หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน - ตอนที่ 13
อื้อ บอกว่าจะฝึกทำเค้ก แต่ไม่มีวัตถุดิบทำเค้กก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ คิดอยู่ว่าทำสโคนชีสดีไหม ใส่ผงมัสตาร์ดลงไปนิดหน่อย ส่วนโดวจ์ ก็…
อาเซียลูบแขนของตัวเองหนึ่งที
บอกว่าจะทำก็ทำได้นั่นแหละ แต่น่าจะยังขาดอะไรสักอย่างอยู่ แต่เรื่องนั้นพาเวลล์คงช่วย
“ถ้าไม่มีช็อกโกแลต ฉันทำอย่างอื่นได้ไหม”
“อยากได้วัตถุดิบอะไรล่ะ”
“แป้งสาลีกับเกลือนิดหน่อย แล้วก็…ชีสกับเบคอน ผงมัสตาร์ด แล้วก็เนยกับนม”
อาเซียพูดชื่อวัตถุดิบที่นึกขึ้นได้ในหัว แล้วเธอก็มาชะงักเอาตรงรายการสุดท้าย
ที่นี่ ยังไม่มีผงฟูหรือเปล่านะ เบกกิ้งโซดาด้วย
“ลุง ไม่มีอันที่ทำให้ขนมฟูเหรอ”
“หมายถึงยีสต์ เหรอ”
“อันนั้นใช้ทำให้ขนมปังฟูนี่”
“ยังมีอะไรที่ทำให้ขนมฟูนอกจากนั้นอยู่อีกหรือไงเล่า เพราะอย่างนั้นพวกขนมต่างๆ ถึงไม่ควรค่าที่จะทำไง มันไม่มีประวัติศาสตร์เอาซะเลย ประวัติศาสตร์น่ะ”
อาเซียยิ้มเผล่พร้อมกับเงยหน้ามองพาเวลล์
“…?”
“อันที่ฝ่าบาทตรัสชมคืออะไรแล้วนะ อ๋อ! เค้กที่ฉันทำเมื่อวันก่อนใช่ไหม”
“…”
“พวกขนมต่างๆ ที่ไม่มีประวัติศาสตร์?”
“…มีสิ… มี มันมี ประวัติศาสตร์อันแสนยาวนาน…”
ในขณะที่พาเวลล์ทำหน้าบึ้งตึง อาเซียก็ฉีกยิ้มพร้อมกับขบคิดอย่างละเอียด
ดูจากที่เมื่อวานเพิ่งใช้ช็อกโกแลตเป็นวัตถุดิบหลักและยังไม่มีผงฟู จึงให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับอาหารการกินในสมัยศตวรรษที่สิบแปดในโลกที่เธอเคยอยู่
ระหว่างที่ทั้งสองคนโต้ตอบกันแบบเรียบง่ายอย่างต่อเนื่อง พีบีซึ่งอยู่ในกระดุมก็ส่งเสียงขึ้นมาในหัวของเธอ
<อืม ผงที่เจ้าคิดไม่มีอยู่ที่นี่หรอก>
เฮ้อ… ทำสโคนแบบไม่มีผงฟูได้ไหมนะ
<ทำไมทำแบบไม่มีล่ะ>
มันไม่มี ก็ต้องทำแบบไม่มีสิ!
<ทำผงที่เจ้าต้องการแล้วค่อยใช้มันก็พอนี่>
…!
อาเซียได้ลิ้มรสความรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงตรงหน้า
ใช่แล้ว จริงด้วย ถ้าไม่มีสิ่งที่ต้องการก็ทำมันขึ้นมาได้!
“อะไร ทำไมจู่ๆ ถึงจ้องฉันล่ะ ยัยหนู”
“ไม่ได้จ้อง กำลังคิดอยู่ ในครัวนี้มีของที่จำเป็นต่อการทำอาหารทุกอย่างจริงหรือเปล่า”
“แน่นอน”
อาเซียตาเป็นประกาย บางทีอาจทำผงฟูขึ้นมาได้จริงๆ ก็ได้
“ยาผงที่กินตอนแสบท้องก็ด้วย?”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก กินยาอะไรตั้งแต่ตอนนี้”
“ฉันไม่ได้จะกิน ถามว่ามีไหมไง”
“…ก็ต้องมีสิ เภสัชกรหลวงไปหามาจากทะเลสาบเวเคล”
พาเวลล์ทำสีหน้าตึงเครียดนิดหน่อยแต่ก็เอาอะไรบางอย่างมาแต่โดยดี จากลิ้นชักโต๊ะขนาดเล็กตัวเก่าของเขาซึ่งตั้งไว้ตรงมุมหนึ่ง ไม่ได้มาจากห้องเก็บวัตถุดิบ
ถุงผ้าขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่บรรจุยาผงไว้
อาเซียเบิกตากว้างแล้วมองถุงยากับพาเวลล์สลับกัน คุณลุงผู้หยาบกระด้างและไม่เกรงกลัวอะไร กลับมียาช่วยบรรเทาอาการแสบกระเพาะและลำไส้อยู่เป็นถุง
ทว่าเรื่องเร่งด่วนในตอนนี้ไม่ใช่อาการตับไตไส้พุงของพาเวลล์แต่เป็นการทำผงฟูต่างหาก
หากดูจากการที่หายาตัวนี้มาจากริมทะเลสาบ อาเซียคิดว่าน่าจะเป็นเบกกิ้งโซดาที่เธอตามหาจริงๆ เบกกิ้งโซดา เมื่อไปเจอกับสิ่งที่มีฤทธิ์เป็นกรด มันจะเกิดฟองพร้อมกับทำให้มีคุณสมบัติเป็นกลาง สมัยก่อนมักถูกใช้เป็นยาลดกรด
อาเซียตักยาผงของพาเวลล์หนึ่งช้อนแล้วเทมันลงในถ้วย จากนั้นก็ใช้นิ้วจิ้มมันเข้าปาก
จริงๆ ก็ไม่ได้คิดว่า พอชิมแล้ว เธอจะรู้ว่านี่คือสิ่งที่ตนเองตามหาหรือเปล่า แต่น่าตกใจที่เธอรับรู้มันได้อย่างชัดเจนในวินาทีที่ผงสัมผัสกับลิ้น
รู้กระทั่งว่ามันถูกผลิตขึ้นที่ทะเลสาบแห่งไหน รสชาติเป็นอย่างไรและออกฤทธิ์อย่างไร
เอ๊ะ?
<อืม นี่เป็นสิ่งที่เจ้าตามหาจริงๆ>
…พอทำพันธสัญญากับเธอแล้ว ฉันเลยรู้สึกถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ
<คิดว่าข้าทำได้แค่นี้หรือไง มากกว่านี้ก็ทำได้ แต่เจ้าทั้งตัวเล็กทั้งอ่อนแอถึงทำได้แค่นี้ยังไงเล่า รู้ซึ้งถึงความยิ่งใหญ่ของตัวข้าผู้นี้หรือยัง>
อาเซียเลือกฟังเพียงเรื่องที่ต้องการจะฟัง ส่วนเรื่องอื่นก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วถามสิ่งที่ตนเองสงสัย
…ว่าแต่ ถ้าทำพันธสัญญาก็ต้องเป็นการแลกเปลี่ยนกันไม่ใช่เหรอ แล้วเธอได้รับอะไรไปจากฉันล่ะ
คิดดูแล้วก็แปลก อาเซียหรี่ตาลง
เธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องการทำพันธสัญญาของดวงวิญญาณจากต้นฉบับอย่างละเอียด แต่หากบอกว่ารับมอบพลังอันแข็งแกร่งขนาดนี้มาแค่ฝ่ายเดียวโดยไม่มีอะไรตอบแทน ไม่รู้ทำไมถึงให้ความรู้สึกเหมือนไม่เท่าเทียมกันเสียเลย
หรือว่า เธอคงไม่ได้ดูดวิญญาณฉันใช่ไหม
ในตอนนั้น อาเซียรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาในใจ
<ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน>
ถ้างั้นคืออะไรล่ะ
น้ำเสียงของพีบีราบเรียบ เป็นน้ำเสียงเหมือนบอกว่าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดเรื่องแบบนี้
<พวกเราทุกคนกำลังใช้ชีวิตไปด้วยกัน แล้วการพูดคุยกันต้องแลกเปลี่ยนอะไรตอบแทนไหมล่ะ>
…!
<ถึงแม้ว่าตอนนี้…ทุกคนจะไม่ได้กำลังสนทนากันเข้าใจอยู่ก็เถอะ>
เป็นคำพูดที่ไม่อาจคิดได้เลยว่าเป็นดวงวิญญาณที่เคยเอาแต่พูดอวดดีในเวลาปกติ เมื่ออาเซียตกใจมากเสียจนได้แต่อ้าปากพะงาบ พีบีจึงเอียงหัว
อาเซียกลัวว่าความตื่นตกใจของเธอตรงนี้จะถูกตีความไปเป็นความประทับใจ เธอจึงกลบเกลื่อนด้วยการบอกว่า ‘อย่างนี้นี่เอง’ จากนั้นก็รีบตั้งสมาธิ
หากทำท่าทางเหมือนประทับใจที่นี่ ท่าทีของพีบีคงจะกลับมาเป็นแบบเดิมไม่ได้
“อะไรกัน เป็นหวัดเหรอ ยัยหนู”
เสียงกระแอมไอของอาเซียเรียกให้พาเวลล์จับจ้องมา อาเซียส่ายหน้า
“ปะ…เปล่า มีอันนั้นด้วยไหม อันที่เป็นเหมือนเม็ดๆ ที่มันจะทิ้งอยู่ตรงก้นขวดไวน์เก่าๆ หลังจากกินหมดแล้ว”
“เอ่อ กรดทาร์ทาริก”
“อื้อ! อันนั้นแหละ!”
คราวนี้พาเวลล์หานานนิดหน่อย พาเวลล์โยนห่อบรรจุผงกรดทาร์ทาริกไปไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วจึงล้างมือที่เปื้อนฝุ่น
“อันนี้ได้ไหม”
“อืม… ก่อนอื่น”
อาเซียทอดสายตามองผงทั้งสองชนิดพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งเครียด
ถ้าผสมผงกรดทาร์ทาริกเข้ากับเบกกิ้งโซดา หรือก็คือยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ในอัตราส่วนที่เหมาะสม มันก็จะมีประสิทธิภาพเหมือนกับผงฟู ปัญหาคือเธอไม่รู้อัตราส่วนที่ถูกต้อง
ในตอนนั้นเอง
<ยาผงอันนี้หนึ่ง ผงกรดทาร์ทาริกสอง>
เสียงของพีบีดังขึ้นในหัวเพื่อบอกอัตราส่วนของผงฟู แถมยังฟังดูภาคภูมิใจใช่ย่อย
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของพีบีโดยมีฉากหลังเป็นเพลงบรรเลงวงออร์เคสตราอันยิ่งใหญ่
พระเจ้าช่วย เจ้านี่เป็นเครื่องแจกจ่ายสูตรขนมของจริงเลยไม่ใช่เหรอ
แม้บอกว่าเป็นดวงวิญญาณแห่งความรู้สึก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีความสามารถถึงขนาดนี้ ทว่าสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่แค่เพียงอัตราส่วนง่ายๆ
เธอสามารถผสมผงกรดทาร์ทาริกกับเบกกิ้งโซดาไว้ด้วยกันได้ แต่ถ้าผงทั้งสองชนิดเกิดปฏิกิริยาต่อกันทั้งที่ยังเป็นผงอยู่ ทุกอย่างก็จะพังไม่เป็นท่า เธอจำเป็นจะต้องมีสิ่งที่ช่วยกันไม่ให้ผงทั้งสองสัมผัสกันโดยตรง
ใช้แป้งได้ไหมนะ
<ถ้างั้นอัตราส่วนก็จะเป็น ผงกรดทาร์ทาริกสอง ยาลดกรดหนึ่ง แป้งหนึ่ง>
ทันทีที่อาเซียบอกให้หยิบแป้ง พาเวลล์ก็ยกกระสอบแป้งข้าวโพดขึ้นมาวางลงดังตึง
อาเซียตักผงกรดทาร์ทาริกสองถ้วย ยาลดกรดหนึ่งถ้วย และแป้งข้าวโพดหนึ่งถ้วย ลงในภาชนะเปล่า จากนั้นก็ปิดฝาแล้วเขย่าให้เข้ากัน
ในที่สุด ผงที่มีสีเข้มไม่เท่ากันก็ผสมกลมกลืนกันโดยสมบูรณ์
“ได้แล้ว”
“นี่อะไร”
“ผงเวทมนตร์หรือเปล่านะ…”
เสียงของอาเซียสั่นเล็กน้อยเพราะเธอได้กลายเป็นผู้คิดค้นผงฟูคนแรกในโลก
โดยที่ทำออกมาได้อย่างไม่ซับซ้อนและง่ายดายถึงขนาดนี้!
“ผงเวทมนตร์งั้นเหรอ”
“สารที่จะทำให้ขนมฟูสวยเวลาทำขนม ต้องตั้งชื่อซะแล้ว”
<ผงพีบี! ผงพีบี!>
พีบีร้องจิ๊บๆ ดังโหวกเหวกภายในหัว อาเซียทำสายตาขุ่นมัว
ตอนตั้งชื่อให้ว่าพีบี ยังโวยวายว่าเอาชื่ออันนั้นมาตั้งได้ไงแท้ๆ…
ทว่าไม่นาน อาเซียก็พยักหน้า ถ้าไม่มีพีบีผู้บอกอัตราส่วนอย่างละเอียดในชั่วพริบตาเดียว เธอก็คงจะทำขนมหลายๆ อย่างล้มเหลว
“ดีล่ะ เรียกอันนี้ว่าผงพีบีกันเถอะ ฉันทำเยอะเลย เผื่อให้พาเวลล์ใช้ด้วย”
“…บอกให้เอาไอ้ผงนี้ที่มีส่วนผสมเป็นยาลดกรดของฉันกับตะกอนก้นขวดเหล้า ใส่เข้าไปตอนทำขนมงั้นเหรอ”
อาเซียหัวเราะก๊าก
“ทำสโคนเหรอ”
พาเวลล์พูดสรุปออกมาหลังจากกวาดตามองดูเนยที่ถูกหั่นเต๋าไว้เป็นชิ้นๆ กับวัตถุดิบรอบๆ บนเคาน์เตอร์หินอ่อนเย็นเฉียบ อาเซียพยักหน้า
“ใส่ชีสกับเบคอนแล้วใช้เสิร์ฟในมื้ออาหารก็น่าจะดีไหม”
“ผงมัสตาร์ดใช้ทำอะไรล่ะ”
ถึงแม้พาเวลล์จะฮัมเพลงว่าตัวเองไม่อบขนม แต่หากเป็นสโคนชิ้นหนาที่ไว้กินแทนอาหาร เขาก็เคยลองอบอยู่บ้าง แต่เวลาทำสโคน เขาไม่เคยคิดจะใช้มัสตาร์ดในรูปแบบผงนี้เลย
“ฉันจะใส่แค่หนึ่งช้อนชา สโคนใส่ชีสกับเบคอนก็จะมันขึ้นไม่ใช่เหรอ ผงมัสตาร์ดจะไปช่วยดูดซับความมันแล้วทำให้รสชาติดีมากยิ่งขึ้น เป็นไง”
“…”
พาเวลล์หรี่ตาลง
ผู้ที่กำลังตัดเนยอย่างเริงร่าพร้อมกับอธิบายสูตรให้เขาฟัง คือเด็กผู้หญิงรูปร่างเล็กกว่าเด็กสิบขวบทั่วไป
“พาเวลล์? น่าจะไม่เวิร์คเหรอ”
เมื่อพาเวลล์ไม่พูดอะไร อาเซียก็หันหน้าไปจ้องมองเขา พาเวลล์ส่ายหน้า
“เปล่า ไม่ใช่ ถ้างั้นใส่เบคอนยังไง ใส่ไปเลย?”
“ไม่ใช่ หั่นแล้วเอาไปผัดก่อน แล้วค่อยใส่ ฉันจะ…”
เธอกำลังจะพูดว่า ‘ฉันจะหั่น ลุงก็ช่วยผัดหน่อยแล้วกัน’ แต่พาเวลล์ก็ดึงเบคอนออกมารวดเดียวสามเส้น ส่วนอีกมือหนึ่งก็กำมีดทำครัวไว้เสียแล้ว พร้อมทั้งหรี่ตาแล้วปราดมองเธอจากหัวจรดเท้าไปด้วย
แววตาของเขากำลังบอกว่า ‘ใช้มีด? เธอเนี่ยนะ?’
“ชิ…”
สุดท้ายพาเวลล์ก็ได้รับหน้าที่หั่นและผัดเบคอนไป
ฝีมือการใช้มีดของพาเวลล์ดูชำนาญ ทั้งยังสละสลวย ในพริบตาเดียว เบคอนก็แปรเปลี่ยนเป็นชิ้นเท่าๆ กันอยู่บนเขียง
อาเซียลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถาม
“…ลุงทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณอะไรเหรอ”
พาเวลล์เหลือบตามองเธอ โดยที่มือก็ยกกระทะขึ้นวางบนเตาไฟ
“ฉันเหรอ กับดวงวิญญาณแห่งดาบ”
“…อย่างนี้นี่เอง”
ไม่นาน ในครัวก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นกับเสียงเบคอนที่ค่อยๆ สุกดังฉ่าบนกระทะ
ในตอนที่อาเซียผสมแป้งกับเนยเย็นๆ เข้าด้วยกันจนเป็นผงร่วนดีแล้ว เธอก็ใส่ชีสขูดฝอยสามชนิด นม และเบคอนที่ผัดแล้วลงไป จากนั้นก็รีดอย่างพอเหมาะแล้วตัดมาซ้อนกัน ทำแบบนั้นสลับกันไปซ้ำๆ
แรงมือของอาเซียมีไม่พอ เมื่อรีดไปได้ครึ่งหนึ่งก็แทบจะร้องไห้ พาเวลล์จึงจิ๊ปากแล้วเข้าไปช่วย
เขาตัดแป้งโดวจ์ให้มีขนาดที่กินกำลังดี ทาไข่แดงด้านบน จากนั้นก็เอาเข้าเตาอบ เป็นอันเสร็จสิ้น
“สโคนอันนี้ก็เพิ่งลองทำเป็นครั้งแรกด้วยหรือเปล่า”
อาเซียเขย่งเท้ามองเทอร์โมมิเตอร์ของเตาอบ จากนั้นจึงพยักหน้า
“บอกว่าตอนนั้นได้จับเนยเป็นครั้งแรกไง”
“…แล้วรู้สูตรนี้ได้ยังไงล่ะ”
“อืม… เห็นในหนังสือน่ะ เห็นในหนังสือแล้วก็อยากลองทำขึ้นมาน่ะสิ”
“…”
เอาแป้งโดวจ์สโคนใส่เตาไปได้ไม่นานเท่าไร กลิ่นหอมกรุ่นก็เริ่มลอยฟุ้งเต็มครัว
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ…”