบหน้าของเลออนพลันเย็นชาเมื่อได้ยินคำพูดของเลโอน่า เลออนปล่อยพวกเขาไปเพราะไม่อยากเห็นเลือดในสถานที่ที่จะมาพักผ่อนกับเลโอน่า จริงอยู่ว่ายังมีอีกหลายสาเหตุ แต่นั่นก็เป็นเหตุผลหลัก
‘ฆ่าทิ้งแม่งให้หมดเลยดีไหม’
ตอนที่เลออนกำลังคิดเช่นนั้น เลโอน่าก็ยิ้มอย่างสดใสพลางกล่าวขึ้น
“ฆ่าทิ้งไปให้หมดเลยดีไหมคะ”
“…….”
“ท่านพ่อ?”
เลโอน่าเอ่ยเรียกเลออนพลางเอื้อมมือไปจับหน้าเขาราวกับถามว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เลออนมองหน้าเลโอน่าโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง
“เลโอน่า…”
เลโอน่าประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่สั่นเบาๆ ของเขา ข้าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ?
ทันใดนั้น เลออนก็ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับความน่ารักน่าเอ็นดูนี้ดี ก่อนจะดึงเลโอน่าเข้ามากอดอย่างฉับไว
“ทำไมลูกสาวของพ่อถึงรู้ใจพ่อดีอย่างนี้เนี่ย แต่เลโอน่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นหรอกนะ นั่นเป็นเรื่องที่พ่อต้องทำ”
“แต่ว่า…”
“เจ้ายังเด็ก เพราะงั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่นะ”
“งั้นถ้าข้าโตขึ้นแล้วก็ฆ่าได้ใช่ไหม?”
“ถ้าเจ้าพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนั้นก็ค่อยคิดแล้วกัน”
เลออนเอื้อมมือออกไปหยิบคุกกี้บนโต๊ะใส่มือของเลโอน่าขณะที่สนทนาในเรื่องที่จะทำให้ราชครูในวังโกรธจนควันออกหูและเป็นลมเมื่อได้ยิน เลโอน่ารับมันไว้ เอนกายพิงหน้าอกของเลออนและเริ่มกินด้วยสีหน้ามีความสุข
คุกกี้หายเข้าไปในปากเล็กๆ ทันที เลโอน่าเอื้อมมือไปบนโต๊ะและหยิบคุกกี้ชิ้นอื่นขึ้นมา คุกกี้ที่มีวอลนัทเม็ดใหญ่ฝังอยู่ถูกแบ่งเป็นสองชิ้นในมือของเลโอน่า
“อืม…”
เลโอน่ามองชิ้นส่วนคุกกี้ในมืออยู่พักหนึ่ง คุกกี้วอลนัทเป็นคุกกี้ที่เลโอน่าโปรดปรานที่สุด นางคิดว่าจะแบ่งครึ่งมันได้อย่างพอดีเพราะควบคุมกำลังอย่างดีแล้วเชียว แต่วอทนัทที่ฝังอยู่ตรงกลางกลับติดไปกับอีกชิ้นหนึ่งทั้งเม็ดอย่างน่าเสียดาย หลังจากกังวลอีกเล็กน้อย เลโอน่าก็ยื่นชิ้นใหญ่ที่มีวอทนัทฝังอยู่ให้เลออน
“อันนี้ของท่านพ่อ”
หลังจากป้อนคุกกี้เข้าปากเลออน ตอนนั้นเองเลโอน่าถึงได้กัดคุกกี้ชิ้นที่เล็กกว่าของตนเองเข้าปากด้วยใบหน้ามีความสุข เลโอน่ากินคุกกี้อยู่แบบนั้นสักพัก แล้วจู่ๆ ก็หันศีรษะกลับไปมองเลออน ก่อนจะถามออกมาด้วยใบหน้าตกใจ
“ท่านพ่อร้องไห้หรือ”
“…เปล่า ฝุ่นเข้าตาน่ะ”
แต่ทั้งที่พูดเช่นนั้น ขอบตาของเลออนก็ยังแดงก่ำด้วยความซาบซึ้งใจ ใจจริงเขาอยากจะออกไปด้านนอกตอนนี้ แล้วคว้าทุกคนในพระราชวังอาร์เดนเบลมาตะโกนใส่ว่า ‘ลูกสาวข้าแบ่งคุกกี้วอลนัทให้ข้า! เด็กคนที่ตื่นมากินวอทนัททั้งๆ ที่หลับอยู่คนนั้นน่ะ!’
เลออนดึงวอลนัทจากคุกกี้ที่งับไว้ในปาก แล้วส่งเข้าไปในปากของเลโอน่า
“พ่อไม่ชอบวอลนัท งั้นอันนี้เลโอน่ากินไปนะ”
ได้ยินดังนั้น เลโอน่าก็ยิ้มหน้าบานแล้วกินวอลนัทในปากตน ช่วงเวลาอันแสนสงบสุขของทั้งสองดำเนินผ่านไป หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เลโอน่าก็ปัดเศษคุกกี้ที่ติดอยู่กับนิ้ว แนบตัวกับหน้าอกของเลออน แล้วบ่นอุบอิบออกมา
“…คิดถึงท่านแม่จัง”
เลออนลูบผมเลโอน่า พอเห็นเลออนไม่พูดอะไร เลโอน่าก็เปิดปากขึ้นอีกครั้ง
“ท่านพ่อบอกให้ท่านแม่มาหาไม่ได้หรือ”
ได้ยินดังนั้น เลออนก็ยิ้มอย่างชอกช้ำพลางส่ายหน้า
“ไม่ได้”
เลโอน่าไหล่ตกเมื่อได้ยินเสียงเด็ดขาดซึ่งแตกต่างจากตอนที่ท่านพ่อเอ่ยห้ามเพราะยังเด็กเมื่อครู่ก่อนอย่างสิ้นเชิง
‘ท่านพ่อก็เป็นแบบนี้ตลอด’
ใจกว้างกับเรื่องอื่นอย่างหาที่สุดไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านแม่จะไม่มีทางปล่อยผ่านและไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด
เลโอน่ามองก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่บนฟ้า อาร์เดนเบลเป็นสถานที่ที่เลโอน่าชื่นชอบ เป็นที่ที่อากาศดีและมีดอกไม้ผลิบานมากกว่าเมื่อเทียบกับพระราชวังแห่งที่หนึ่ง บางทีท่านแม่ก็ยังมาเยี่ยมนางที่นี่ด้วย ดวงตาของเลโอน่าที่มองท้องฟ้าค่อยๆ ปิดลง
เลออนลูบผมของเลโอน่าที่นอนหลับไปแล้ว น้ำเสียงที่ถามว่าบอกให้ท่านแม่มาหาไม่ได้หรือเมื่อครู่ก่อนยังดังวนเวียนอยู่ในหู
‘คราวนี้ก็เห็นว่าเก็บเสื้อผ้าของตัวเองจากพระราชวังแห่งที่หนึ่งมาหมดเลย…’
เมื่อวันที่จะได้ไปอาร์เดนเบลใกล้เข้ามา เลโอน่าก็จะทำอะไรไม่ถูกไปทั้งวัน ทุกๆ วันนางจะเอ่ยถามข้ารับใช้วันละหลายครั้งว่าเตรียมของรักของหวงและของที่เขาชอบไปหรือยัง ตอนกลางคืนก็เอ่ยถามเขาว่าต้องนอนอีกกี่คืนถึงจะได้ไปอาร์เดนเบล คำถามนั้นเหมือนกับถามว่าต้องนอนอีกกี่คืนถึงจะได้เจอท่านแม่ไม่มีผิด
เลออนอุ้มเลโอน่าที่นอนหลับขึ้น แม้จะรู้สึกเห็นใจกับการเว้าวอนของลูก แต่กระนั้นเขาก็ไม่มีความคิดที่จะเรียกให้ลีน่ากลับมาที่นี่ เลออนมองแหวนที่ตนสวมอยู่ หากมองเฉยๆ มันเป็นแค่แหวนที่มีอัญมณีสีแดงเม็ดเล็กฝังอยู่ หรือจะมองเป็นแหวนแต่งงานก็ได้
อันที่จริงมันก็คือแหวนแต่งงาน เพราะมันเป็นแหวนที่ทั้งเขาและลีน่าสวมไว้นี่นะ ทว่าเจ้าสิ่งนี้เป็นอาร์ติแฟกต์ที่สามารถใช้ติดต่อได้แม้อยู่ห่างไกลอย่างในพระราชวัง
‘ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เรียกตอนที่เกิดเหตุด่วนขึ้นเท่านั้น’
เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจเรียกหาด้วยเหตุผลนี้ได้ หากนางไม่มาหาตอนที่เกิดเรื่องจำเป็นจริงๆ จะทำอย่างไร
เลออนกอดเลโอน่า ตอนนี้เลโอน่าอายุหกขวบตามอายุขัยของมนุษย์ แต่หากมองภายนอกแล้วดูเกินกว่าแปดขวบไปแล้ว
‘อย่างไรก็ยังมีข้อแตกต่างอยู่บ้าง’
เด็กน้อยที่เกิดจากมนุษย์และปีศาจ แม้จะบอกว่าแอสรันได้ทำให้ไม่เกิดออกมาเป็นปีศาจแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเหมือนมนุษย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ การที่เลโอน่าใช้เวทมนตร์ได้ก็คือหลักฐาน ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือคาถาที่ยุ่งวุ่นวายแบบจอมเวทคนอื่น
สำหรับเลโอน่า เวทมนตร์เป็นเรื่องที่ง่ายรองจากการหายใจ หลังจากรู้เรื่องนั้น เลออนก็กลับไปหาอาร์ติแฟกต์ที่ช่วยผนึกเวทมนตร์มาสวมไว้ที่คอของเลโอน่าทันที โชคดีที่เพราะยังเด็ก เวทมนตร์ของเลโอน่าจึงยังผนึกไว้ได้
‘โตขึ้นแล้วจะทำอย่างไรดี…’
ตอนนั้นอาร์ติแฟกต์คงผนึกไม่ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องผนึกด้วย
นี่คือเด็กที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดินีนาถของจักรวรรดิแห่งนี้ในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นก็คงเป็นหลังจากที่เขาจัดการคนที่กล้าพูดตามใจว่าต้นกำเนิดของเลโอน่าไม่ชัดเจนจนสิ้นซากแล้ว เลออนมองใบหน้าของลูกที่นอนหลับ เลโอน่าเป็นเด็กน่ารักที่เหมือนลีน่าอย่างกับแกะจริงๆ
เลออนหันหน้ามองกระจก
“โชคดีที่เหมือน…”
ผมสีทองและดวงตาสีฟ้าที่เหมือนลีน่า ชั่วขณะที่เห็นเลโอน่าครั้งแรก เลออนพลันเกิดความรู้สึกขอบใจสีผมและสีตาของตนเองเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา แต่ถึงสีจะต่างกันก็ไม่ได้หมายความว่าเลโอน่าจะไม่ใช่ลูกสาวของเขา ลีน่าเป็นภรรยาของเขา ดังนั้นลูกสาวของนางก็เป็นลูกสาวของเขาเช่นกัน
เลออนวางเลโอน่าลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นถือเอกสารที่จำเป็นต้องอ่านและนอนลงด้านข้าง
‘ถ้าผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็คงดี’
ทว่าหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ความหวังของเลออนก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
[1] ทะเลใน ทะเลประเภทที่อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลเข้ามาภายในพื้นแผ่นดิน แทบจะไม่มีพื้นที่ติดต่อกับทะเลหรือมหาสมุทรภายนอก