หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน - ตอนที่ 17
***
วันเวลาผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ที่อาเซียเฝ้าดูอเล็กเซย์ฝึกซ้อมธนูกับดาบ
มหาดเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอตรงริมหน้าต่าง เพื่อบอกต่อคำพูดของอเล็กเซย์ที่บอกให้ลงมาดูข้างล่างก็ได้
อาเซียลงไปที่ลานด้านล่างแล้วนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ด้านข้างอเล็กเซย์ เมื่อเธอมองดูอเล็กเซย์ยิงธนูอยู่เฉยๆ อเล็กเซย์ซึ่งยิงธนูไปประมาณสี่ดอกก็หันมามองเธอ
อาเซียไล่ตามอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ ทั้งยังเอาขนมให้กินในช่วงไม่กี่วันมานี้ ใบหน้าของอเล็กเซย์ที่เคยดูเหมือนจะซีดเซียวอยู่นิดๆ ตลอดเวลาก็ดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง
“เธอก็ลองยิงดูไหม”
“อืม… ค่ะ!”
อาเซียลังเลนิดหน่อยแล้วจึงพยักหน้า
แต่อาเซียยิงธนูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย สุดท้ายการทดลองยิงธนูก็ล่มไม่เป็นท่า
“คงเพราะเธอยังตัวเล็กมาก”
“เดี๋ยวฉันก็โตค่ะ!”
“ตอนนี้เธอตัวเท่าถั่วลันเตา พรุ่งนี้เธอน่าจะตัวเท่าถั่วแขกหรือเปล่า”
“อโลเซีย!”
ถึงแม้อาเซียจะตะโกนเรียกชื่อเขา แต่อเล็กเซย์ยิ้มนิดๆ จากนั้นจึงยิงธนูเพิ่มอีกสองสามดอกราวกับล้อเลียนเธอ
…ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้
อาเซียอดทนไม่ถอนหายใจออกมา
ความสัมพันธ์ของเธอกับอเล็กเซย์ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยสักนิดเดียวว่าอเล็กเซย์มีนิสัยขี้เล่นขนาดนี้
ในขณะที่อาเซียวุ่นวายใจอยู่คนเดียว อเล็กเซย์ก็หันมามองเธอ สีหน้าของเขาแปลกไปนิดหน่อย
“วังหลวงน่ะอบอุ่นตลอดทั้งปี เพราะฉันทำพันธสัญญากับมังกรไฟฟาฟเนียร์”
“อะ… ค่ะ!”
อาเซียรู้สึกประหลาดใจกับหัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แต่ถึงอย่างนั้นก็พยักหน้า มันเป็นเรื่องที่เธอรู้อยู่แล้ว ในพระราชวังมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่ององค์รัชทายาทอเล็กเซย์กันอย่างแพร่หลาย จนเธอซึ่งน่าจะเด็กที่สุดในนี้ก็ยังได้ยิน
ทว่า ยิ่งไปกว่าข่าวลือและการพูดคุยถึงเรื่องแบบนั้น…
เมื่อเผชิญหน้ากับอเล็กเซย์ เงาของประกายไฟที่เห็นรอบกายเขาเป็นครั้งคราว คือสิ่งที่ทำให้เธอคิดทบทวนถึงข้อเท็จจริงนั้นมากกว่า
“เพราะฉะนั้น ยิ่งเธอเข้าใกล้ฉันมากเท่าไหร่ ความร้อนก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น… แต่ต่อให้เธออยู่ใกล้ๆ ก็ดูจะไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นสินะ”
คำพูดนั้นทำให้อาเซียรู้สึกเหมือนกับว่าเก้าอี้ที่เคยอยู่นิ่งๆ มันสะเทือนขึ้นมาอย่างไร้ประโยชน์
<แหงสิ! เด็กไม่รู้ความอย่างฟาฟเนียร์จะหาญกล้ามาประชิดตัวข้าได้ยังไง!>
เธออยู่เงียบๆ เถอะขอร้อง!
อาเซียกลืนน้ำลายอึกใหญ่
การที่เธอไม่ได้รับผลกระทบจากพลังของฟาฟเนียร์ พูดได้อย่างเดียวว่าเป็นเพราะดวงวิญญาณของเธอครอบครองพลังที่แข็งแกร่งกว่า
และราชอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรไร้สติปัญญา ที่แต่งตั้งผู้สืบราชสันตติวงศ์ด้วยพลังของดวงวิญญาณเพียงอย่างเดียว
อาเซียคิดจนหัวหมุนติ้วๆ แล้วเค้นคำตอบออกมาได้อย่างลำบากยากเย็น
“ปกติ! ปกติแล้วไม่ได้โจมตีคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันนี่คะ”
“…อะไรนะ”
ลูกธนูของอเล็กเซย์ลอยหวิวพลาดเป้าไปโดยสิ้นเชิง โดยไม่เฉียดแม้แต่ขอบเป้า
มหาดเล็กผู้รับหน้าที่ดูแลเป้ายิง มองดูจากที่ไกลๆ ด้วยความตกใจแล้วจึงวิ่งไปเก็บลูกศร เขาวิ่งห่างออกไปจนเห็นเป็นเหมือนจุดเล็กๆ
“อโลเซียไม่เคยอ่านนิยายสินะ เพราะมัวแต่อ่านหนังสือเรียนอย่างเดียว”
“…”
“ไม่ว่าพ่อมดจะใช้พลังเวทยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม คนที่โดนเล่นงานก็เป็นฝ่ายศัตรูเสมอเลยไม่ใช่เหรอคะ เดิมทีเวทมนตร์ไม่โจมตีคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันหรอกนะคะ”
“…”
อเล็กเซย์ปิดปากสนิท
อาเซียตอบกลับไปอย่างกล้าหาญแล้วจึงสังเกตท่าทีของอเล็กเซย์อย่างระมัดระวัง สุดท้ายเธอก็ต้องดีดตัวลุกพรวดขึ้นเพราะตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเห็น
แม้เบาบางราวกับถูกสะกดกลั้นไว้ แต่สีที่คล้ายคลึงกับดอกซากุระก็กำลังส่องสว่างออกมารอบตัวของอเล็กเซย์ สีหน้าของอาเซียสดใสขึ้น
“ยิ้มแล้ว! เมื่อกี้อโลเซียยิ้มใช่ไหม!”
“ก็ยิ้ม…อยู่ตลอดนี่”
“บอกแล้วว่าไม่ใช่ไงคะ ไม่ใช่แบบนั้นแต่เป็นรอยยิ้มจริงๆ! เป็นครั้งแรกเลยนะที่ยิ้มให้ฉัน!”
“…ไม่ใช่สักหน่อย”
“ไม่ใช่อะไรกัน เมื่อกี้ยิ้มจริงๆ นี่คะ ปากเป็นแบบนั้นเลยนี่คะ มุมปากยกขึ้นนิดๆ เลยนี่คะ”
อาเซียกำปลายแขนเสื้อของอเล็กเซย์แล้วเขย่า สีหน้าของอเล็กเซย์ตึงเครียดขึ้น
“บอกแล้วไงว่าฉันยิ้มให้เธออยู่ตลอด”
“โกหก~! ป่านนี้แล้วยังจะโกหกอีก”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงล่ะ!”
แล้วอเล็กเซย์ก็ผลักอาเซียออกในเวลาเดียวกันกับที่พูดแบบนั้น
พูดให้ถูกคือ อเล็กเซย์เพียงแค่สลัดแขนเสื้อของเขาให้หลุดจากการเกาะกุมของอาเซีย แต่อาเซียผู้ถูกสลัดออกอย่างกะทันหันกลับก้าวเท้าผิดจังหวะจนซวนเซแล้วก้นจ้ำเบ้าไปในที่สุด
“อูยยย”
อาเซียล้มฮวบลงกับพื้นแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าของอเล็กเซย์กำลังบูดเบี้ยว
ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองหยอกเขามากไปก็เลยโกรธหรือเปล่า แต่ใบหน้าแข็งทื่อของอเล็กเซย์กลับดูไม่เหมือนกำลังโมโห ฝ่ายที่ถูกผลักคือฝ่ายนี้แท้ๆ แต่อเล็กเซย์ดันมีท่าทีเหมือนตัวเองถูกมีดแทง
แล้วในที่สุด อาเซียก็รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของมวลบรรยากาศนั้น
แสงสีน้ำเงินเข้มที่แผ่กระจายรอบตัวอีกคนคือความหวาดกลัว
ความหวาดกลัวในอะไรบางอย่างจนไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร
“อโล…เซีย? โกรธเหรอคะ ขอโทษนะคะ ฉันหยอกแรง…”
“ไม่ได้โกรธ ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ ฉันตกใจมากไปหน่อย”
อเล็กเซย์ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างมากขึ้นเล็กน้อย อาเซียกะพริบตาปริบๆ
ตอนแรกอเล็กเซย์ทำท่าจะช่วยจับอาเซียลุกขึ้น แต่เขาก็ชะงักแล้วดึงมือกลับไป จากนั้นก็ส่งสายตาไปหามหาดเล็ก
มหาดเล็กเห็นสายตาของอเล็กเซย์จึงประคองอาเซียขึ้นแทน
อาเซียรู้สึกกระอักกระอ่วนแต่ก็ยังพูดขอโทษอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉัน…ฉันก็น่าจะเล่นหนักเกินไปค่ะ อโลเซียจะโมโหใส่ก็ไม่…”
อเล็กเซย์หลุบตาลง จากที่ทอดสายตามองอาเซียลุกขึ้นยืนเต็มตัวอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง
“ฉันโมโหใส่ใครไม่ได้หรอก”
จากนั้น มวลแสงรอบตัวอเล็กเซย์ก็เริ่มจืดจางลงช้าๆ จนเปลี่ยนไปไร้สีสัน คำพูดแบบนั้นของอเล็กเซย์คล้ายกับการบอกให้รู้มากกว่าการปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง
ในขณะที่อาเซียได้แต่กะพริบตาด้วยความงุนงง อเล็กเซย์ก็ทำท่าจะหมุนตัวไป แต่อาเซียรีบรั้งเขาไว้
“อโลเซีย! อโลเซีย หมายความว่ายังไงคะ บอกว่าโมโหใส่ใครไม่ได้งั้นเหรอ”
“…ตามที่พูดนั่นแหละ เพราะฉันโมโหใส่ใครไม่ได้ เมื่อกี้ก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ตั้งใจจะผลักเธอ แต่ก็ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้บาดเจ็บ”
น้ำเสียงของอเล็กเซย์นุ่มนวล เป็นความนุ่มนวลที่ทำให้อะไรหลายๆ อย่างผ่อนคลายลง
“ทำไมถึงห้ามโมโหใส่ใครล่ะคะ”
“…”
อเล็กเซย์ทำสีหน้าเหมือนเหนื่อยล้ากับบทสนทนานี้นิดหน่อยแล้ว
ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่ สุดท้ายอเล็กเซย์ก็ยืนอยู่ใต้ร่มเงาของระเบียงโดยทิ้งระยะห่างกับมหาดเล็ก
ดวงอาทิตย์ยามเช้าลอยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสงแดดจ้าสาดส่องเส้นผมสีทองของอเล็กเซย์ให้สะท้อนเป็นสีขาว
“ฉันทำพันธสัญญากับมังกรไฟฟาฟเนียร์ เจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งอัคคี… แต่พลังยังไม่เสถียร”
อาเซียปิดปากเงียบลงทันควัน
ที่ผ่านมา อาเซียหลงลืมไปชั่วขณะเพราะมัวแต่กังวลเรื่องที่อเล็กเซย์กับคาร์โนจะสร้างปัญหาให้เธอในวันข้างหน้า
ราชวงศ์ได้ตามหาผู้ที่มีพลังแห่งความมั่นคง เพื่อควบคุมพลังอันไม่เสถียรขององค์ชายรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวแห่งราชอาณาจักร
แทบพลิกแผ่นดินราชอาณาจักรเพื่อค้นหา แล้วในที่สุดก็พบเด็กสาวสามัญชนผู้ครอบครองพลังนั้น ซึ่งเด็กสาวก็คือนางเอกในต้นฉบับเรื่องนี้
“จักรพรรดิผู้มีเมตตาและปรีชาสามารถ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องมีจิตใจที่ใสบริสุทธิ์เหมือนกระจกและสงบนิ่งเหมือนน้ำ สำหรับฉัน นั่นเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งกว่าความสามารถในการเป็นจักรพรรดิที่ดี… เป็นปัญหาในเรื่องคุณสมบัติ”
อาเซียนึกถึงอเล็กเซย์ที่เธอเคยเฝ้าดูในช่วงที่ผ่านมา
อารมณ์ความรู้สึกของเขาไร้ซึ่งความสูงต่ำ อเล็กเซย์ผู้เป็นเหมือนกับผิวน้ำที่ทุกสิ่งทุกอย่างสงบนิ่งไม่ไหวติง อเล็กเซย์ผู้วาดรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าเสมอ
อเล็กเซย์ทอดสายตามองเธอ เงาปกคลุมลงมาบริเวณดวงตาของเขา
เขาดูเหมือนหนักใจว่าจะพูดหรือไม่พูดดี ทั้งยังดูเหมือนไม่เชื่อว่าเธอจะเข้าใจนัก แต่จากนั้นเขาก็ยิ้มบางๆ พร้อมพูดขึ้น
“…อนาสตาเซีย จริงๆ แล้วการครอบครองพลังของฟาฟเนียร์มันเกินกำลังฉัน ตอนนี้ก็เป็นเพราะควบคุมพลังไม่ได้ ความร้อนถึงแผ่ซ่านออกมารอบตัวแบบนี้ ถ้าจิตใจของฉันถึงกับสั่นคลอนไปด้วย ฉันก็ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
อเล็กเซย์พูดจบลงตรงนั้นพร้อมบอกขอโทษเธออีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังไป อาเซียไม่กล้าที่จะรั้งเข้าไว้
พวกมหาดเล็กทำอะไรไม่ถูกแล้วจึงไล่ตามอเล็กเซย์ไป มีเพียงมหาดเล็กที่ไปเก็บลูกธนูกลับมาจากไกลๆ เท่านั้นที่กำลังทำสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกกับสถานการณ์ที่ตนเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย
<จึ๊ๆ พวกมนุษย์แสนโง่เขลา>
อาเซียไม่สามารถละสายตาออกจากแผ่นหลังของอเล็กเซย์ที่ห่างออกไปได้ แล้วชั่วขณะหนึ่ง ลายนกที่สลักไว้บนกระดุมของเธอก็เด่นชัดขึ้นมานิดหน่อย
อาเซียคว้ากระดุมชุดเดรสด้วยการเคลื่อนไหวอันฉับไวจนเกิดเสียงแหวกอากาศ จากนั้นก็คู้ตัวลงในมุมๆ หนึ่ง
“เรื่องนั้นจริงหรือเปล่า ต้องทำแบบนั้นเหรอ มันเข้าท่าเหรอ ที่ต้องห้ามโมโห ห้ามหัวเราะ ห้ามร้องไห้ เพื่อจะควบคุมพลังของฟาฟเนียร์น่ะ”
เจ้านกโผล่ออกมาจากกระดุมแล้วร้องจิ๊บๆ
<แน่นอนว่าต้องไม่เข้าท่าอยู่แล้วสิ ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าที่ความร้อนแผ่ออกมาเป็นเพราะเจ้าฟาฟเนียร์ตื่นเต้นไง ถ้าอายุสักยี่สิบปีก็น่าจะควบคุมได้ไปตามธรรมชาติเอง>
จู่ๆ อาเซียก็นึกถึงคำพูดของคิริล
‘อีกไม่นาน หากทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ตอนกลางคืนก็น่าจะไม่มีใครสามารถเข้าประชิดตัวได้พ่ะย่ะค่ะ’
ถึงแม้ว่านั่นจะไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ก็เถอะ
“เฮ้อ… แต่ก็มีกรณีที่คุมไม่อยู่จริงๆ นี่…”
อาเซียพยายามคิด อเล็กเซย์เคยคุมพลังไม่อยู่จริงๆ มาแล้ว เพราะอย่างนั้นจึงพยายามตามหาคนที่มีพลังแห่งความมั่นคง แบบแทบจะปัดกระทั่งเม็ดทรายในราชอาจักรออกดูทีละเม็ดเลยทีเดียว
เมื่อได้รู้สาเหตุของดวงตาเยือกเย็น รอยยิ้มเย็นชา และการหยอกล้อที่เว้นระยะห่างของอเล็กเซย์ ไม่รู้ทำไม อาเซียจึงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก
“นั่นแค่เพราะว่าฟาฟเนียร์ตื่นเต้นเหรอ”
<ใช่สิ>
“ถ้างั้นที่อโลเซีย…ทำแบบนั้นล่ะ ที่บอกว่าห้ามร้องไห้ ห้ามหัวเราะ ทำแบบนั้นแล้วมันมีประโยชน์ยังไง”
<ถ้าพลังของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น จะสามารถใช้พลังของดวงวิญญาณได้ดีขึ้นก็จริง แต่ข้าไม่แน่ใจนักหรอกว่าทำแบบนั้นแล้วมีประโยชน์หรือเปล่า มหาดวงวิญญาณผู้นี้จะไปรู้ซึ้งถึงจิตใจของมนุษย์โง่เขลาที่ทำเรื่องไม่มีประโยชน์สักอย่างได้ยังไงล่ะ ดูท่าว่าคงเป็นการปลอบใจตัวเองแบบง่ายๆ น่ะสิ>
“เรื่องแบบนี้… แบบนี้…”
อาเซียอยากด่า แต่ก็ไม่เคยเรียนรู้คำด่ามา จึงไม่สามารถโพล่งอะไรออกจากปากได้
อาเซียขยำชายกระโปรงจนมันยับยู่ยี่ไปหมดแล้วกระทืบเท้า
นี่มันเข้าท่าหรือไง ตำหนิคนอื่นเขาแบบนี้แล้วยังจะบอกว่าทั้งหมดนั่นคือการพยายามโดยเปล่าประโยชน์อีกเหรอ ชวนไปตามหาคนเดี๋ยวนี้เลยดีไหม นางเอกชื่ออะไรแล้วนะ
เพราะเป็นเนื้อเรื่องที่เธอได้อ่าน หรืออาจจะได้ดู เมื่อนานมากๆ แล้ว กระทั่งชื่อของนางเอกก็ยังเลือนราง เธอจึงหมดสิ้นหนทางจะตามหา
“ทำไมฟาฟเนียร์ถึงไม่บอกเรื่องนั้นกับอเล็กเซย์กันแน่”
<ข้าจะไปรู้ได้ยังไงเล่า การที่มนุษย์แสนโง่เขลายังไม่พูดคุยกับดวงวิญญาณของตัวเอง ก็คงเพราะไม่มีความสามารถอย่างแท้จริง หรือไม่ก็ไม่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่นั่นแหละ>
“ไม่สิ ฟาฟเนียร์พูดกับอโลเซียก่อนก็ได้นี่!”
<จะปรากฏตัวยังไง แล้วจะพูดอะไรกับคนที่ไม่ฟังล่ะ>
“นั่นก็คงเป็นเพราะไม่มีความสามารถน่ะสิ! มีใครที่ไหนที่ไม่อยากคุยกับดวงวิญญาณของตัวเองกัน!”
<มนุษย์ทุกคนทั่วราชอาณาจักรไง>