หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน - ตอนที่ 2
เมื่อหกวันที่แล้ว อาเซียได้รู้ว่าตนเองมีเครือญาตินอกเหนือจากบิดากับมารดาอยู่ด้วย ซึ่งก็คือตอนที่เธอขึ้นไปบนรถม้าที่มุ่งหน้าสู่พระราชวัง หลังจากถูกนำตัวกึ่งๆ ลักพาตัวมาจากกระท่อม
เมื่อสี่วันที่แล้ว อาเซียได้รู้ว่าในบรรดาเครือญาติเหล่านั้น คนที่กลายมาเป็นคุณปู่ของเธอคือสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งพระราชอาณาจักร ซึ่งนั่นก็คือพระจักรพรรดิคนนั้นที่บิดาของเธอเคยด่าว่า ‘เป็นคนเสียสติ ให้ถ่มน้ำลายใส่ฝ่ายนั้น ฉันยังจะไม่ถ่มเลย’
เมื่อสามวันที่แล้ว อาเซียได้รู้ว่าพระจักรพรรดิขับไล่โอรสของตนเองออกไปจากพระราชวังหมดทุกคน และได้รู้ว่าพระจักรพรรดิแต่งตั้งอเล็กเซย์ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของโอรสคนแรกและเป็นหลานชายคนโตของเขาขึ้นเป็นองค์รัชทายาท จากนั้นจึงพาตัวอเล็กเซย์กลับมาเพียงคนเดียว
เมื่อสองวันที่แล้ว อาเซียได้รู้ว่าประมาณสิบปีก่อน อเล็กเซย์คนนั้นทำพันธสัญญากับมังกรไฟฟาฟเนียร์ซึ่งเป็นเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งอัคคีในพิธีเรียกดวงวิญญาณเช่นเดียวกับตอนนี้ แล้วจึงได้กลายเป็นองค์ชายรัชทายาท
และเมื่อเช้าวันนี้ อาเซียก็ได้รู้ว่าพวกลูกพี่ลูกน้องของเธอทุกคนฝึกฝนกันอย่างหนักมาทั้งชีวิต เป็นระยะเวลาราวๆ สิบปี เพื่อให้ได้ทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ในพิธีเรียกดวงวิญญาณ
เพิ่งรู้เมื่อเช้าวันนี้ที่จะมีพิธีเรียกดวงวิญญาณ!
ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกใช่ไหม!
และในวินาทีนั้น อาเซียก็คิดขึ้นมาว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ช่างคล้ายคลึงกับเรื่องราวที่ครั้งหนึ่งเคยเห็นในชาติที่แล้ว กว่าสิบปีก่อนหน้านี้
เรื่องราวที่ตอนนี้จำไม่ได้แม้แต่ชื่อ แถมยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเป็นภาพยนตร์ นิยาย หรือการ์ตูน
ทว่าการที่นึกเรื่องในอดีตกับอนาคตขึ้นมาได้อย่างละเอียดถึงขนาดนี้ ก็อธิบายได้เพียงอย่างเดียวว่าเธอเข้ามาติดอยู่ในต้นฉบับของอะไรบางอย่าง
เพราะอาเซียเองก็จำได้ว่าเคยเห็นเรื่องราวที่มีคนเข้าไปอยู่ในนิยายแบบนั้นสองสามครั้ง ถึงแม้ว่าระหว่างที่ดูมัน เธอก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้กลายเป็นตัวเอกในนิยายแบบนั้นก็เถอะ…
นึกไม่ออกเลยว่านี่เป็นหนังหรือนิยาย ชื่อเรื่องว่าอะไร แต่โชคดีชะมัดที่ยังจำเนื้อเรื่องได้!
อาเซียกลั้นเสียงร้องไห้ที่เหมือนจะระเบิดออกมา
เรียกหนูว่าอาเซียนี่นา อาเซีย ตลอดทั้งสิบปีก็เรียกหนูว่าอาเซียมาทั้งชีวิต แต่ไม่เห็นเคยบอกว่าชื่อจริงชื่ออนาสตาเซียเลยนี่คะ แม่ พ่อ!
ไม่เคยบอกว่าฉันคือองค์หญิงอนาสตาเซียคนนั้นที่ใช้ชีวิตเหมือนสามัญชนผู้ยากไร้จนมีอายุสิบขวบ และเมื่อได้ลิ้มรสความหอมหวานในชีวิตแค่เพียงครั้งเดียว นับแต่นั้นมาก็พุ่งทะยานไปบนถนนออโตบาห์น[1] แห่งความสิ้นหวังและความพินาศ!
ทำยังไง ทำยังไงดี จะต้องจัดการกับเรื่องนี้ยังไง
ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้ สิ่งที่เธอปรารถนาก็มีเพียงการลองอบขนมเท่านั้นเอง
ในชาติที่แล้ว เธอไม่มีเวลาว่างพอที่จะอบมัน
เงินที่หามาได้ หมดเกลี้ยงไปกับค่าครองชีพของครอบครัวโดยเริ่มจากน้อง เงินที่เคยเก็บออมเพื่อจะเปิดร้าน ท้ายที่สุดก็ถูกเอาไปใช้เป็นเงินเติมเกมของน้องผู้ไม่รู้ความ
วันแล้ววันเล่าที่เธออดหลับอดนอนพร้อมทั้งดิ้นรนหาเงินเพิ่มอีกครั้ง ท้ายที่สุดเธอก็ผล็อยหลับไป ฝืนลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างยากเย็นอีกที เธอก็อยู่บนเตียงเด็กหลังเก่าที่มีเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดเสียแล้ว
มือของเธอขยับไม่คล่องราวกับมือของสัตว์แรกเกิดที่ขดงุ้มเข้าหากัน ส่วนดวงตาก็มองอะไรได้ไม่ชัดเจน
เธอคิดอยู่หนึ่งอาทิตย์ว่าภาพที่มองอย่างไรก็ไม่ชัดนี้จะต้องเป็นความฝันอย่างแน่นอน แล้วหลังจากนั้น เมื่อเวลาหนึ่งอาทิตย์ผ่านพ้นไป เธอจึงสามารถยอมรับความจริงได้
ฉันมาเกิดใหม่งั้นสินะ!
ตัวเธอตายไปแล้วจริงๆ เพราะอย่างนั้นจึงต้องเริ่มต้นเส้นทางชีวิตใหม่ เธอยอมรับความจริงนั้นในระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่บนเตียงเด็ก
สิ่งสำคัญคือความปรารถนาของเธอยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ได้ถูกลบเลือนหายไปแม้อยู่ในช่วงเวลาของการกลับมาเกิดใหม่เพราะตายไปแล้ว ในช่วงที่อาเซียปรับตัวให้ชินกับเตียงเด็ก เธอก็คิดทบทวนความฝันของตัวเองอีกครั้ง
อาเซียไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่เธอก็ตื่นเต้นมากทีเดียวเมื่อได้คิดว่า ทีนี้ก็มาทำสิ่งที่อยากทำในโลกใบใหม่แห่งนี้กันดีกว่า ในที่สุดก็จะได้ทำมันสักที
แต่ความปรารถนาดังกล่าวกลับไม่สามารถทำให้สมดั่งฝันได้ จนตอนนี้ที่อายุสิบขวบเข้าไปแล้ว ในระหว่างนั้น เธอไม่แม้แต่จะเห็นเนยหรือน้ำตาลเลย
เพราะครอบครัวเธอยากจนแบบแทบจะต้องกัดก้อนเกลือกิน!
แต่เธอก็นึกว่าเรื่องมันเป็นเพียงแค่นั้น จนกระทั่งตอนนั้น
กระทั่งตอนก่อนจะถูกผู้ติดตามส่วนพระองค์ลักพาตัวมาพิธีเรียกดวงวิญญาณนี้ เธอก็นึกแค่ว่าตัวเองได้มาเกิดใหม่ในครอบครัวยากจนแบบแทบจะต้องกัดก้อนเกลือกิน ซึ่งมีรูปแบบการใช้ชีวิตแปลกประหลาดเฉยๆ เท่านั้นเอง!
สาเหตุที่ยากจนก็รู้แล้ว ถ้าฉันเป็นองค์หญิงอนาสตาเซียคนนั้น พ่อของฉันก็เป็นพระราชโอรสยูเลีย… พ่อเคยเล่าว่าเอาเศษเงินออกมาไม่ได้สักเหรียญเดียวเพราะวิ่งหนีออกมาด้วยเท้าของตัวเองใช่ไหมนะ
ทุกคนในราชอาณาจักร เมื่ออายุราวๆ สิบปีก็จะได้สร้างพันธะกับดวงวิญญาณดวงหนึ่งเป็นของใครของมัน
ความสามารถที่ได้รับมาจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน และหลากหลายเท่าๆ กับจำนวนราษฎรในราชอาณาจักร แต่ถึงแม้เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา หากได้รับพลังอันยิ่งใหญ่แบบหาได้ยากก็เหมือนกับเส้นทางแห่งความสำเร็จถูกเปิดออก
เพราะอย่างนั้น เหล่าเด็กน้อยในวัยนี้ทุกคนจึงมักจะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความคาดหวังกับความตึงเครียด
ทว่า ต่อให้เป็นชนชั้นสูง หากมีดวงวิญญาณที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้สักทางมาเกี่ยวพัน ก็เป็นเรื่องยากมากขึ้นที่จะก้าวหน้าไปได้ไกล และในกรณีของราชวงศ์ยิ่งหนักกว่าแบบเทียบไม่ติด
เพราะถ้าหากได้ทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็จะได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิ และถ้าไม่ใช่แบบนั้น ก็จะถูกขับไล่ออกจากพระราชวังไป
ดังนั้นผู้ที่ยังอยู่ในพระราชวังตอนนี้ จึงมีเพียงพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ผู้ทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งวาโย กับอเล็กเซย์ พระราชนัดดาคนโตผู้ทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งอัคคีเท่านั้น
เหล่าราชวงศ์ผู้ถูกขับไล่มีหนทางเดียวที่จะได้กลับเข้ามาในพระราชวังอีกครั้ง คือการให้บุตรธิดาของตนทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณที่ยอดเยี่ยมในพิธีเรียกดวงวิญญาณวันนี้
อาเซียดูอ่อนแอเป็นพิเศษเมื่ออยู่ท่ามกลางพวกลูกพี่ลูกน้อง เธอเหล่ตามองเด็กชายรูปร่างเล็ก ท่ามกลางคนพวกนั้นมักจะมีคนที่อดทนต่อแรงกดดันของพ่อแม่ไม่ไหวจนเลือกทำสิ่งที่สุดโต่งอยู่ด้วย
ไม่หรอก ไม่ อาเซีย คิดแบบใจเย็นๆ ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว มันคงไม่เป็นแบบนั้นหรอก ไม่ใช่! ไม่ใช่!
อาเซียปฏิเสธอย่างสุดพลัง
เนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นแบบนี้
เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งผู้มีพลังแห่งชีวิตและความมั่นคง ได้พบกับอเล็กเซย์ พระราชนัดดาคนโตผู้มีพลังแห่งอัคคี ซึ่งถึงแม้พลังจะไม่เสถียรแต่ก็แกร่งกล้า แล้วเด็กสาวก็ตกหลุมรักเขา
แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองย่อมมีอุปสรรคมากมายนับไม่ถ้วน แต่พวกเขาก็ฝ่าฟันไปได้อย่างเข้มแข็ง อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืออนาสตาเซีย ญาติผู้น้องของพระราชนัดดาคนโต
อนาสตาเซียได้รับดวงวิญญาณหายากในพิธีเรียกดวงวิญญาณจึงได้อยู่ในพระราชวังต่อไป และเธอก็คอยขัดขวางอเล็กเซย์กับนางเอกในทุกเหตุการณ์
อนาสตาเซียได้รับสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์ ทั้งยังได้รับกระทั่งดวงวิญญาณอันรุ่งโรจน์มาอยู่ในกำมือ เธอจึงไม่มีอะไรจะต้องหวาดกลัวแล้ว
แต่นั่นก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าอเล็กเซย์ ในที่สุด องค์หญิงอนาสตาเซียจึงได้พบเจอกับบทสรุปอันน่าเวทนาอย่างหนึ่งด้วยน้ำมือของตนเอง…
ฉันไม่ใช่อนาสตาเซียคนนั้นสักหน่อยนี่นา ฉันเป็นคนอื่น เพราะงั้นก็ไม่มีทางที่เรื่องจะดำเนินไปแบบเดิมหรอก แล้วก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ฉันเคยรับรู้มาจริงๆ ก็ได้…
ในตอนนั้น เสียงกระทุ้งไม้เท้าลงพื้นดัง ตึง ก็ดังก้องไปทั่วทั้งโถงราวกับจะทำลายความคิดของอนาสตาเซีย ในขณะเดียวกัน คนสองคนก็เดินเข้ามาในโถง
“สมเด็จพระจักรพรรดิมิคาอิลและองค์ชายรัชทายาทอเล็กเซย์ เสด็จ!”
เสียงตะโกนดังกึกก้องตั้งแต่ต้นจนจบ
ทันทีที่เห็นคนทั้งสอง อาเซียก็ต้องหันหน้ามากลั้นน้ำตา
ใช่เลยนี่…!
สมเด็จพระจักรพรรดิและพระราชนัดดาคนโตของเขาปรากฏตัวขึ้น
พระจักรพรรดิมีใบหน้าจะเหี่ยวย่นและหนวดเคราดก แต่รูปร่างก็สูงใหญ่บึกบึนจนรู้สึกราวกับเงาของพระองค์จะปกคลุมลงมาทั่วทั้งโถง
เด็กหนุ่มที่ดูอายุประมาณสิบห้าปียืนอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากโค้งอย่างนุ่มนวลเป็นรอยยิ้มบางไม่สมอายุพร้อมกับกำลังก้มลงมองเด็กๆ ที่อยู่ตรงกลางโถง
เส้นผมสีทองงดงามดุจผงประกายจากดวงดาว รวมถึงดวงตาสีฟ้าที่ดูราวกับเป็นชิ้นส่วนจากธารน้ำแข็งที่ใสสะอาดที่สุด
เมื่ออาเซียเห็นสองคนนั้น เธอก็รับรู้ได้ทันทีว่าทั้งคู่คือพระจักรพรรดิมิคาเอลผู้เป็นท่านปู่ของเธอ กับองค์รัชทายาทอเล็กเซย์ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง
อาเซียทอดสายตามองทั้งสองคนพร้อมกับคิดว่าเรื่องราวที่เธอเห็นอาจเป็นภาพยนตร์ ไม่ใช่นิยาย เพราะเธอคุ้นเคยกับฉากนั้นราวกับได้ดูเป็นภาพเคลื่อนไหวมาแล้ว
ใช่เลยนี่! ถูกต้อง ใช่เลย เป็นแบบที่ฉันเคยอ่านเลย! ไม่สิ แต่แบบ โอ้โห! ทำไมถึงคิดจะต่อกรกับอเล็กเซย์คนนั้นกันนะ แค่ยืนอยู่เฉยๆ กระแสลมหนาวเหน็บยังพัดมาจนถึงนี่
คนเราปากยิ้มก็จริง แต่ใช่ว่าจะยิ้มอย่างจริงใจ อเล็กเซย์คนนั้นไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ
ไม่หรอกน่า ไม่หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้ ลองคิดดูสิ ฉันกินพวกโจ๊กแคร์รอตกับซุปมันฝรั่งประทังชีวิตมาสิบปี แล้วก็ได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง
แถมยังถึงกับได้เข้ามาอยู่ในพระราชวังด้วย อาจเป็นความฝันเฟื่องของเด็กน้อยก็ได้…
ไม่สิ! ไม่ๆๆ สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ต่อจากนี้ไปฉันจะทำยังไงต่างหาก…
ชั่วขณะนั้น องค์จักรพรรดิก็ตะโกนขึ้นมา
“เริ่มพิธีเรียกดวงวิญญาณ!”
***
หากมองลงมาจากด้านบน ก็จะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จรดติดทางด้านตะวันตก โดยดูตามเส้นยาวที่ถูกวาดไว้เป็นแนวขวาง สลายกลายเป็นขี้เถ้าและหยาดน้ำฝน
และด้านบนเส้นนั้น กระทั่งหิมะที่โปรยปรายลงมาเมื่อวันก่อนก็ยังไม่หลอมละลายและมองเห็นได้อย่างแจ่มชัด
ตรงพรมแดนของเส้นดังกล่าว ผู้ที่ดูอยู่ในวัยคาบเกี่ยวระหว่างเด็กชายและเด็กหนุ่ม กำลังก้มลงมองบริเวณโดยรอบจากบนหลังม้า
เส้นผมสีดำถูกสายลมหนาวจากทางตอนเหนือพัดปลิวไสว มวลพลังงานสีน้ำเงินทอแสงออกมาเหนือเส้นผมสีดำนั้น ดวงตาสีม่วงภายใต้เส้นผมดูเหมือนกำลังสะท้อนบรรยากาศหนาวเหน็บของทุ่งหิมะ
สถานที่แห่งนี้มีเพียงฤดูหนาวยาวนานต่อเนื่องไปชั่วนิรันดร์ สงครามที่เคยทำให้ที่นี่เงียบสงัดและไม่มีกระทั่งเสียงสายลมพัดผ่าน ตอนนี้ได้ยุติลงแล้ว
และผู้ที่กำลังปรายตามองทุ่งหิมะแห่งนี้จากบนหลังม้า คือตัวการที่ทำให้สงครามนี้ยุติลงด้วยน้ำมือของตนเอง
ผู้ที่ไปออกศึกด้วยอายุเพียงสิบสี่ปี แล้วทำให้เรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นลงในปีที่อายุครบสิบห้า คาร์โน นอยสแตทเตอร์
“ท่านรองแม่ทัพ เตรียมเดินทางกลับเรียบร้อยแล้วครับ”
อัศวินคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามาใกล้แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา อัศวินคนนั้นดูเหมือนมีอายุมากกว่าคาร์โนสิบปีแต่กลับมีกิริยาอ่อนน้อมมากเกินไป
เมื่อคาร์โนเหลือบตามองไปด้านข้าง อัศวินคนนั้นก็แทบหยุดหายใจ และเมื่อคาร์โนกางมือข้างหนึ่งออก อัศวินคนนั้นก็ชะงักแล้วเริ่มตัวสั่นเทา
คาร์โนหัวเราะดัง หึ พร้อมเลื่อนมือข้างนั้นไปกำสายบังเหียน
เขาได้จับมือกับดวงวิญญาณในชุดสีดำสนิท หลังจากนั้นทุกสิ่งที่มือของเขาสัมผัสก็กลายเป็นเถ้าถ่าน นับแต่นั้นมา ไม่ว่าเมื่อไร ผู้คนก็พากันจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เจือไปด้วยความหวาดผวาแบบนั้นเสมอ
“กลับกันเถอะ”
“ครับ!”
จากที่เคยตัวแข็งทื่อ อัศวินคนนั้นก็ตามหลังคาร์โนไป และคาร์โนก็ไม่ได้เหลียวหลังกลับมา
***
“…ดิมีร์ได้รับการประสาทพรจากดวงวิญญาณแห่งเปลวเทียน!”
ปฏิกิริยาตอบสนองไม่เห็นจะดีสักเท่าไรเลยนี่นา สำหรับการบอกว่าได้รับพร อาเซียทำปากยื่นเพราะรู้สึกว่าตัวเองเจ็บใจขึ้นมาโดยไม่จำเป็น
ตามที่เธอคิดไว้ สีหน้าของพระจักรพรรดิที่ทอดสายตามองดูพระราชนัดดาทั้งหลาย ดูราวกับแผ่นน้ำแข็งอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
มีทั้งดวงวิญญาณแห่งเปลวเทียน ดวงวิญญาณแห่งกระจก ดวงวิญญาณแห่งบุปผา และแม้แต่ดวงวิญญาณแห่งพิรุณก็ปรากฏออกมาแล้ว แต่สีหน้ายินดีอย่างแท้จริงก็ยังไม่แสดงออกมาบนใบหน้าของเหล่าลูกพี่ลูกน้องเธอเลยสักคน
“องค์หญิงอนาสตาเซีย”
ตอนนี้ถึงคราวของเธอแล้ว
อาเซียสังเกตท่าทีของผู้คนรอบข้างพร้อมกับเปิดประตูห้อง บนพื้นเต็มปริ่มไปด้วยน้ำในลำธารที่ไหลเข้ามาในโถง เมื่อยื่นเท้าไป ฝ่าเท้าของเธอก็เปียกชุ่มพร้อมกันกับที่ความรู้สึกหนาวเย็นพลุ่งพล่านขึ้นมา
“ฮึก”
น้ำเย็นเฉียบจนแทบขนลุก อาเซียปิดประตูลงก่อน จากนั้นจึงลงไปในสระน้ำแล้วค่อยๆ คุกเข่านั่งลงอย่างเก้ๆ กังๆ
[1] ถนนออโตบาห์น Autobahn คือถนนทางหลวงในเยอรมนี ฉายาถนนนักซิ่ง เป็นหนึ่งในถนนที่ดีที่สุดในโลก ห้ามขับช้า แต่อัตราเกิดอุบัติเหตุต่ำ