หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนพิเศษ 9
พอเสียงฝีเท้าของอัศวินไกลออกไปจนไม่ได้ยินแล้ว ลีน่าก็มองเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง ระหว่างนั้นเอง อีกด้านหนึ่งของแสงก็ฉายภาพสถานที่แปลกตาอีกครั้ง
‘ที่บอกว่าอันตรายคือเรื่องนี้หรือเปล่านะ’
นางออกเดินทางท่องเที่ยวไปมากมายหลายที่ด้วยความหวังว่าอาจจะได้พบกับแอสรันมาตลอด นางเคยพบเจอการซ้อนทับที่คล้ายกับสิ่งนี้อยู่หลายหน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
“เฮ้อ…”
ลีน่ารู้สึกหมดแรง อุตส่าห์คิดว่าในที่สุดก็จะได้รักษาสัญญาแล้ว แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรและควรทำอย่างไร
‘จะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์มั่วซั่วก็ไม่ได้’
พลังศักดิ์สิทธิ์เป็นพลังที่ทำให้โลกใบนี้มีเสถียรภาพ ดังนั้นหากใช้อย่างไม่ถูกต้อง สิ่งที่เป็นหลักฐานของความไร้เสถียรภาพนี้อาจจะหายไปก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจดูอยู่เฉยๆ ได้ ลีน่าครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไรดีพลางมองไปอีกด้านหนึ่งของแสง
“เอ่อ…”
ภาพทิวทัศน์อีกด้านของแสงเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็น ท่ามกลางทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไป นางเห็นแอสรันนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยร่างเดิมของเขา ตอนนั้นเอง เราก็สบตากัน
“…!”
ทันใดนั้น จู่ๆ ลำแสงก็พุ่งพรวดขึ้นมาราวกับระเบิด ขณะเดียวกับที่ในถ้ำเต็มไปด้วยแสงเจิดจ้าจนแทบจะทำให้ตาบอด นี่เป็นสิ่งที่เคยเห็นมาก่อน พระเจ้าบรรพกาลที่เคยถูกขังอยู่ในกระดานชนวนเองก็มีรูปร่างเช่นนี้ ลำแสงห่อหุ้มลีน่ากับราธบันอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเอง
“คึก!”
ลำแสงพันรอบคอราธบันและเริ่มรัดแน่น เขารีบชักดาบที่เอวออกมารวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์แล้วฟันลำแสงทิ้ง ลำแสงถูกตัดและร่วงลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงเพราะท่วงท่าของราธบัน ลีน่าคิดว่าขวางเอาไว้ได้แล้ว ทว่าราวกับรอช่วงเวลาที่ราธบันจะปล่อยมือเพื่อเปลี่ยนท่าจับดาบ ลำแสงที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจากด้านหลังก็เข้าห่อหุ้มลีน่าที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างรวดเร็ว
“กรี๊ด!”
“ลีน่า!”
ความรู้สึกที่เหมือนถูกกระชากอย่างกะทันหันทำให้ลีน่ารวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์และเขวี้ยงใส่สำแสงด้วยความตกใจ ทันใดนั้นมันก็เริ่มดิ้นอย่างรุนแรงราวกับเจ็บปวด แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยลีน่าไป
“บ้าเอ๊ย!”
ราธบันฟาดฟันลำแสงที่ขวางทางตน ทว่าเมื่อเขาฟันลงไปหนึ่งอัน พวกมันก็จะเพิ่มจำนวนเป็นสองอันมาโจมตีเขา ระหว่างนั้นเอง ลีน่าก็กำลังถูกลากให้เข้าไปใกล้การซ้อนทับ ลีน่าหันหน้ากลับ แอสรันยังคงมองนางอยู่จากอีกด้านหนึ่งของแสง
‘เขารวมร่างกับพระเจ้าบรรพกาลแล้ว’
งั้นแสดงว่าลำแสงตอนนี้คงเป็นแอสรัน ลำแสงไม่ได้ทำอันตรายใดๆ กับลีน่าแต่แค่ดึงลากไปเท่านั้น ทว่าอันที่พุ่งเข้าใส่ราธบันกลับโจมตีอย่างเหี้ยมโหด เมื่อเห็นภาพนั้นลีน่าก็ได้รับการยืนยัน
‘…เป็นแอสรันแน่ๆ’
ถึงจะเกลียดเลออนเช่นกัน แต่แอสรันหวาดระแวงราธบันมากกว่า บางทีอาจเพราะเขาเป็นคนที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับตนได้
ระหว่างที่นางกำลังคิด ร่างกายก็ยิ่งเข้าไปใกล้แสงมากขึ้น
‘คิดจะพาฉันไปเหรอ’
เห็นได้ชัดว่าอีกด้านหนึ่งอันตราย ไม่รู้ว่าจะสามารถข้ามไปยังอีกพื้นที่หนึ่งที่เกิดจากการชนกันของโลกด้วยร่างกายของมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ลีน่าย้อนนึกถึงกระเป๋าใบเมื่อครู่ ถ้าหากกลายเป็นเช่นนั้น…ลีน่าส่ายหน้า สภาพของกระเป๋าที่ข้ามไปก่อนที่แสงจะหมุนวนไม่มีปัญหาใดๆ งั้นแสดงว่านางก็คงปลอดภัยเหมือนกัน ลีน่าพิจารณามองแสง มันกำลังจะเริ่มหมุนวนอีกครั้งแล้ว ลำแสงนี้ไม่ตั้งใจจะปล่อยนางแน่ๆ
ลีน่าเงยหน้าขึ้นและสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ หากทำพลาด ตอนนี้คงจะกลายเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตแล้ว ทว่าจะลังเลต่อไปไม่ได้แล้ว ตึก! ลีน่ากระแทกพื้นแล้วออกตัววิ่ง
“ลีน่า!”
เสียงของราธบันดังขึ้นด้านหลัง แต่นางหยุดไม่ได้ แสงกำลังเริ่มหมุนและเลือนรางลงแล้ว ลีน่ากระโดดจากขอบถ้ำแนวตั้งและส่งตัวเข้าไปอีกด้านของแสง เสียงของราธบันที่เรียกนางกำลังห่างไกลออกไป สิ่งที่โอบล้อมนางหลังจากนั้นก็คือความมืดมิดอันน่ากลัว
“อึก…!”
ความรู้สึกตกจากที่สูงจนเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาทำให้ลีน่าไม่อาจตั้งสติ และสิ่งที่ทำให้สติของนางยิ่งแตกกระเจิงคือแสงที่กะพริบอย่างบ้าคลั่ง เดี๋ยวสว่างขึ้นเดี๋ยวมืดลง เบื้องหน้าระยิบระยับด้วยความเร็วระดับน่ากลัว เมื่อการกะพริบซ้ำๆ นับพันนับหมื่นครั้งสิ้นสุดลง จู่ๆ ท้องฟ้าสีฟ้าก็ปรากฏขึ้น ขณะที่เห็นท้องฟ้านั่นลีน่าก็รับรู้ได้ทันที
กำลังตกลงไป!
ลีน่าหันหน้ากลับไปมองจุดที่กำลังจะตกลงไป สิ่งแรกที่เข้าสู่สายตาคือท้องทะเลสีฟ้าที่เป็นคลื่นอยู่ด้านล่างตรงนั้น รวมถึงเกาะขนาดใหญ่ด้วย
ตกลงไปแบบนี้ก็มีแต่ตายเท่านั้น ถึงจะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนแต่ก็ควรจะได้ลองใช้ชีวิตดูก่อนไม่ใช่เหรอท่ามกลางลมที่กระแทกร่างกายอย่างบ้าคลั่ง ลีน่าคว้าสติเอาไว้แล้วรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ แสงสีฟ้าครามห่อหุ้มตัวนางอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกับที่พื้นดินใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัว ชั่วขณะที่แสงสีฟ้าครามหนาทึบห่อหุ้มนางทั้งตัวอย่างสมบูรณ์ เสียงไม้หักก็ดังกระแทกเข้ามาในหู
พลุก พลัก เป๊าะ แปะ
เสียงไม้งอ หักและกระแทกดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างกายกระดอนขึ้นไปอย่างไร้สติ การมองเห็นเริ่มกลับด้านเพราะร่างกายกระเด้งไปมาและกลิ้งไปทั่วป่าราวกับลูกบอลยาง
ทั้งที่รู้ว่าจะไม่บาดเจ็บแต่ลีน่าก็ยังหลับตาและคู้ตัวลง ผ่านไปครู่ใหญ่การสั่นสะเทือนถึงหยุด แต่ในป่ากลับเต็มไปด้วยเสียงร้องของสัตว์ป่าและฝูงนกที่หนีไปเพราะตกใจนาง
“อือออ…”
ลีน่ากะพริบตาอย่างลำบาก นางคลำตัวเพื่อหาว่ามีตรงไหนที่บาดเจ็บหรือผิดปกติไปหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดเป็นพิเศษ ลีน่าเอื้อมมือไปหยิบกิ่งไม้ที่หักขึ้นมา โชคดีที่เป็นเพียงกิ่งไม้ธรรมดา
“เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…”
เป็นใบไม้แบบเดียวกับที่นางเคยเห็นตอนที่ท่องเที่ยวทางใต้ ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์ป่าที่วิ่งอยู่รอบข้างล้วนแต่เป็นสัตว์ที่นางรู้จักทั้งหมด
“อย่างน้อยก็ดูเหมือนที่นี่จะเป็นโลกที่ฉันอยู่”
ลีน่าถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาโดยอัตโนมัติ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในบรรดาการซ้อนทับทั้งหมดคือการเคลื่อนย้ายพื้นที่ อย่างเช่น การตกลงไปในการซ้อนทับที่อยู่ปลายสุดของทางเหนือ และโผล่ออกมาทางตอนใต้ บางทีนี่คงเป็นปรากฏการณ์ที่เหมือนกัน
‘ถ้างั้นลองหาหมู่บ้านแล้วติดต่อพระราชวังไปดีไหมนะ’
ขณะที่ลีน่าคิดว่าตอนนี้ราธบันคงไม่มีสติกับเนื้อกับตัวและหันศีรษะกลับไป ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง
“เอ๋…?”
นางมองเห็นของที่ตนรู้จักดีมาก
“หอคอยจอมเวท…?”
เป็นสถานที่ที่แอสรันเคยพานางมาในอดีต พอลองคิดดูแล้ว ตอนที่ตกลงมานางก็ตกลงบนเกาะกลางทะเลกว้าง งั้นแสดงว่าที่นี่ก็น่าจะเป็นเกาะของจอมเวท…
“…ทำไมหอคอยมีแค่ครึ่งเดียวเองล่ะ?”
ลีน่าเอนหลังพิงต้นไม้และมองหอคอยจอมเวท ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว
‘เกิดอะไรขึ้นนะ’
นางนึกสงสัยว่าหรือหอคอยถล่มแบบนั้นแต่แรกแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าตอนที่แอสรันออกไปเพื่อทำลายวิหารหลวง เขาไม่ได้ทุบหอคอยจอมเวทไปด้วย งั้นแสดงว่าหลังจากนั้นมีจอมเวทที่ฉวยโอกาสตอนวุ่นวายโจมตีเพื่อหวังจะครอบครองที่นั่น
แต่เมื่อเข้าไปใกล้อีกหน่อยและได้เห็นหอคอย ลีน่าก็ได้รู้ว่าความคิดนั้นผิด หอคอยจอมเวทไม่ได้พังทลาย
“…มันกำลังสร้างอยู่”
ถ้ามันเคยถูกทำลายมาก่อนก็ย่อมเหลือร่องรอยบ้าง แต่หอคอยจอมเวทที่เห็นตรงหน้าตอนนี้ แม้มองผ่านๆ ก็ยังเห็นว่าอยู่ในช่วงกำลังก่อสร้าง ลีน่านึกถึงบันทึกที่เคยอ่านเกี่ยวกับเกาะและหอคอยจอมเวทเพื่อสืบค้นเรื่องแอสรันตอนอยู่ในวิหารหลวง
“มันถูกสร้างเสร็จมาตั้งแต่พันห้าร้อยปีก่อนแล้วนี่นา…”
ฉับพลัน ลีน่าก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนตกลงมาที่นี่ แสงที่กะพริบอย่างบ้าคลั่ง ใครจะไปนึกว่าตอนนั้นคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างข้ามมิติมา
“หรือว่า…”
ถ้าหากว่านั่นคือท้องฟ้าของกลางวันและกลางคืนล่ะ? ถ้าการกะพริบหนึ่งครั้งหมายถึงหนึ่งวัน?
“ตายแล้ว…”
ลีน่าอุดปากโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่ถูกรายงานไม่บ่อยเท่าการเคลื่อนย้ายพื้นที่จากสถานที่ที่เกิดการซ้อนทับก็คือปรากฏการณ์ผิดปกติของเวลา การที่เดินอยู่ดีๆ ก็หมุนเข้าไปในการซ้อนทับที่เกิดขึ้น พอตั้งสติได้ก็พบว่าผ่านไปหลายสิบปีแล้ว กระเป๋าที่นางเขวี้ยงเข้าไปก็คงเป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับปรากฏการณ์นั้น
‘นี่ฉันย้อนเวลากลับมาหรอ’
ตอนนั้นเองจู่ๆ รอบด้านก็มืดลง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก็พบว่ามีร่างขนาดใหญ่กำลังผ่านไป
“แอ…”
ลีน่าอุดปากที่กำลังจะตะโกนออกไป แอสรันอยู่บนฟ้า แม้จะใหญ่กว่าร่างอื่นๆ ของโลกอื่นมากแต่ก็มีขนาดเล็กกว่าที่เคยเห็นตอนทำลายวิหารหลวงขณะนั้น ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ผู้คนที่อยู่บนหอคอยก็กรีดร้องอะไรบางอย่างแล้วหายตัวไปอย่างรีบเร่ง
ทว่าแอสรันกลับบินขึ้นไปสูงกว่าเดิมโดยไม่สนใจคนพวกนั้นเลย ไม่นาน ฟากหนึ่งของท้องฟ้าพลันเกิดกลุ่มแสงขนาดใหญ่ ทันใดนั้นจู่ๆ แอสรันก็เร่งความเร็วและกระแทกร่างของตนเองกับกลุ่มแสงนั้น
ตูมมม!
เสียงดังสนั่นจนหูอื้อดังก้อง ลีน่าอุดหูและคว่ำหน้าลงบนพื้น อาจเพราะเสียงดังมาก พื้นจึงสั่นสะเทือนจนใบไม้ร่วงลงมา เสียงไม่ได้จบแค่ครั้งเดียว ตูม! ตูมมม! เสียงโจมตีที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ลีน่าเงยหน้ามองฟ้าอีกครั้ง
“แอสรัน…”
ปีศาจสีแดงกำลังใช้เท้าฉีกบาดแผลของมิติที่เกิดจากการกระแทก เป็นการกระทำอย่างเอาเป็นเอาตาย สิ่งที่เปล่งแสงคล้ายกับท้องฟ้าฉีกขาดเป็นบาดแผลของแสงที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าจากกระทำของแอสรันกำลังใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นแอสรันก็พยายามยัดร่างกายของตนเข้าไปในนั้น
ทว่า ความเร็วที่แสงนั้นจางหายกลับไวกว่า สุดท้ายแม้ว่าแอสรันจะพยายามอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่แสงสว่างก็หายไปเหลือเพียงท้องฟ้าสีครามราวกับถามว่าเคยมีอะไรเกิดขึ้นตอนไหน โลกพบกันความมั่นคงอีกครั้ง
กร๊าซซซ!
ทันใดนั้นแอสรันก็กรีดร้องคร่ำครวญ เสียงที่ดังกว่าเสียงกระแทกเมื่อครู่ก่อนทำให้รู้สึกเหมือนร่างจะฉีกขาด เลือดทะลักออกมาจากร่างของแอสรันที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าราวกับน้ำตก เขาคงได้รับบาดเจ็บตอนที่พยายามจะฉีกท้องฟ้าเมื่อครู่ก่อนเป็นแน่ เขามองท้องฟ้าอีกหลายครั้งคล้ายกับไม่อาจตัดใจ แล้วขยับตัว
“ตกลง… เหรอ?”
ตอนแรกนางคิดว่าแอสรันจะเคลื่อนที่ไปที่อื่น แต่ร่างของแอสรันกลับค่อยๆ ตกลงเบื้องล่าง ทันใดนั้นประกายแสงสีแดงก็สว่างวาบออกมาจากหอคอยจอมเวท ก่อนที่ลูกไฟขนาดใหญ่จะลอยเข้ามาหาแอสรัน ขณะที่เห็นภาพนั้น ลีน่าก็ตระหนักได้ว่าที่นี่คือที่ไหน
ตามบันทึกเขียนไว้ว่าเกาะของจอมเวทเป็นโลกที่ไร้กฎหมาย ที่นี่เป็นดินแดนที่ยึดพลังอันแข็งแกร่งเป็นพื้นฐานและเป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้คนที่ไม่ลังเลจะทำทุกอย่างเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น คนที่กำลังสร้างหอคอยอยู่ก็เป็นจอมเวทเช่นกัน สำหรับพวกเขาปีศาจที่เป็นเหมือนก้อนพลังเวทอันแกร่งกล้าก็ไม่ต่างไปจากอาหารชั้นดี ทันทีที่ลูกไฟเข้ามาใกล้และกระแทกกับแอสรันที่กำลังร่วงลงสู่พื้น เขาก็บิดตัวอย่างเจ็บปวด
เมื่อเห็นภาพนั้น ลีน่าก็ลุกขึ้นทันที
‘ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…’
ตึง! ไกลออกไปตรงนั้น แอสรันกระแทกกับพื้นจนเกิดพายุฝุ่นขนาดใหญ่ ลีน่ายกแขนขึ้นบังตาขณะที่วิ่งไปยังจุดที่เขาตกลงมา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรตอนนี้ก็ต้องไปหาแอสรัน
***
หลังจากวิ่งมาสักพักจนภายในปากรู้สึกถึงความเหนื่อย ลีน่าถึงเข้าใกล้แอสรันได้ ปีศาจที่ล้มอยู่บนพื้นส่งเสียงคำรามและหายใจถี่กระชั้น เมื่อเห็นภาพนั้น ลีน่าก็นึกถึงบทสนทนาที่เคยคุยกับแอสรันในอดีต
“ทำไมถึงอยากมีลูกล่ะ”
“ข้าคนเดียวไม่อาจฉีกมิติให้พอจะข้ามกลับไปได้ ดังนั้นข้าจึงต้องการปีศาจที่จะสืบทอดพลังจากข้า และมีพลังเทียบเท่ากับข้า”
เขาอยากกลับไปยังโลกที่เคยอยู่มาตลอด ตอนที่นางได้ฟังคำพูดนั้นในตอนนั้นยังคิดว่าเท่านั้นเอง
‘…เขาดิ้นรนมากกว่าที่ฉันเคยคิดไว้เสียอีก’
หัวใจพลันปวดร้าว หลังจากรอคอยอยู่ในโลกนี้มาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็มีลูกที่จะมาช่วยให้กลับไปยังโลกเดิมได้แล้ว แต่เขากลับฆ่าความหวังนั้นด้วยมือตัวเอง ทั้งที่เป็นเรื่องที่ต้องการถึงเพียงนั้น
ลีน่าเดินเข้าไปใกล้แอสรันอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นอาจเพราะรู้สึกได้ว่ามีใครเข้ามา ดวงตาของแอสรันที่ปิดอยู่ก็เบิกโพลง นัยน์ตาสีแดงเลือดขนาดใหญ่จ้องลีน่า
“…”
เหงื่อเย็นไหลออกมา ดวงตาของแอสรันวาววับไปด้วยความป่าเถื่อน การที่เขายังไม่อ้าปากเดี๋ยวนี้เป็นเพราะมันเป็นเรื่องง่ายที่จะจับนางฆ่า เหมือนกับมนุษย์ที่ไม่สนใจมดที่เดินผ่าน ท่ามกลางสายตาที่ประสานกันอยู่สักพัก ลีน่าก็ตระหนักได้
‘…เขาไม่รู้จักฉัน’
แน่ละ ถ้ารู้จักแอสรันคงไม่มานอนอยู่อย่างนี้ ตอนนั้นเองแอสรันก็ลุกขึ้น จุดที่เขานอนมีเลือดขังเหมือนกับแอ่งน้ำ แต่เขาไม่สนใจมันและเดินเข้ามาหาลีน่า ร่างกายแข็งเกร็งโดยอัตโนมัติ แอสรันที่ไม่รู้จักนางก็เป็นแค่ปีศาจที่ดุร้าย ตอนที่กำลังกังวลว่าหากเป็นเช่นนี้จะต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ขู่เขาหรือไม่นั่นเอง
ฟุดฟิด
แอสรันเอาจมูกเข้ามาใกล้และดมกลิ่นของลีน่า
“…?”
แอสรันดมกลิ่นอีกหลายครั้งก่อนจะเอียงหัวไปมา ไม่นาน เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาในหัวของลีน่า
‘ทำไมกลิ่นของข้า อยู่กับเจ้า’
“…!”
ลีน่าผงะเมื่อได้ยินดังนั้น
‘บนตัวของฉันยังมีกลิ่นของแอสรันอยู่อีกเหรอ?’
ครั้งสุดท้ายที่อยู่กับเขาก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว แต่ดูเหมือนแอสรันจะยังตามหาร่องรอยของตนเองเจอ ขณะที่ลีน่ากำลังกังวลว่าจะตอบอย่างไรดี ก็พลันมีเสียงของผู้คนดังขึ้นจากที่ไกลๆ
‘พวกจอมเวท!’
ดูเหมือนจะเล็งแอสรันที่อ่อนแอไว้และกำลังวิ่งเข้ามา ลีน่าก็หมุนตัวกลับไปทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้น แอสรันที่อยู่ในสภาพแบบนี้คง…
ตูมตูมมตูมมม!
ประกายแสงสีแดงขยายออกไปรอบข้างในพริบตา สายฟ้าและลูกไฟปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ก่อนจะพุ่งลงมาเบื้องล่าง ชั่วขณะที่ต้นไม้โดยรอบถูกสายฟ้าฟาด เศษซากที่แตกกระจายก็ระเบิดออกราวกับเกิดระเบิด ความร้อนอันน่ากลัวปกคลุมด้านบนนั้น เหล่าจอมเวทที่มุ่งหน้ามาหาเขากลายเป็นเถ้าถ่านโดยไม่แม้แต่จะได้กรีดร้อง
“…ไม่มีทางถูกโจมตีอยู่แล้ว”
เป็นเพราะภาพที่เขาบาดเจ็บและร่างกายที่เล็กกว่าที่นางจดจำได้ ลีน่าจึงคิดไปว่าเขาอ่อนแอโดยไม่รู้ตัว ลีน่าหัวเราะหยันให้กับการเข้าใจผิดครั้งใหญ่ของตนเอง
‘ตอบมา’
พอเห็นลีน่าอยู่นิ่ง แอสรันก็เร่งรัดคำตอบ ลีน่าไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบอย่างไร ให้บอกว่าอันที่จริงท่านกับข้าจะได้พบกันในอนาคต แถมยังมีลูกด้วยกันด้วยนะ? หรือท่านกลายเป็นครึ่งเทพเพราะช่วยชีวิตข้าเอาไว้?
พอรู้ว่านี่เป็นคำพูดที่แม้แต่ตนเองยังคิดว่าไม่น่าเชื่อถือ ลีน่าก็กลุ้มใจ
‘เร็ว!’
แอสรันเร่งเร้าอย่างทนไม่ไหว เป็นเพราะแอสรันไม่เคยตะโกนใส่นางมาก่อนเลยสักครั้ง ลีน่าจึงพูดกับเขาไปด้วยความตกใจ
“เจ็บหูนะแอสรัน!”
ทันใดนั้นดวงตาของแอสรันก็ปรากฏความประหลาดใจ
‘รู้ชื่อข้าได้อย่างไร’
“…”
‘ไม่มีใครรู้’
“…”