หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน - ตอนที่ 10
<…อุ อุ่ก…>
“กฎข้อที่หนึ่ง ตอนอยู่ในร่างนกก็ให้แกล้งทำเป็นนก ข้อสอง ถึงอยู่ในร่างนกก็ห้ามเปลี่ยนเป็นนกตัวอื่นนอกจากตัวนี้ ข้อสาม ห้ามทึ้งเสื้อผ้าฉัน”
<ไม่ใช่…ไม่ใช่กฎแต่เป็นรายการ อุ่ก รายการคำขอของเจ้านี่!>
เจ้านกคงเวียนหัวจึงส่งเสียงราวกับคลื่นไส้พลางตะโกนออกมา อาเซียยักไหล่
“ถ้าเธอมีเรื่องที่ต้องการก็บอกมา”
<ข้อหนึ่ง ห้ามจับตัวข้า…อุ่ก…เหวี่ยงไปมาเด็ดขาด>
“เรื่องนั้นขอดูก่อน”
<ข้อสอง ทำขนมทุกวันซะ! ทำทุกวันแล้วก็ให้ทุกคนกิน!>
“ทุกวันไม่ได้หรอก”
<ข้อสาม… เดี๋ยว เจ้าติดอะไร>
“ข้อสามคือขอให้พูดว่า ‘เธอติดอะไร’ งั้นเหรอ แล้วเธอติดอะไรล่ะ”
<ไม่…ไม่ใช่! ไม่ใช่แบบนั้น!>
พีบีตะโกนแว้ดพร้อมกับกระพือปีก จากนั้นก็อ้าจะงอยปากขึ้นพูดอย่างยากลำบาก
<หมายถึงว่า เจ้าบอกว่าชอบทำขนมแล้วทำไมถึงทำทุกวันไม่ได้>
“ก็เพราะว่ามีเรื่องของพวกผู้ใหญ่มาเกี่ยวน่ะสิ ทำไมเธอยึดติดกับขนมของฉันจัง ขนมฉันอร่อยถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”
คำพูดนั้นทำให้พีบีทำสีหน้าเคร่งเครียด
<ปัญหาไม่เกี่ยวกับรสชาติ>
“หมายความว่าอร่อยสินะ”
<ได้ชิมแค่เศษขนมชิ้นนิดเดียว จะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าขนมของเจ้าอร่อยหรือไม่อร่อย!>
“ก็ถึงได้ถามไงว่าทำไมถึงจะให้ทำแบบนั้น”
<นั่นเพราะมันเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราน่ะสิ>
“ที่ฉันอบขนมแล้วเอาให้คนรอบข้างกินน่ะนะ”
<ชะ ใช่ ถึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นขนมอย่างเดียวก็เถอะ>
“ทำไมต้องทำแบบนั้นล่ะ”
ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจิ๋วขยับจะงอยปากอย่างแปลกประหลาด ราวกับอยากพูดอะไรบางอย่างแต่มีใครบางคนบีบจะงอยปากไว้
<พลังงง…ของข้าน่ะ เป็นพลังแห่งความรู้สึก…สามารถทำแบบนี้…เพื่อให้ดวงวิญญาณกับมนุษย์แลกเปลี่ยนความคิดกันได้>
“หมายความว่าคนอื่นๆ ก็จะสามารถพูดคุยกับดวงวิญญาณของตัวเองได้ใช่ไหม”
<ถูกต้อง!>
“…นั่นหมายความว่าเธออยากใช้พลังทำให้ทุกคนรักใคร่กลมเกลียวกัน…อะไรแบบนั้น?”
อาเซียจ้องพีบีด้วยสีหน้าข้องใจ พีบีตะโกนแว้ดๆ ออกมาด้วยสีหน้าราวกับรู้สึกไม่ยุติธรรม
<มากกว่านั้น! ข้าอาจจะ…อาจจะมี…มีความตั้งใจที่…ยิ่งใหญ่กว่า…>
“ทำไมถึงพูดให้รู้เรื่องไม่ได้ล่ะ”
<เจ้าจะได้รู้ความตั้งใจอันยิ่งใหญ่ของข้าทุกอย่างเม่ือเวลาผ่านไป! บ้าจริง! ข้าทำเพื่อเจ้าาา…>
“เพื่อฉันเหรอ”
<บอกว่าจะรู้ทุกอย่างเมื่อเวลาผ่านไปไง! อย่าพูดมากแล้วเตรียมห้องนอนให้ข้าซะ!>
“นั่นคือข้อสามเหรอ ฉันจะทำแบบนั้นให้”
เพราะพระจักรพรรดิบอกว่าจะมอบบางสิ่งให้ สิ่งที่พระจักรพรรดิมอบให้คงจะไม่ใช่สิ่งไม่มีมูลค่าแน่
อย่างน้อยก็น่าจะพอซื้อกรงนกสักหลังใช่ไหม
เมื่อคิดแบบนั้น เธอก็อุ่นใจขึ้นมา
คนอื่นรับรู้กันว่าดวงวิญญาณของเธอเป็นดวงวิญญาณลูกเจี๊ยบ เพราะอย่างนั้นก็น่าจะอยู่ที่วังต่อไปไม่ได้ เธอแค่ใช้เวลาสองสามวันจนกว่าจะได้รับของขวัญจากพระจักรพรรดิ หลังจากนั้นก็แค่กลับบ้านไปอย่างเบิกบานโดยทำเหมือนถูกขับไล่ออกไปก็พอ
ระหว่างนั้นก็ต้องจัดเตรียมเนยกับน้ำตาลสักหน่อย แป้งสาลีสักสองสามถุงด้วย
ทว่า ความฝันของอาเซียที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและความคาดหวังต่อวันเวลาในภายภาคหน้า สุดท้ายก็ถูกทำลายลงอย่างหมดจดในเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก
เช่นเดียวกับที่ฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง เมื่อหิมะในฤดูหนาวละลายลงหมดจนไม่เหลือร่องรอย
***
ในตอนที่ดวงอาทิตย์ยามเช้าลอยขึ้นฟ้าอย่างเชื่องช้า ประตูก็ถูกเปิดออกกว้างพร้อมกันกับที่ลิสปรากฏตัวขึ้น ลิสกำลังทำสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจจนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
อ่า…
อาเซียมองใบหน้าของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็คิดว่าช่วงนี้ตนเองเหมือนจะมีพลังวิเศษขึ้นมาแล้ว
พลังวิเศษที่แค่มองใบหน้าของผู้คนก็สามารถรับรู้ได้ว่าเรื่องที่ตนเองเคยคิดมันผิดแผนไป
“องค์หญิง! องค์หญิงอนาสตาเซีย!”
ไม่หรอกใช่ไหม
“สมเด็จพระจักรพรรดิทรงมีรับสั่งว่า…”
ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกใช่ไหม
“ตอนนี้…”
ช่วยบอกว่าตอนนี้ให้กลับบ้านได้แล้วทีเถอะ! บอกว่าให้กลับบ้าน! กลับบ้าน!
“ให้พำนักอยู่ในพระราชวังพร้อมกับเรียนหนังสือไปด้วยจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะในภายภาคหน้าเพคะ วันนี้จะได้ย้ายไปห้องข้างๆ องค์รัชทายาททันทีเพคะ!”
การบรรเลงเพลงคู่ของความท้อแท้และความสิ้นหวังโอบล้อมรอบตัวอาเซียเอาไว้ อาเซียถูกลิสกอดแล้วอุ้มจนตัวลอย สุดท้ายเธอก็ทำสีหน้าราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง
ไม่สามารถขัดชะตาชีวิต…ไม่สิ ขัดต้นฉบับได้เลยอย่างนั้นเหรอ
“บอกว่า…จะย้ายห้องของฉันเหรอ ทำไม ทำไมล่ะ”
“เรื่องนั้นแน่นอนว่าเป็นเพราะฝ่าบาททรงรักใคร่องค์หญิงน่ะสิเพคะ”
ละอองแสงสีชมพูกับสีเขียวอ่อนส่องสว่างรอบตัวลิสและทอประกายเจิดจ้าราวกับดอกไม้ไฟ เมื่อมองดูก็แทบจะตาลายเลยทีเดียว
ทันทีที่ลิสวางตัวเธอลงจากที่เคยอุ้มขึ้น อีกฝ่ายก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอพร้อมทำผมให้เรียบร้อย จากนั้นก็จัดเตรียมอาหารเช้าให้อย่างวุ่นวายแล้วรีบวิ่งออกไปเพื่อจัดห้องใหม่ของเธอให้เป็นระเบียบ
อาเซียผู้ถูกทิ้งไว้ตามลำพังถึงกับต้องทำสีหน้าวุ่นวายใจออกมา
เรื่องจริงหรือเปล่า จริงๆ น่ะเหรอ
แถมยังเป็นห้องข้างๆ องค์รัชทายาทอเล็กเซย์อีก
ในฤดูร้อนก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องปรับอากาศแล้วสิ
เพราะสายลมหนาวเหน็บราวธารน้ำแข็งคงพัดกระหน่ำมาจากห้องข้างๆ ไง!
ห้องทางนู้นคงจัดเตรียมเกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่ามหาดเล็กจึงนำสัมภาระของอาเซียที่มีอยู่ไม่กี่อย่างออกไป
ลิสกลับมาอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือเรื่องจัดเตรียมสัมภาระ สีหน้าของลิสยิ้มอย่างเบิกบานราวดอกไม้แรกแย้ม
พวกเธออยู่ด้วยกันมาได้ไม่นานสักเท่าไรนัก แต่อาเซียก็เพิ่งเคยเห็นลิสดีใจถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรก
‘องค์ชายรัชทายาทตรัสว่าจัดเตรียมห้องให้ด้วยตัวพระองค์เองเลยเพคะ!’
คำพูดนั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอซาบซึ้งใจเลย
ในพระราชวัง อเล็กเซย์เป็นเหมือนทั้งทูตสวรรค์และนักบุญที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นทุกคนจึงดูเหมือนจะเชื่อกันหมด ว่าต่อให้มีคู่แข่งสืบทอดราชบัลลังก์ปรากฏตัวมา เขาย่อมต้อนรับด้วยความยินดี
อาเซียได้แต่ทอดสายตามองดูห้องของตัวเองที่ค่อยๆ ว่างโล่ง จากนั้นจึงออกไปด้านนอกเพราะไม่สามารถอดทนต่อสภาพจิตใจอันแสนอึดอัดได้
ลิสมัวแต่จัดห้องใหม่ของเธอจึงหายตัวไป ส่วนมหาดเล็กที่เหลือก็ไม่ได้ห้ามเธอไว้
บอกให้เรียนหนังสือที่วังจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะเนี่ยนะ ถ้าตายก่อนหน้านั้น… ไม่หรอก ไม่อยู่แล้วล่ะ ตอนนี้มันมีอะไรบางอย่างผิดพลาดไปไม่ใช่หรือไง ใช่ไหม ตอนนี้…อะไรบางอย่าง…มันผิดเพี้ยน…ยังไงชอบกลไม่ใช่เหรอ ไม่มีใครเกลียดฉันเลยสักคนด้วย อย่างน้อยตอนนี้… ตอนนี้…
ในตอนที่อาเซียคิดไปถึงตรงนั้น
“ทำไม ทำไมกัน! ทำไมไม่ใช่ฉันแต่เป็นยัยตัวผอมกะหร่องที่ทำพันธสัญญากับเจ้าวิญญาณสัตว์ป่าสกปรกนั่น!”
พวกลูกพี่ลูกน้องของเธอยืนกระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า พวกเขายอมรับความจริงไม่ได้ว่ามีเพียงเธอคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ที่วังต่อไป
พอเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ด้วยจิตใจที่จมอยู่ในความรู้สึกสับสนอย่างเต็มเปี่ยม พวกลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะมาตรงด้านหน้าวังที่เคยพำนักกันแล้ว
ลานหน้าพระราชวังมีรถม้าจอดอยู่หลายคันและตกอยู่ในความโกลาหล บนใบหน้าของพวกลูกพี่ลูกน้องที่ได้รับคำสั่งให้ออกไปจากพระราชวัง มีร่องรอยของความรู้สึกไม่ยุติธรรม ความดุดัน ความโกรธ ความท้อแท้ และความผิดหวัง
อาเซียรู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมของมวลความรู้สึกสีแดงเข้มมาจนถึงตรงนี้ ท่ามกลางคนพวกนั้น คนที่ตะโกนเสียงดังโดยหมายตัวเธอก็คือดิมิทรี ลูกชายของพระราชโอรสมักซิม
“ลองดูอีกทีสิ! ไปกราบทูลท่านปู่อีกครั้ง! ดวงวิญญาณของฉัน ดวงวิญญาณแห่งพิรุณอยู่ในระดับที่ต่างกันกับเจ้าดวงวิญญาณสัตว์ปีกแบบนั้นตรง…”
ในตอนนั้น กระดุมรูปลูกเจี๊ยบที่อยู่บนเสื้อคลุมของเธอก็กระดุกกระดิก นกสีเหลืองแอบโผล่ออกมาถูไถหัวของตัวเองกับใต้คางของอาเซียโดยไม่ให้คนอื่นเห็น
“ไม่เป็นไรหรอก พีบี ฉันโอเค ฉันไม่สนใจเรื่องแบบ…”
<หลอดเลือดแดงของมนุษย์อยู่ตรงนี้ ถ้าโจมตีตรงนี้ เจ้าพวกนั้นก็คงพูดพล่อยๆ ไม่ได้อีก>
พีบีร้องจิ๊บๆ
อาเซียสูดลมหายใจเข้าครู่หนึ่งแล้วยกมือดึงตัวพีบีที่ยังคงถูไถลำคอของตัวเองออก พลางกดให้เจ้านกแนบกับกระดุมอีกครั้ง
พีบีกลับเข้าไปในกระดุมอย่างยากลำบาก
“นี่ พีบี ปกติแล้วคนเราน่ะ ปิดปากเงียบไปตลอดไม่ได้หรอก”
<ปากที่จะเอาแต่พูดเรื่องไร้ประโยชน์ไปตลอด สู้ปิดเงียบแต่เนิ่นๆ ไม่ดีกว่าเหรอ>
อาเซียไม่สามารถตอบได้และทำได้เพียงอ้าปากพะงาบ
เธอเข้าใจจิตใจของเด็กน้อยที่ไม่ได้รับสิ่งที่ตัวเองต้องการที่สุด และเธอได้รู้ในพิธีเรียกดวงวิญญาณเมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าบิดาของดิมิทรีคือมักซิมผู้คอยช่วยเหลือยูเลียอยู่บ่อยครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวจริงของเธอภายในร่างนี้ก็เป็นผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นก็ควรใจกว้างและห้ามไปโจมตีหลอดเลือดแดงของเด็กน้อย…
“เธอ-! ฉันเตรียมตัวเพื่อวันนี้มานานมากแท้ๆ! ทำไมไอ้พวก-…! ทำไมดวงตาของฝ่าบาทหาถึงมีแววไม่!”
ฉันต้อง…ใจกว้าง…
ดูท่าว่าดิมิทรีจะยังไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดไปกับการดิ้นรนจนถึงตอนนี้
คำศัพท์ที่ฟังไม่เข้าใจชัดเจนว่าหมายความว่าอะไร บางทีน่าจะเป็นคำหยาบคายที่เธอไม่ได้เรียนรู้มา
สุดท้ายแววตาของดิมิทรีก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มอย่างฉับพลัน เขาสลัดตัวมหาดเล็กออกอย่างแรงแล้ววิ่งพุ่งเข้าใส่เธอ
อาเซียถูกผลักไปด้านหลัง แล้วมือของลูกพี่ลูกน้องก็เฉี่ยวผ่านแก้มของเธอ เธอเกือบจะถูกตบหน้าไปแล้ว แต่มหาดเล็กที่ตามมาจับตัวดิมิทรีได้อย่างหวุดหวิดก็ยืนขวางไว้
หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในสภาวะยุ่งเหยิงอลหม่านราวนรกแตก
เหล่ามหาดเล็กกับทหารรักษาความปลอดภัยผลัดกันกรูเข้ามาด้วยความตกใจสุดขีด พวกลูกพี่ลูกน้องบางคนระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา ในขณะที่เกิดฝุ่นคลุ้งตลบอบอวลอย่างรวดเร็ว เสียงตะโกนกับเสียงกรีดร้องก็ดังปนกันมั่วไปหมด
เหล่าลูกพี่ลูกน้องที่ทะเลาะตบตีกันเสร็จแล้วมีสภาพเละเทะ พวกที่ไม่ล้มกลิ้งก็เพียงแค่ร้องไห้เฉยๆ เท่านั้น
<บอกตำแหน่งแล้ว!>
อาเซียทำเป็นไม่ได้ยินเสียงตะโกนของพีบีจากในกระดุม เธอค้นกระเป๋าที่ติดไว้ด้านในกระโปรง
“ลืมไปหมดแม้แต่ความมีเกียรติของราชวงศ์ แล้วยังทำสัญญากับไอ้-ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ใช้วิธีไหนถึงได้…”
ดิมิทรีพูดออกมาทั้งที่ถูกมหาดเล็กจับตัวไว้ ครึ่งหนึ่งของคำพูดของเขาเป็นคำที่เธอเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
คงกำลังจะถ่มน้ำลาย ดิมิทรีจึงสูดลมหายใจเข้า ทว่าในวินาทีนั้น อาเซียก็ยัดสิ่งที่กำไว้ในมือเข้าไปในปากของเขาโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
ดิมิทรีถูกมหาดเล็กจับตัวไว้ ตัวจึงโค้งลงอยู่นิดหน่อย เพราะอย่างนั้นเธอจึงสามารถทำแบบนั้นได้แค่เพียงเขย่ง
“อุ๊บ!”
“องค์ชาย?!”
“องค์ชาย!”
ทุกคนต่างส่งเสียงที่ทำให้สับสนว่าเป็นเสียงกรีดร้องหรือเสียงหายใจ อาเซียยังไม่ละมือออกจนกระทั่งดิมิทรีกลืนสิ่งที่เข้าไปในปากลงไป
“…”
“…”
“…”
เมื่อดิมิทรีกลืนลงไปแล้ว อาเซียจึงประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วปัดเศษที่เหลือติดมือออก เศษผงสีน้ำตาลเข้มจนแทบจะเป็นสีดำคือชิ้นส่วนจากบราวนีที่เธอทำ
“อร่อยไหม”
“ธะ เธอให้ฉันกินอะไร!”
ดิมิทรีตั้งใจจะคายสิ่งที่อยู่ในปากออก แต่ไม่มีอะไรออกมาเพราะเขากลืนมันลงไปแล้ว
อาเซียมองดิมิทรีทำท่าจะอาเจียนพลางยักไหล่
“ขนมที่ฉันทำน่ะ”
“ไอ้…ไอ้ของที่ไม่ต่างอะไรกับขยะ-”
“ฝ่าบาทรับสั่งว่าอร่อยเลยเรียกฉันไปตามลำพังแล้วตรัสชมด้วยนะ รับสั่งว่าอยู่ต่ออีกสองสามวันแล้วจะมอบรางวัลให้ด้วย”
ถึงแม้ว่าถ้าพูดให้ถูก สิ่งที่ทำให้บอกว่าจะให้รางวัล จะเป็นขนมคนละอย่างกับอันนี้ก็เถอะ
“…”
แล้วจู่ๆ ดิมิทรีก็นิ่งเงียบไปราวกับปากถูกป้ายขี้ผึ้งอย่างกะทันหัน
อาเซียยกไหล่เช็ดรอยถลอกบนแก้มของตัวเองเบาๆ แล้วทำอะไรไม่ถูกขึ้นมานิดหน่อย