หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน - ตอนที่ 14
“หืม”
“…หนังสือที่บอกว่าเห็นมา ชื่อว่าอะไร”
อาเซียทำอะไรไม่ถูกไปนิดหน่อยจึงจ้องมองพาเวลล์ จะบอกชื่อหนังสือที่ไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรกได้ยังไง?
“คือ…จำไม่ค่อยได้เลยแฮะ ฉันดูหนังสือเล่มนั้นตั้งแต่เมื่อก่อน…”
พาเวลล์ระเบิดเสียงหัวเราะ
“อะไรนะ เมื่อก่อนเหรอ ตัวก็เล็กแค่นี้”
เธอพูดคำว่า ‘เมื่อก่อน’ ออกมาในร่างของเด็กน้อยที่จะบอกว่าอายุสิบขวบก็ยังเสียดายอายุ หัวหน้าคนครัวก็ดูอายุอยู่ในวัยที่น่าจะมีลูกสาววัยพอๆ กันกับเธอ ในสายตาของเขา พูดแบบนั้นจะน่าขำมากแค่ไหนกัน
อาเซียเองก็รู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อย เธอจึงทำเพียงแค่ขยำปกเสื้ออยู่ และในตอนนั้น
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ดูจากหนังสือเหรอ”
“หือ”
พาเวลล์หรี่ตาลงแล้วพูดขึ้น แต่เธอไม่รู้เลยว่าเขาจะสื่อว่าอย่างไร
ในตอนที่อาเซียเอียงหัวอย่างงุนงงอยู่แบบนั้น เม็ดทรายในนาฬิกาทรายก็ร่วงลงด้านล่างจนหมดพร้อมกับส่งเสียงกระดิ่งใสแหลมดังกังวาน
สโคนอบเสร็จแล้ว
***
ผิวด้านบนเป็นสีเหลืองทอง ส่วนด้านข้างเป็นรอยซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ กลิ่นหอมมันปนเค็มเล็กน้อยโชยออกมาจากสโคนที่ฟูสูงขึ้น
พาเวลล์ตาเหลือกให้กับขนมที่อบออกมาเสร็จสมบูรณ์
“ทำไมมันถึง…”
“ทำไมอะไร?”
อาเซียเงยหน้าขึ้นมองพาเวลล์ จากที่ทอดสายตามองสโคนด้วยความพึงพอใจโดยยังไม่แตะต้องตัวขนมเพราะยังร้อนอยู่
มวลพลังงานสีเหลืองเข้มกำลังกระจายแสงออกมาจากด้านหลังของพาเวลล์อย่างต่อเนื่อง
ดูท่าจะตกใจจริงๆ แฮะ
พาเวลล์หรี่ตาลงแล้วจ้องมองอาเซียกับสโคนสลับกัน
“ทำไมถึงฟูขนาดนี้ทั้งที่ไม่ได้หมักไว้”
“ฉันใส่ไอ้นั่นไง ผงพีบี”’
“นั่นมันผงที่ทำจากยาของฉันนี่!”
“ลุงคิดว่าเป็นยา แต่ก็ยังปล่อยให้ใส่ลงไปในขนมเหรอ”
อาเซียถอนหายใจ ทันใดนั้น พาเวลล์ก็หยิบสโคนขึ้นมาแบ่งครึ่งอย่างฉับพลัน อาเซียตกใจมากจนเบิกตากว้าง
“ลุง มันไม่ร้อนเหรอ”
“ฉันมีประสบการณ์ทำครัวมาตั้งกี่ปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมเจ้านี่มันถึงฟูขนาดนี้กันแน่”
“ฉันก็บอกอยู่ว่าใส่ผงที่ทำให้ขนมฟูเข้าไป ทีนี้หยุดถามได้หรือยัง”
สโคนมีชีส เบคอน และเนื้อสัมผัสของเนยผสมเข้ากันอย่างสวยงาม เบคอนสีน้ำตาลฝังอยู่ในเนื้อสโคนสีเหลืองทองแล้วส่งกลิ่นมากระตุ้นจมูก
พาเวลล์กัดสโคนเข้าปากหนึ่งคำราวกับไม่สามารถเอาชนะความเย้ายวนนี้ได้
“ลุง ไม่ร้อนจริงๆ เหรอ”
“…”
พาเวลล์ไม่ตอบ ส่วนอาเซียก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
มวลพลังงานสีส้มกับสีเหลืองสว่างไสวเปล่งแสงออกมารายล้อมตัวของพาเวลล์ราวกับจะระเบิด
พาเวลล์กำลังดำดิ่งอยู่ในสุนทรียภาพของสโคนและหลงลืมสิ่งที่จะพูดไปหมดสิ้น
ความเต็มปากเต็มคำของเนย และกลิ่นกับรสหอมมันของชีสสามชนิดที่แทรกอยู่ในนั้น ผสมเข้าด้วยกันอย่างกลมกล่อม
ทว่าทั้งเนยทั้งชีสต่างก็ทำมาจากนม เพราะอย่างนั้น ก่อนที่จะเอียนไปกับรสสัมผัสของสิ่งที่ทำมาจากวัตถุดิบเดียวกัน เบคอนหั่นชิ้นที่ผ่านกรรมวิธีอย่างดีก็ทำให้เกิดรสชาติหลากหลายในคำเดียว ทั้งยังเหมือนกับปรุงรสชาติให้พอดีไปในตัว
และก่อนที่ส่วนผสมมันเลี่ยนจะเคลือบลิ้น กลิ่นเผ็ดขึ้นจมูกเล็กน้อยก็ช่วยดึงรสชาติไม่ให้รู้สึกเลี่ยนไปกับสโคนชิ้นนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้สามารถกินต่อได้ไม่รู้เบื่อ เป็นผลลัพธ์จากการใส่ผงมัสตาร์ดลงไปหนึ่งช้อนชาพอดิบพอดี
“ลุง ไม่ลวกลิ้นเหรอ”
อาเซียโพล่งขึ้นด้วยความเป็นห่วงอย่างเปิดเผย พาเวลล์ก้มลงมองอาเซียอย่างใจลอยแล้วถอนหายใจออกมา
“ไม่ลวก…”
ตอนนั้นอาเซียจึงยื่นมือไปหาพาเวลล์ พาเวลล์ส่งสโคนที่แบ่งไว้ครึ่งหนึ่งให้เธอ
เมื่อลองชิมหนึ่งคำ เธอก็รับรู้ถึงรสชาติที่สมกับทำให้พาเวลล์ประทับใจ
สโคนมีรสชาติหอมมันปนเค็มนิดๆ ความมันนั้นให้รสกลมกล่อมค้างในปาก แล้วเมื่อกลืนลงไปก็จะหมดคำด้วยรสชาติลึกล้ำและสมบูรณ์แบบ
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันออกจะ… อร่อยมากๆ เลยนะ
ที่รู้สึกแบบนั้นเพราะทำมันด้วยตัวเองหรือเปล่า ทั้งเค้กช็อกโกแลตลาวาครั้งก่อน ซึ่งตอนนี้ตั้งชื่อให้เป็นเค้กช็อกโกแลตของอาเซียแล้ว ทั้งบราวนี ต่างก็ให้ความรู้สึกแบบนี้ทั้งนั้น
อาเซียเอียงหัวแล้วพูดต่อ
“ตอนทำคราวหน้าต้องลดผงพีบีลงหน่อย เอาเป็นประมาณหนึ่งช้อนชา รู้สึกเหมือนมีรสขมปลายนิดๆ”
“อันนั้นก็รู้สึก… ไม่สิ ถ้าใส่ลงไปแค่นิดเดียว… ถึงไม่หมักไว้ก็จะฟูขนาดนี้หรือเปล่า”
พาเวลล์มองขวดบรรจุผงพีบีกับอาเซียสลับกันด้วยสีหน้าเหมือนอัศจรรย์ใจ
จู่ๆ อาเซียก็เอียงหัว จากที่กำลังซาบซึ้งในรสชาติอยู่คนเดียวเพราะสโคนที่ทำเป็นครั้งแรกอร่อยจนเกินจะบอกว่าพอใจขึ้นไปอีก
หระ หรือว่านี่ก็…
พาเวลล์คือหัวหน้าคนครัวประจำราชวงศ์ ทั้งยังรับผิดชอบดูแลครัวขององค์รัชทายาทเพียงลำพังอีกด้วย
ในฐานะคนทำอาหาร ต่อให้ไม่ใหญ่เท่าหัวหน้าคนครัวประจำองค์จักรพรรดิ แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ประสบความเป็นอันดับสองในพระราชอาณาจักร
แม้บอกว่าสุดท้ายแล้ว ในพระราชวังขององค์จักรพรรดิผู้จิตใจเย็นชาแห่งนี้ คนอื่นนอกเหนือจากองค์จักรพรรดิก็ไม่มีความหมายอะไรเลยก็เถอะ
แต่ไม่ว่าอย่างไร แรกเริ่มเดิมที ราชวงศ์ก็เดินอยู่บนเส้นทางแห่งความก้าวหน้าสูงสุดของอารยธรรมทุกอย่างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
แล้วการที่พาเวลล์คนนั้นรู้สึกอัศจรรย์ใจขนาดนี้ พูดอีกอย่างก็…
ในหัวของอาเซียมีพวกตาราง กราฟ และตัวเลข แวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ยัยเด็กจิ๋ว คิดอะไรอยู่”
“อ๋อ… อันนี้ คิดว่าจะห่อสโคนอันนี้ยังไงดี ต้องห่อแยกเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไป…”
“ทำไม จะเอาไปให้ใครหรือไง”
“อื้อ ให้ลูกพี่ลูกน้องน่ะ ถึงไม่รู้ว่านี่จะได้ผลไหมก็เถอะ”
คำพูดนั้นทำให้พาเวลล์เอากระดาษบางๆ มาจัดการห่อสโคนทีละชิ้นพร้อมกับเอียงหัวไปด้วย
“ลูกพี่ลูกน้องเหรอ เธอมีญาติด้วยเหรอยัยหนู ได้ผลนี่หมายถึงอะไรได้ผลล่ะ”
“อื้อ ฉันมาที่วังครั้งนี้แล้วเพิ่งได้เจอกันครั้งแรก แต่ลูกพี่ลูกน้องดูเหมือนไม่ชอบฉันมากๆ เลยน่ะสิ…”
พาเวลล์หรี่ตาลงพลางถามต่อ
“แล้วจะทำอะไรยังไงกับลูกพี่ลูกน้องคนนั้นล่ะ”
“กะว่าจะทำขนมอร่อยๆ แล้วเอาไปให้กิน”
เธอได้ไอเดียนี้มาจากดิมิทรี
ดิมิทรีคนนั้นดูจงเกลียดจงชังเธอมากยิ่งกว่าอเล็กเซย์ แต่เมื่อได้กินขนมของเธอเข้าไปคำหนึ่งก็ยังสงบลงเลยนี่นา
เด็กน้อยที่ไม่ชอบเธอชนิดที่ยากจะทนไหว เมื่ออยู่ต่อหน้าของว่างที่ดูน่าอร่อย ก็ยังปล่อยมวลพลังงานที่เหมือนกับดอกไม้ไฟออกมาด้านหลังพร้อมทั้งนิ่งเงียบไป
แผนการของอาเซียคือทำให้อเล็กเซย์ได้กินขนมอร่อยๆ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็ตาม แล้วทำให้บรรยากาศดุดันรอบตัวเขาอ่อนลงอีกสักหน่อย เพราะของหวานจะทำให้คนเราอารมณ์ดีอย่างไรล่ะ!
“ฮ่าๆๆๆ! เป็นคำตอบที่ถูกต้อง ถ้าเด็กๆ ได้กินของอร่อยก็จะยอมทุกอย่างนั่นแหละ”
“ไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้นสักหน่อย เขาโตมาโดยที่ได้กินแต่ของดีสุดยอดมาตลอดชีวิต ให้กินขนมฝึกทำแล้วจะได้ผลเหรอ”
“ลูกพี่ลูกน้องโตมาโดยที่กินแต่ของดีๆ นี่ แล้วยัยเด็กจิ๋ว…”
พาเวลล์โพล่งขึ้นมางึมงำๆ แต่แล้วก็รีบปิดปากเงียบ เขาโบกมือหวิวๆ ด้วยใบหน้าตื่นตระหนกแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“แบบว่า… อะไรดีล่ะ อันนี้อร่อย อร่อยจริงๆ”
“จริงเหรอ”
อาเซียเบิกตากว้างเป็นประกาย พาเวลล์กระแอมดังอะฮึ่มพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นก็ยื่นสโคนที่ห่อแล้วให้เธอ
“ต่อให้โตมาแบบกินแต่ของดีแค่ไหนก็เถอะ ของอร่อยก็ยังเป็นของอร่อยอยู่วันยังค่ำ แล้วอันนี้ก็ แบบ จะว่ายังไงดี อร่อยสุด… ไม่เลว…”
พาเวลล์พึมพำสลับกับกระแอมออกมา แล้วพูดต่อว่ามันเป็นสโคนที่รสชาติยอดเยี่ยมมาก
ในตอนนั้น เสียงระฆังก็ดังขึ้นจากไกลๆ ระฆังบอกให้รู้ว่าเป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว อาเซียจัดแจงเอาสโคนไปในชั่วพริบตาเดียวแล้วให้ชิ้นที่เหลืออยู่เป็นหน้าที่ของพาเวลล์
“ห้าโมงแล้ว! พาเวลล์ ฉันไปก่อนนะ! สโคนที่เหลือ ลุงกินไปเลย!”
***
อาเซียออกมาจากครัวแล้วตรงกลับไปห้องตัวเองทันที ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังห้องของอเล็กเซย์
จริงๆ แล้ว ตอนนี้มีอยู่อย่างหนึ่งที่ยึดครองพื้นที่ความคิดของเธอไปจนหมด ยิ่งกว่าเรื่องของอเล็กเซย์เสียอีก
ผงพีบี!
ในสถานที่ที่ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าเบคกิ้งโซดาอย่างถ่องแท้ หากมีผงฟูซึ่งใช้ง่ายยิ่งกว่าโผล่มา นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารเลย
มันจะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนน่ากลัวแน่ๆ
ทว่าถ้าขายผงพีบีไปได้อย่างน่ากลัว เธอก็ต้องตั้งเงื่อนไขต่อการผลิตในปริมาณอันน่าสะพรึงกลัวนั้น
และถ้าจะผลิตมันออกมาในปริมาณที่น่าสะพรึงกลัว ก็จำเป็นจะต้องมีเงินในจำนวนที่น่าสะพรึงกลัวก่อนเช่นกัน
เงิน
ก่อนอื่น ถ้าแจกจ่ายตัวอย่างสินค้าผ่านทางลุงหัวหน้าคนครัว ข่าวลือก็จะแพร่กระจายออกไป ตอนแรกทำออกมาน้อยๆ ก่อนแล้วขายแพงๆ… และถ้าตั้งใจจะ… ผลิตในปริมาณมหาศาล… ก็ต้องสร้างโรงงานหรือเปล่า
อาเซียคิดคำโฆษณาอย่างเช่น ‘หัวหน้าคนครัวประจำราชวงศ์เองก็ยังใช้’ หรือ ‘ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าคนครัวประจำราชวงศ์’ พร้อมกับก้มตัวลงไปใต้เตียง
เธอเอากล่องที่เก็บรวบรวมกระดุมอัญมณีออกมาเปิดดู
กรุ๊งกริ๊ง!
กระดุมที่มีอยู่ไม่กี่เม็ดกลิ้งไปมาในกล่อง
…ยังไงดี…ลองตั้งใจหาเงินที่พระราชวังต่ออีกสักหน่อยดีไหมนะ
กระดุมไม่กี่เม็ดดูไร้ค่าไปเลยเมื่อคิดจะทำธุรกิจ อาเซียรู้สึกเหมือนมันกำลังหัวเราะเยาะเธออยู่
จำนวนแค่นี้ยังไม่สามารถหารถม้านั่งไปจนถึงบ้านด้วยซ้ำ
อาเซียปิดปากเล็กๆ ของตัวเองสนิทแล้วจ้องกระดุมพวกนั้นเขม็ง
เงิน! เหรียญทองคำ! บ้านใหม่!
ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว ไหนๆ ก็ได้อยู่ในวังต่อ ถึงจะไม่รู้เหตุผลก็เถอะ
เพราะฉะนั้นในระหว่างอยู่ที่นี่ก็อบขนมแล้วหาทุนขายผงพีบีด้วยวิธีไหนสักทาง จากนั้นพอได้เงินพอจะสร้างบ้านที่ทัดเทียมคนอื่นเขาได้แล้วก็…
แค่เพียงมีเงิน
อาเซียในวัยเด็กไม่มีเพื่อนเลย
แม้ยูเลียจะออกไปหาทำงานหมดทุกวิถีทางแล้วก็ตาม แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้ความปรานีเป็นประจำว่าไม่มีงานที่จะจัดสรรให้ ‘คุณชายในตระกูลสูงส่ง’
สุดท้ายเขาจึงทำได้เพียงแค่วาดรูปออกไปขายยังตลาดที่อยู่ห่างไกลในราคาถูกแสนถูก
แม่ของเธอ อิริน่าสอนเพลงดาบให้กับเด็กๆ ในละแวกใกล้เคียง แต่ก็ต้องฟังคนอื่นพูดว่า ‘ดูแลลูกๆ ของเพื่อนบ้านกันเองแท้ๆ แต่จำเป็นจะต้องเก็บเงินด้วยเหรอ’ อยู่ร่ำไป
พ่อแม่นำทุกอย่างที่มีไปขายจนหมดเพื่อเอาเงินมาซื้ออาหารให้เธอกิน ซื้อเสื้อผ้าให้เธอใส่อย่างยากลำบาก กระนั้นก็ยังเก็บเงินเพื่อเรียกนักดนตรีมาร้องเล่นให้ฟังทั้งที่การเป็นอยู่ขัดสน
รูปแบบการใช้ชีวิตของบิดามารดาผู้โหยหาสิ่งปลอบประโลมใจด้วยการบรรเลงดนตรีเล็กๆ น้อยๆ แม้ใช้ชีวิตอย่างอัตคัด กลับสะท้อนให้เห็นเป็น ‘ความแปลกแยกอันแสนโง่เขลา’ ส่งผลให้พวกเพื่อนบ้านพากันไม่ยอมรับไปด้วย
พอลองคิดดู อาเซียก็พลอยห่างเหินจากเพื่อนๆ วัยเดียวกันไปเองโดยธรรมชาติ
พ่อแม่ของเพื่อนๆ รอบตัวต่างห้ามปรามลูกของตัวเองว่าสนิทกับอาเซียไปก็เปล่าประโยชน์ ทุกคนต่างหลีกหนีเด็กผู้หญิงวัยเยาว์ที่ไม่รู้เลยว่าจะต้องจัดหมวดหมู่ให้ตัวเองเป็นสามัญชนหรือชนชั้นสูง
ถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนวัยเดียวกันที่น่าจะคุยกันไม่เข้าใจนัก อาเซียจึงไม่ได้รู้สึกอะไรสักเท่าไร แต่ยูเลียกับอิริน่ากลับเจ็บปวดใจเกินบรรยาย
ทั้งที่ไม่เสียกำลังใจต่อความแร้นแค้นและความยากลำบาก แต่เพียงแค่ไม่สามารถหาเพื่อนให้อาเซียได้ ทั้งสองคนก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากแล้ว
ถ้ามีบ้านที่มั่นคงและมีเงินพอใช้มากขึ้น ผู้คนรอบข้างก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกใช่ไหม ถ้างั้นแม่กับพ่อก็คงจะไม่กังวลโดยไม่จำเป็นแล้ว
จากนั้นถ้ามีเงินเพิ่มอีกสักหน่อย บางทีตอนนั้นก็อาจเปิดร้านขนมหวานได้จริงๆ…
อาเซียคิดไปถึงตรงนั้นแล้วรีบสะบัดหัว
เธอไม่สามารถพยายามอย่างไร้ประโยชน์โดยการชิงลงมือทำไปก่อน
ต่อให้บอกว่าตั้งใจจะลองทำอะไรบางอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงินลงทุนกับโอกาส เธอก็หมดสิ้นหนทาง
ถ้าตั้งใจจะทำแบบนั้นก็ต้องปรับตัวให้ชินกับการอยู่ในวังอย่างเต็มที่เป็นอย่างแรง
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญตอนนี้ก็คืออเล็กเซย์
อาเซียทำใจให้สงบแล้วหยิบสโคนมาถือไว้ แม้เป็นการฝันเฟื่องแต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะฝันได้ ตอนนี้ยังอีกยาวนานกว่าเธอจะได้ออกจากพระราชวังไปในสักวัน เพราะอย่างนั้น การกระชับความสัมพันธ์กับลูกพี่ลูกน้องจึงเป็นงานเร่งด่วนกว่าสิ่งอื่นใด