หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน - ตอนที่ 3
ในเนื้อเรื่องต้นฉบับ องค์หญิงอนาสตาเซียได้ทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณแห่งปักษา การที่เธอยังอยู่ในพระราชวังต่อไปได้แม้เป็นเพียงดวงวิญญาณของนก เป็นเพราะนกตัวนั้นมีร่างที่แท้จริงอันสง่างามและเปล่งประกายสุกสกาวจนทำให้อ้าปากค้างได้เลย
ถึงบอกว่าฉัน…เป็นอนาสตาเซียก็เถอะ แต่ก็ไม่ใช่อนาสตาเซียคนนั้นสักหน่อย เพราะงั้นก็ต้องเป็นดวงวิญญาณอื่น…โผล่มาถึงจะถูก ต้องเป็นแบบนั้นใช่ไหม
ปกเสื้อเปียกโชกและความรู้สึกหนาวเหน็บเข้ากระดูกทำให้อาเซียฟันกระทบกันโดยอัตโนมัติ แต่เธอก็อดทนอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วประกบมือทั้งสองข้างกำกันไว้
เขาบอกว่าถ้าอยู่แบบนี้แล้วดวงวิญญาณจะปรากฏออกมา…
“คิดถึงแม่กับพ่อจัง… ถึงบอกว่าเป็นพระราชวังก็เถอะ แต่ที่นี่มีเพียงความหนาวอย่างเดียว… ฉันอยากกลับบ้าน… อยากกินเค้ก…”
แต่ไหนๆ ก็มาถึงพระราชวังแล้ว เธอก็อยากจะดื่มโกโก้อุ่นๆ สักแก้ว แบบที่โปะมาร์ชแมลโลว์ย่างไว้ข้างบน เค้กช็อกโกแลตลาวาด้วยก็น่าจะดี เอาแบบโรยน้ำตาลไอซิ่งด้านบนให้เหมือนหิมะ
จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น เธออยากรีบทำพิธีให้เสร็จแล้วกลับบ้าน เธอจะกลับไปพร้อมกับเอาน้ำตาล เนย กับแป้งสาลีอย่างละหนึ่งอันไปเป็นของที่ระลึกด้วย!
อาเซียหลับตาปี๋แล้วบ่นงึมงำในใจ และในตอนที่บ่นหนักขึ้นเรื่อยๆ นั้น
“เอ๊ะ…?”
ความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างปลิวอยู่ก็ทำให้อาเซียลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ผงสีขาวกำลังปลิวว่อนอยู่ตรงหน้า มันปลิวผ่านเข้ามาในปากที่เผยอออก
“น้ำตาลเหรอ…”
วินาทีที่อาเซียรับรู้รสหวานของน้ำตาล ผงสีขาวตรงหน้าก็พัดกระหน่ำแล้วภายในนั้นก็มีแสงกึ่งโปร่งใสก่อตัวขึ้นเป็นมวลก้อน
ตอนนั้นอาเซียได้ยินเสียงเหมือนเสียงกระพือปีกจากมวลแสงนั้น แล้วนกเจ้าของปีกขนาดใหญ่ทอประกายสีสันสวยงามหมดทุกเฉดสี ตัดกับน้ำตาลสีขาว ก็ปรากฏตัวออกมา
นกตัวนั้นบินวนกลางอากาศหนึ่งรอบ ก่อนจะลดระดับลงมาตรงหน้าเธอ
มันเป็นนกตัวใหญ่ถึงขนาดที่เธอซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ต้องเงยหน้ามองเลยทีเดียว
“อะ อะ…”
นกสีสันสดใสเอียงหัวพร้อมกับก้มลงมองเธอ
นี่คือตัวการที่เป็นสาเหตุให้ ‘องค์หญิงอนาสตาเซีย’ คนนั้นเพ้อฝันเรื่องอะไรไม่เข้าท่า
ในขณะเดียวกัน เธอก็ตั้งสติขึ้นมา
ดวงวิญญาณผู้ครอบครองตัวตนที่แท้จริงมีอยู่น้อยจนนับนิ้วได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีรูปร่างแบบนี้ รูปร่างเป็นนกที่ตัวโตจนแน่นขนัดห้องนี้เลยอย่างนั้นเหรอ
จะบอกว่าเจ้าตัวแบบนี้ปรากฏตัวออกมาเนี่ยนะ
จะบอกว่าเจ้าตัวแบบนี้ปรากฏตัวออกมาเพื่อฉันด้วยเนี่ยนะ!
“มะ ไม่ได้!”
อาเซียกระทืบเท้าลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาเจ้านกจนน้ำกระเพื่อม
ลูกพี่ลูกน้องที่ทำพิธีก่อนหน้าเธอ ยังไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณที่ครอบครองรูปร่างที่แท้จริง
ถ้าออกไปทั้งรูปร่างนี้ สุดท้ายเธอก็จะถูกบังคับให้อยู่ในพระราชวัง ไม่ว่าความต้องการของเธอคืออะไรก็ตาม
ถ้าเป็นแบบนั้น ไม่นานเธอก็จะถูกอเล็กเซย์กดดันไม่ให้ทำอะไรได้อย่างอิสระ แล้วจบสิ้นชีวิตด้วยความพินาศอันยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างแน่นอน
แต่อาเซียยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เสียง บึ้ม! ก็ดังขึ้น แล้วเจ้านกก็เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นสัตว์ปีกขนเหลืองขนาดประมาณฝ่ามืออย่างฉับพลัน
“จิ๊บ!”
“อะ อะไรน่ะ”
จากที่กำลังวิ่งไป อาเซียก็หยุดยืนแล้วได้แต่กะพริบตาเท่านั้น เจ้านกคงสับสนกับภาพลักษณ์ตัวเอง มันจึงมองสำรวจตรงนี้ทีตรงนั้นที และเมื่อสบตากับอาเซีย มันจึงพยายามยืดตัวตรง
ถึงแม้ว่าจะขนาดตัวเท่ากำปั้นเด็กอ่อนก็เถอะ
ทว่า อาเซียมองดูรูปร่างนั้นแล้วแต่ก็ยังส่ายหน้าอย่างร้อนใจ
“กะ ก็น่ารักมากพอแล้วแหละ แต่เอาแบบเล็กกว่านี้! เอ่อ…เอ่อๆ…! ใช่แล้ว อันนี้ไง! อะไรแบบพวกเข็มกลัด!”
อาเซียใช้สองมือกอบกุมเข็มกลัดที่ติดอยู่บนโบตรงหน้าอกแล้วเขย่ามัน
เจ้าลูกเจี๊ยบเอียงหัวทีหนึ่งแล้วหายวับไปจากตรงหน้า
“…!”
จากนั้น ภาพคนที่สลักอยู่ในเข็มกลัดก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพนกตัวน้อยที่งดงามและประณีตบรรจงเป็นอย่างมาก
อาเซียตกใจจนทำได้เพียงกะพริบตาปริบๆ แต่ไม่นานก็ตัดสินใจว่าจะยอมรับร่างแปลงของดวงวิญญาณอย่างเต็มใจ
ก่อนอื่นเธอต้องออกไปข้างนอก
ในตอนที่อาเซียเดินออกจากห้องไปโดยที่เนื้อตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเย็นที่ปกคลุมร่างกาย เมื่อทุกคนเห็นว่าไม่มีแม้แต่เงาของดวงวิญญาณข้างกายเธอ พวกเขาก็พากันหัวเราเยาะพร้อมทั้งพูดว่า ‘ก็ไม่น่าแปลกใจ’
“…องค์หญิงอนาสตาเซีย ทรงทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะว่าดวงวิญญาณที่ทำพันธสัญญาคือวิญญาณอะไร”
อาเซียส่ายหน้าให้กับคำถามของผู้อาวุโสที่เดินเข้ามาหา เธอตัดสินใจว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้
“ถ้าอย่างนั้นสามารถใช้พลังได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
อาเซียส่ายหน้าให้กับคำถามนั้นเช่นกัน
อบขนมเหรอ แน่นอนว่าต้องชอบอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ในพระราชวังที่เธอจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้หากเริ่มต้นก้าวแรกผิดพลาด
แต่ว่า…
“ถ้าอย่างนั้น กระหม่อมจะลองไปสอบถามท่านมาร์ควิส[1]เซเรเนเตฟให้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“คะ?”
อาเซียทำตาโต
ก่อนที่เธอจะทันได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ ผู้อาวุโสก็ถ่ายทอดคำพูดออกมาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นาน ใครบางคนก็โบกแขนพร้อมเดินเข้ามาหาจากไกลๆ ตรงนู้น
อาเซียได้ยินเสียงผู้คนซุบซิบชื่อของเขาว่า ‘พระราชโอรสมักซิม’ หรือ ‘องค์ชายมักซิม’
ดูเหมือนว่าพอองค์ชายมักซิมออกจากวังไป อาณาเขตกับชื่อบรรดาศักดิ์ที่ได้รับคงจะเป็นมาร์ควิสเซเรเนเตฟ
อ๊ะ คนที่พ่อเคยเรียกว่าท่านพี่มักซิม…?
พอลองคิดดูก็ถูกต้องแล้วล่ะ
พ่อคือองค์ชายยูเลีย เพราะฉะนั้น มักซิมที่พ่อเคยเรียกว่าท่านพี่ก็น่าจะเป็นองค์ชายเหมือนกัน
“พะ พ่อ…”
มักซิมเดินมาถึงกลางตำหนักสตาเดน ตรงจุดที่เด็กๆ ยืนรวมตัวกันอยู่ เขาก้มลงมองลูกชายของตัวเองที่ตัวแข็งทื่อไปในระหว่างนั้นแล้วยกยิ้ม
“ดิมิทรี เห็นว่าทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณแห่งพิรุณใช่ไหม คราวนี้ราชอาณาจักรของเราค่อยหมดกังวลเรื่องภัยแล้งหน่อย”
มักซิมกล่าวขึ้น จากนั้นก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวแล้วสังเกตเห็นท่าทีของพวกมหาดเล็กกับผู้อาวุโสรอบข้าง ก่อนจะกระแอมออกมา
“แล้วก็คือ จะให้ฉันตรวจสอบดวงวิญญาณของหลานตัวน้อยคนนี้เหรอ”
“…ขอรับ ท่านมาร์ควิสเซเรเนเตฟ”
มักซิมน่าจะเป็นพี่ชายของพ่อและเป็นลุงของเธอ สมัยเธอยังเด็ก เขาทำพันธสัญญากับ ‘ดวงวิญญาณแห่งการตัดสิน’ เพราะอย่างนั้น แม้ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ที่ต้องทำพิธีเรียกดวงวิญญาณ แต่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม
เพื่อเวลาที่เหล่าผู้อาวุโสในพระราชวังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นดวงวิญญาณแบบไหนเช่นตอนนี้
ทะ…ทีนี้จะทำยังไงล่ะ
สู้บอกไปตั้งแต่แรกว่าเป็นนกน้อยยังจะดีกว่า!
ในตอนที่อาเซียจับจุดไม่ถูกท่ามกลางความตื่นตระหนก มักซิมก็ยกมือขึ้นวางบนกระหม่อมของเธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้วค่อยๆ หลับตาลง
ผู้คนรอบข้างเริ่มส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว และในตอนที่ใบหน้าของอาเซียซีดเผือดลง มักซิมก็ละมือออกแล้วยิ้มอย่างหยอกเย้าราวกับกำลังมองดูสิ่งที่น่ารักจนไม่สามารถบรรยายออกมาได้
“เป็นดวงวิญญาณนกแสนน่ารักที่เหมาะสมกับองค์หญิงตัวน้อยของเราสินะ”
เอ๊ะ?
“พะ พ่ะย่ะค่ะ?”
เมื่อมหาดเล็กที่ยืนอยู่ด้านข้างเปล่งเสียงออกมาด้วยความงวยงง มักซิมก็ขมวดคิ้วราวกับเมื่อกี้ไม่ได้ยิ้มให้อาเซียอยู่
“บอกว่าองค์หญิงอนาสตาเซียของเราทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณนกน้อยไง!”
“อะ พะ พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงอนาสตาเซียได้รับการประสาทพรจากดวงวิญญาณแห่งปักษา!”
เสียงปรบมือแสดงความยินดีกับดวงวิญญาณของเธอซึ่งเป็นลำดับสุดท้าย แผ่วเบาที่สุดจากที่เคยได้ยินมาจนถึงตอนนี้
อาเซียพยายามควบคุมความรู้สึกที่เหมือนจะแข้งขาอ่อนแรงจนทรุด พร้อมกันนั้นก็เงยหน้ามองมักซิม
นี่มันเป็นอะไรยังไงกันแน่
ดวงวิญญาณนกน้อยอย่างนั้นเหรอ กระทั่งพลังในการตัดสินที่มักซิมได้จากการทำพันธสัญญาก็ยังไม่สามารถรู้ไปจนถึงตัวตนที่แท้จริงของดวงวิญญาณหรืออย่างไรกัน
ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น…
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็เท่ากับว่าเธอประสบความสำเร็จในการหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คนแล้ว
อาเซียลอบถอนหายใจด้วยความผ่อนคลายในใจ
ในตอนนั้น จู่ๆ พระจักรพรรดิที่เคยมองลงมาจากด้านบนก็ก้าวฉับๆ ลงมาแล้วเริ่มพูดคุยกับเด็กๆ ทีละคน
แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันอีกเนี่ย!
บทสนทนากับพระจักรพรรดิเป็นไปอย่างเรียบง่าย อย่างเช่น ‘พ่อแม่ของเธอว่ายังไงบ้าง’ ‘จากนี้ไปคิดจะทำอะไร’ ฟังผ่านๆ ก็เป็นพวกเรื่องราวส่วนตัว
อาเซียกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก เธอคิดขึ้นมาว่า เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ แต่ก็ไม่มีทางที่จะได้รับคำตอบ
เพราะเรื่องราวที่เธอเคยเห็น หรือพูดให้ถูกก็คือที่เธอเชื่อว่าเคยเห็น มันไม่ได้บรรยายอย่างละเอียดกระทั่งเรื่องปลีกย่อยในอดีตของตัวร้าย และต่อให้บอกว่ามี เธอก็จำไม่ได้อยู่ดี
ถ้าเขียนเรื่องนั้นเอาไว้หมดก็คงไม่ใช่นิยาย แต่คงเป็นบันทึกประวัติศาสตร์แล้วล่ะ!
ในระหว่างที่พวกเด็กน้อยตอบคำถามของพระจักรพรรดิอย่างตะกุกตะกัก สุดท้ายพระจักรพรรดิก็มายืนอยู่ข้างอาเซีย
อาเซียขยำปกเสื้อแน่นเพราะความตึงเครียด พระจักรพรรดิเพียงแค่ทอดสายตามองเธอโดยไม่ได้พูดอะไรครู่หนึ่ง จากนั้นจึงขมวดคิ้ว
“…อืม บอกว่าเด็กคนนี้อายุกี่ขวบนะ”
“สิบขวบปีพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้ามหาดเล็กสูงอายุข้างกายพระจักรพรรดิตอบก่อนที่อาเซียจะได้ปริปากพูดอะไร
“สิบขวบเหรอ ทำไมถึงได้ตัวเล็กแล้วก็ผอมแห้งแบบนี้ล่ะ บอกว่าห้าขวบยังจะน่าเชื่อกว่า ยูเลียไม่สนใจลูกสาวตัวเองเลยหรือไง นิสัยเจ้านั่นไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะ”
“ฝะ ฝ่าบาท ไม่ใช่อย่างนั้น…”
มหาดเล็กสูงวัยตกใจจึงรีบค้อมตัวลงพร้อมพูดกระซิบแด่องค์จักรพรรดิ
อาเซียคาดเดาคำที่เขาน่าจะกำลังพูดอยู่ได้
น่าจะเป็นเรื่องประมาณว่า องค์ชายผู้หนีออกจากวังโดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียว ทำงานอะไรอย่างไรเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
พระจักรพรรดิฟังคำกระซิบของมหาดเล็กแล้วเอียงศีรษะ ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกทั้งที่ได้เจอกับหลานสาวเป็นครั้งแรก
“อืม งั้นเหรอ พ่อแม่ของเธอส่งตัวเธอมาแล้วพูดอะไรบ้างล่ะ”
“…บอกว่าอย่าเจ็บอย่าป่วย แล้วก็รีบกลับมาอย่างแข็งแรงไวๆ เพคะ”
“กลับมางั้นเหรอ อืม…”
เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของเหล่าลูกพี่ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ในขณะที่อาเซียใช้ฝ่ามือถูปกเสื้อด้วยความเครียด พระจักรพรรดิก็ทำสีหน้าสนอกสนใจ
“แล้ว เธอก็อยากกลับไปด้วยหรือเปล่า”
“เพคะ!”
อาเซียตอบคำถามนั้นอย่างไม่ลังเล
หม่อมฉันไม่สนใจพวกราชบัลลังก์เลยเพคะ! ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วก็อยากเอาแป้งสาลี น้ำตาล แล้วก็เนยกลับไปด้วยนิดหน่อยก็เถอะ!
อาเซียย่อคำพูดที่ทำท่าจะหลุดออกมาจากปากแบบนั้นให้เหลือแค่คำเดียวว่า ‘เพคะ’ แล้วเก็บมันไว้ในใจอย่างมิดชิด
องค์จักรพรรดิแย้มยิ้มจนรอยตีนกาขึ้นตรงขอบตา
“อืม เข้าใจแล้ว”
จากนั้นองค์จักรพรรดิก็หมุนตัวไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้พูดตอบรับหรือปฏิเสธอะไรอื่นอีก
อาเซียคิดว่าท่าทีที่พูดแค่เรื่องที่ตัวเองจะพูดจนจบแล้วก็กลับไปแบบนี้ คงเป็นจุดที่บิดาของเธอตะโกนด่าทออยู่เรื่อยมา
พิธีเรียกดวงวิญญาณเสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์ เหล่าเด็กน้อยทยอยออกจากพระราชวังโดยไม่มีใครยินดีเลยสักคนเดียว
***
ถึงแม้พิธีเรียกดวงวิญญาณจะเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคนไหนในพระราชวังบอกให้อาเซียรู้ว่าเธอต้องไปทางไหนต่อ
อาเซียโมโหอยู่ในใจท่ามกลางความกระวนกระวาย เธอบอกความตั้งใจที่อยากกลับบ้านอย่างชัดเจนแล้ว และดวงวิญญาณที่ทำพันธสัญญาก็ได้รับการยืนยันว่าไร้ค่าแล้วด้วย แต่ทำไม…
“ลิส ฉันทำพิธีเรียกดวงวิญญาณเสร็จหมดแล้ว เมื่อไหร่จะได้กลับบ้านล่ะ”
ลิส หญิงรับใช้ประจำตัวอาเซีย มองเตียงนอนเพื่อตรวจความเรียบร้อยแล้วทำสีหน้าอึดอัดใจกับคำถามของเธอ
ลิสคือคนที่ช่วยดูแลเธอตั้งแต่เธอถูกลักพาตัวมายังพระราชวังแห่งนี้เป็นครั้งแรก
ตอนแรกอาเซียไม่เข้าใจสถานการณ์จึงตั้งใจจะพูดสุภาพกับผู้ใหญ่รอบข้างทุกคน แต่หลังจากที่รู้ว่านั่นไม่ใช่การให้เกียรติผู้อื่น แต่ใกล้เคียงกับการทำให้เขาเดือดร้อนกันเสียมากกว่า เธอจึงพูดแบบเป็นกันเอง
“แต่องค์หญิงเพคะ ถ้าอยู่ที่นี่ก็จะได้ทานขนมอร่อยๆ เท่าที่ต้องการ แล้วก็ได้สวมชุดสวยๆ จนหนำใจด้วยนะเพคะ”
[1] มาร์ควิส (Marquess) เป็นบรรดาศักดิ์หนึ่งของระบบขุนนางแห่งราชอาณาจักร เป็นขุนนางชั้นรองลงมาจากดยุก (Duke)