หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน - ตอนที่ 11
อาเซียคิดจะยืมชื่อของพระจักรพรรดิมาทำให้เงียบก่อน หลังจากนั้นค่อยจัดการสถานการณ์ แต่อะไรบางอย่างที่เหมือนกับดอกไม้ไฟกำลังพุ่งขึ้นมาจากหลังของดิมิทรี
อนุภาคแสงเฉียดผ่านแก้มของอาเซียไปอย่างโกลาหล
อาเซียเงียบไปจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ จากนั้นสุดท้ายก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“…ขนมที่กินไปเมื่อกี้ อร่อยไหม”
“…”
ดิมิทรีทำหน้าเหมือนอยากกัดลิ้นตายไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่อาเซียก็ไม่สนใจแล้วเอาบราวนีหนึ่งชิ้นที่เธอห่อไว้ในกระเป๋า ใส่มือของอีกคนให้กำไว้
ดิมิทรีตั้งใจจะปามันทิ้งให้แบนแต๊ดแต๋ แต่อาเซียก็ตะโกนขึ้นมารวดเร็วกว่า
“ขนมที่ฝ่าบาทตรัสว่าอร่อย!”
“-?!”
“เมื่อกี้นายด่ามันใช่ไหม นี่เป็นขนมที่ฝ่าบาทตรัสชมว่าอร่อยนะ นายด่ามันเหรอ”
“มะ ไม่ใช่! ไม่ใช่สักหน่อย!”
แล้วคราวนี้เด็กน้อยที่อายุเพิ่งจะสิบขวบจะทำอย่างไรตรงนี้นะ สุดท้ายดิมิทรีก็เก็บบราวนีที่อาเซียเอาให้ ใส่เข้าไปในอกเสื้ออย่างเลี่ยงไม่ได้
“กลับบ้านเอาไปให้ลุงมัก…ท่านลุง…พระราชโอรสมักซิมซะนะ เข้าใจไหม”
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น โอ๊ย ฉันจะเหวี่ยงหมัดใส่สักหมัดตามที่พี่บีพูดไปแล้ว…
<เหวี่ยงไปเลยสิ!>
เงียบซะ เจ้านกโง่
ดิมิทรีคือลูกชายของมักซิมผู้เคยช่วยเหลือครอบครัวของเธอซึ่งกินอยู่กันอย่างอัตคัตขัดสน เพราะอย่างนั้น เธอจึงนึกถึงเขาแล้วอดทนไว้
หลังจากนั้น ทุกคนก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ดิมิทรีขึ้นไปบนรถม้าด้วยสีหน้าเหมือนบอกว่าให้เขาตายยังจะดีกว่า ส่วนลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ก็ลังเล แต่จากนั้นก็ขึ้นรถม้าออกจากพระราชวังไปอย่างรีบร้อนราวกับจะหนี
ให้กินขนมหน่อยหนึ่ง แป๊บเดียวก็สงบเสงี่ยมเชียว
<เพราะมันเป็นขนมที่เจ้าทำยังไงล่ะ>
อาเซียเอียงหัว พีบีพูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด
เพราะเป็นขนมที่ฉันทำเหรอ หมายถึงว่า เพราะพระจักรพรรดิตรัสชมว่าอร่อยหรือเปล่า
<เจ้าของที่ดินจะพูดว่าอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะ บอกว่าเป็นเพราะเจ้าทำไงเล่า>
อาเซียเงียบไปครู่หนึ่งเพราะคำว่า ‘เจ้าของที่ดิน’ แต่แล้วก็รีบคิดต่อ
ถ้ากินขนมที่ฉันทำแล้วจะสงบเสงี่ยมลงเหรอ
<ก็เพราะอารมณ์จะดีขึ้นน่ะสิ>
…อารมณ์? ทำไมล่ะ หระ… หรือว่ามีอะไรแบบพวกยาเสพติดออกมาจากมือฉัน…
<ถ้ากินของอร่อยก็จะอารมณ์ดีขึ้น มนุษย์เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ>
จากที่ย้อนถามกลับไปอย่างร้อนรน อาเซียจึงคลายกังวลลงได้ในที่สุด
ทว่าในตอนที่เธอกำลังจะตะโกนเสียงแหลมใส่พีบี ลิสก็ปรากฏตัวขึ้น
“องค์หญิงอนาสตาเซีย!”
ลิสเรียกเธอจากไกลๆ พร้อมกับวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ ท่าทีเร่งรีบนั้นแทบจะทำให้พวกมหาดเล็กกรูกันเข้ามาล้อมตัวเธอไว้
“อะ… เอ่อ อ่า ลิส…”
ในขณะเดียวกันกับที่ลิสปรากฏตัวตรงหน้าเธอ มวลแสงสีแอเมทิสต์ โปร่งใสก็พวยพุ่งออกมาราวกับน้ำตก
ทีนี้ฉันรู้แน่ชัดแล้วล่ะ แสงสีแอเมทิสต์นั่นคือความกังวลสินะ
“องค์หญิง ทรงปลอดภัยดี… ตายแล้ว บาดแผลตรงแก้ม… ไม่สิ นี่มันเรื่อง…”
ลิสหันขวับไปมองเหล่ามหาดเล็กที่ยังยืนอยู่หลังจากที่ล้อมอาเซียไว้เพื่อเฝ้าพิทักษ์
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น บาดแผลขององค์หญิงคือยังไง”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนต่ออาเซียเสมอกลับหายไปอย่างไร้วี่แวว ลิสซักไซ้เหล่ามหาดเล็ดอย่างเยือกเย็นและน่ากลัว
“ระ เรื่องนั้น…”
มหาดเล็กรีบร้อนอธิบายสถานการณ์ราวกับจะแก้ตัว ด้วยสีหน้าที่ไม่รู้จะต้องทำอย่างไร
เมื่อมองเห็นเค้าลางว่าสีแดงเข้มที่เจือไปด้วยกลิ่นอายของความโกรธกำลังจะกลืนกินแสงสีม่วงที่คลอเคลียรอบตัวลิส อาเซียจึงรีบดึงชายเสื้อของอีกฝ่าย
“ละ ลิส ฉันไม่เป็นไร แล้วฉันก็เล่นงานคืนไปแล้วด้วย ตอนนี้เราไปกันเถอะ ลิส”
“…อย่างนั้นหรือเพคะ องค์หญิง”
“อื้อๆ! ฉันอยากเห็นห้องใหม่สุดๆ ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดเลย อยากรีบไปดู”
อาเซียทำตาเป็นประกายพร้อมกับจับชายเสื้อของอีกฝ่ายดึงไป
ลิสทอดสายตามองลานหน้าพระราชวังที่ตกอยู่ในความโกลาหล แล้วก็มองอาเซียสลับกัน จากนั้นจึงจับปกเสื้อของเธอด้วยสีหน้าอดกลั้น
“ทรงออกไปไหนคนเดียวบ่อยๆ ไม่ได้นะเพคะ องค์หญิง หม่อมฉันตั้งใจว่าถ้าเตรียมห้องเสร็จแล้วจะพาออกไป…”
“ไม่เป็นไรหรอก ในพระราชวังจะมีเรื่องอะไรได้ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“เมื่อครู่ก็มีเรื่องอะไรอยู่นี่เพคะ”
“แหะๆ นั่นแค่เด็กหยอกกันเล่นเอง”
“องค์หญิงก็ยังทรงพระเยาว์นะเพคะ”
อาเซียหัวเราะเสียงแผ่วเพราะอับอายขึ้นมา แล้วเมื่อครุ่นคิดบางอย่างเสร็จ เธอจึงยื่นแขนทั้งสองข้างไป เพราะพ่อของเธอ ยูเลียดูเหมือนจะดีใจเวลาเธอทำแบบนี้…
“แบบนี้ถึงได้บอกว่ายังทรงพระเยาว์ยังไงล่ะเพคะ”
ลิสโอบกอดเธออย่างไม่ลังเล อณูแสงสีชมพูที่ดูเหมือนเป็นความปิติยินดี ค่อยๆ ทอแสงออกมาจากตัวลิส
***
ผ้าม่านบังแสงตรงหน้าต่างถูกประดับประดาด้วยคริสตัล ทำให้เกิดเสียงกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง พร้อมทั้งกำลังสะท้อนแสงตกกระทบลงมาอย่างงดงาม
และผ้าม่านผืนนั้นรายล้อมห้องเอาไว้ เป็นห้องที่กว้างขวางมากเกินไปเสียจนอ้างว้าง
อาเซียได้แต่อ้าปากพะงาบ
พวกโต๊ะข้างเตียง โต๊ะน้ำชา และตู้ลิ้นชัก ยังดูคล้ายกันกับห้องเก่าของเธอแต่มีขนาดใหญ่กว่า ถึงอย่างนั้น ห้องก็ยังกว้างเสียจนรู้สึกโล่ง
“ห้องกว้างมากเลยใช่ไหมเพคะ ทีนี้เดี๋ยวจะค่อยๆ เติมของเข้ามาให้ห้องเต็มทีละหน่อยนะเพคะ เติมพวกของแต่งห้องที่เหมาะกับองค์หญิง ไม่ก็พวกโต๊ะคอนโซลหรือเก้าอี้ที่มีลายแกะสลัก”
“ไม่มีของพวกนั้นก็ไม่เป็นไรจริงๆ นะ”
ลิสเพียงแค่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ราวกับบอกว่าที่อาเซียพูดแบบนั้นเพราะเธอยังเด็กจึงยังไม่รู้เรื่องอะไร
ในตอนนั้น ประตูบานหนึ่งซึ่งติดอยู่ตรงผนังด้านในก็เข้ามาสู่สายตาของอาเซีย
เห็นบอกว่าข้างๆ เป็นห้องของอเล็กเซย์…
“ลิส ประตูบานนั้นไปไหน หรือว่า…”
“อ้อ! เป็นประตูเชื่อมกับห้องขององค์ชายรัชทายาทเพคะ ฝ่าบาททรงตั้งใจเลือกห้องที่อยู่ติดกัน เพื่อจะได้ไปเล่นด้วยกันได้ตลอดเพคะ”
ลิสเปิดประตู มองเห็นประตูอีกบานอยู่ทางฝั่งตรงข้ามโดยมีทางเดินสั้นๆ กั้นไว้ ประตูบานนั้นน่าจะเป็นประตูห้องขององค์รัชทายาทอเล็กเซย์
รู้สึกเหมือนมีไอเย็นลอดออกมาจากช่องว่างของประตูบานนั้นเลยนะ
อาเซียวาดรอดยิ้มขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ
“คือว่า ลิส ฉันคิดว่า องค์รัชทายาทอเล็กเซย์กับฉัน…”
“เพคะ องค์รัชทายาทรับสั่งว่าอยากพบองค์หญิงเร็วๆ เพคะ เพราะอย่างนั้นถึงได้ชวนให้เรียนหนังสือที่ฝ่าบาทรับสั่งด้วยกันไงเพคะ องค์รัชทายาทช่างอ่อนโยนเสียจริง”
“อะไรนะะะ”
ในตอนที่อาเซียทำสีหน้าตกใจจนแทบเป็นลม ลิสก็จัดเสื้อผ้าของเธอให้เรียบร้อย จากนั้นจึงจัดที่นอนให้เข้าที่แล้วเก็บใบไม้ที่ร่วงลงมาจากดอกไม้ประดับโต๊ะน้ำชา
“ฝ่าบาทรับสั่งว่าให้เริ่มเรียนตั้งแต่พรุ่งนี้เพคะ แล้วองค์รัชทายาทอเล็กเซย์ก็ทรงชักชวนให้มาเรียนด้วยกัน”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เหรอ ฉันจะเรียนไปทำไมล่ะ เรื่องเรียนน่ะฉัน…”
ลิสงอเข่าลงมาลูบแก้มกับเส้นผมของอาเซีย
“ถ้าตั้งใจเรียน ฝ่าบาทก็จะทรงเอ็นดูนะเพคะ”
“ฉันแค่มีพ่อกับแม่ก็พอแล้ว! อย่างอื่น…”
อย่างอื่น คนอื่น หรือก็คือพระจักรพรรดิ ถ้าเริ่มเอ็นดูแบบผิดๆ แล้วฉันจะตายยังไงบ้างก็ไม่รู้!
อาเซียจำต้องอดกลั้นไม่พูดคำที่อยากตะโกนออกมา
หากพระจักรพรรดิเอ็นดูเธอจริงๆ ก็อาจเป็นโล่กำบังให้เธอได้
ทว่านั่นก็เป็นเรื่องของตอนที่พระจักรพรรดิยังเป็นจักรพรรดิอยู่ พระจักรพรรดิอายุเท่าไรแล้วนะ เธอเป็นลูกสาวของพระราชโอรสคนเล็กของพระองค์
ถ้าองค์รัชทายาทอเล็กเซย์ขึ้นครองราชบัลลังก์เมื่อไหร่…
อาเซียไม่นึกว่าตัวเองจะคิดเรื่องที่ไร้ซึ่งความเกรงใจแบบที่จะทำให้คนอื่นเป็นลมเมื่อได้ยิน ลิสพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อกล่อมปลอบอาเซียผู้คิดแบบนั้น
“ทรงเรียนร่วมกันกับองค์รัชทายาทอเล็กเซย์ เพราะฉะนั้นต้องสนุกแน่นอนเพคะ”
“มะ ไม่สิ ฉันน่ะ ยังไง องค์รัชทายาทอเล็กเซย์ก็คงจะไม่สนุกหรอกนะ แล้วฉันก็ไม่เคย… เรียนหนังสงหนังสือด้วย…”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกเพคะ องค์รัชทายาทอเล็กเซย์ทรงเป็นฝ่ายชักชวนก่อนนี่นา”
ก็แล้วทำไมถึงชวนก่อนเล่า!
กะจะประเมินดูด้วยตัวเองว่าฉันอยู่ในระดับไหนงั้นสิ! ประเมินเสร็จแล้วก็จะตัดสินใจว่าฆ่าทิ้งหรือไม่ฆ่าใช่ไหม!
อาเซียแผดเสียงร้องพร้อมกับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วรบเร้าต่อไป แต่การเรียนหนังสือของเธอก็ไม่ถูกยกเลิก
***
ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง คือเด็กหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีทองและดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือก อายุคงจะราวๆ สิบสี่สิบห้าปีเห็นจะได้
วันเวลาผ่านไปมาถึงตอนนี้ อาเซียก็ยังสงสัยว่าลูกพี่ลูกน้องที่จะได้เป็นพระจักรพรรดิองค์ต่อไปกับตนเองจะได้เรียนด้วยกันจริงไหม แต่คำถามนั้นก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
ว่าแต่ที่นี่… คือห้องหนังสือที่ฝ่าบาทประทับอยู่เมื่อวันก่อนไม่ใช่เหรอ
เดิมทีพระราชวังมีพื้นที่กว้างขวาง เธอเดินเตร็ดเตร่อยู่หลายครั้งแล้วก็ยังไม่รู้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหนหากเคยไปเห็นเพียงครั้งเดียว แต่เมื่อเดินเข้าไปถึงด้านในสุด เธอก็เห็นภาพอันคุ้นตา
“อนาสตาเซีย มาแล้วเหรอ”
ในระหว่างที่อาเซียกวาดตามองรอบๆ อเล็กเซย์ก็ปริปากพูดขึ้นมาก่อน
อาเซียหันหน้ามาเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าของอเล็กเซย์ดูเหมือนกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่เธอกลับไม่สามารถบอกความคิดที่แฝงอยู่ในดวงตาสีฟ้าภายในรูปตาโค้งนั้นได้เลย
เธอเองก็รู้ว่าทำไมอเล็กเซย์ถึงอ่อนไหว
สิ่งที่คอยค้ำจุนตำแหน่งรัชทายาทของเขา ครึ่งหนึ่งคือเจ้าแห่งดวงวิญญาณของเขาเอง ซึ่งก็คือมังกรไฟฟาฟเนียร์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือคือการสนับสนุนขององค์จักรพรรดิ พอมาตอนนี้ เขาดันต้องแบ่งปันการสนับสนุนนั้นกับเธอผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก เขาจะหนักใจมากแค่ไหนนะ
อาเซียปรับน้ำเสียงให้สงบเพื่อเริ่มพูดคุยดีๆ กับเขาก่อน
“เอ่อ องค์รัชทา…”
“ถึงเธอจะไม่ได้เรียกแบบนั้น ฉันก็เป็นองค์รัชทายาทอยู่ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก”
“…”
อเล็กเซย์ส่งหนังสือให้เธอพร้อมกับตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หากมองผ่านๆ ดวงตาที่โค้งนิดหน่อยอย่างมีเมตตา ดูอ่อนโยนและราบเรียบราวกับกวาง แต่ลึกลงไปในนั้นกลับเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
เศษเสี้ยวความรู้สึกอันน่าหวาดหวั่น ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนไอเย็นจะแผ่ซ่านเข้ามาเพียงแค่แตะต้อง วนเวียนรายล้อมตัวเขาราวกับก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในทะเล ต่อให้ใช้มีดแทงก็คงจะไม่แหลมคมไปกว่าความรู้สึกนี้
อาเซียตัดสินใจว่าก่อนอื่น เธอจะเห็นชอบไปกับคำพูดของอเล็กเซย์
“ถ้างั้นก็ท่านพี่อเล็ก…”
“ท่านพี่งั้นเหรอ ต้องเรียกแบบเป็นทางการถึงขนาดนั้นเลย?”
“…”
อาเซียอ้าปากค้างครู่หนึ่งแล้วหุบปากลงเงียบๆ อีกครั้ง จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีแล้วพูดขึ้น
“ถ้างั้น อเล็กเซย์”
“…อะไรนะ”
ตอนนั้นอเล็กเซย์ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา อาเซียลอบกลืนน้ำลายทั้งที่เผลอพูดเสียงดังออกไปด้วยความโมโห
ถ้าคนที่โตกว่านี้จ้องเธอด้วยสายตาแบบนั้น เธออาจจะสะอึกไปแล้วก็ได้
“ก็ท่านไม่ชอบให้เรียกว่าองค์รัชทายาท เรียกว่าท่านพี่ก็ยังไม่ชอบ…”
“เธอ…”
“อ๊ะ อเล็กเซย์ก็ไม่ชอบเหรอคะ ถ้างั้นก็อโลเซีย!”
“…!”
ในวินาทีที่รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าของอเล็กเซย์เป็นครั้งแรก ประตูห้องหนังสือก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เป็นอาจารย์ที่จะดำเนินการสอนในวันนี้
อาจารย์รับรู้ได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดภายในห้อง จากที่เคยเข้ามาด้วยสีหน้าอบอุ่นก็กลายเป็นชะงักไป
“องค์รัชทายาท…?”
“…ไม่มีอะไรครับ เชิญเข้ามาเลยครับ”
อเล็กเซย์ส่งสายตาทักทายอาจารย์ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกครั้งทันที เขาไม่มองอาเซียอีกเลยจนกระทั่งหมดเวลาเรียน
อาเซียแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาของอเล็กเซย์จนกระทั่งหมดเวลาเช่นกัน