หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน - ตอนที่ 7
“ท่านปู่ ถ้าจะทรงทำเช่นนั้น ทาสคนนั้น กระหม่อม…”
“ตอนนี้เราเบื่อจะคุยเรื่องนั้นแล้ว ทีนี้เธอลองพูดเรื่องพิธีต้อนรับกองทัพของราชอาณาจักรที่ชนะศึกกลับมาจากทางเหนือดูซิ”
พระจักรพรรดิโบกมือ หมายความว่าหัวข้อสนทนาเรื่องก่อนหน้าจบลงอย่างสมบูรณ์ตามนั้น
สุดท้ายอเล็กเซย์ก็เริ่มตอบเกี่ยวกับเรื่องที่องค์จักรพรรดิไถ่ถามอย่างเป็นแบบแผนราวกับเดินหมากในเกมหมากรุกฝรั่ง
ในตอนที่ทั้งสองคนถามตอบกันอย่างเนิ่นนานจนจบเรื่อง มหาดเล็กก็ยกถาดเข้ามา
สิ่งที่ถูกจัดแจงมาคือเค้กที่มีเนื้อเค้กเกือบเป็นสีดำในถ้วยเซรามิคสีขาวกับนมสีขาว
“นี่เป็นเค้กที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเลยนะ”
พระจักรพรรดิดื่มนมเย็นเข้าไปก่อนหนึ่งอึกแล้วจึงหยิบถ้วยเซรามิคสีขาวขึ้นมา
ไอร้อนแผ่ซ่านทั่วทั้งมือ เมื่อใช้ช้อนชาแบ่งครึ่งเค้ก ซอสสีเดียวกันกับเค้กก็ไหลออกมาจากด้านใน
“โอ้โฮ”
พระจักรพรรดิอุทานออกมาเบาๆ แล้วใช้ช้อนชาตักเค้กเข้าปาก ไม่นานก็เบิกตากว้าง ในระหว่างนั้น อเล็กเซย์เองก็ตักเค้กขึ้นมาช้อนหนึ่งเช่นกัน
***
ตามที่พาเวลล์พูด ในห้องเก็บผักผลไม้มีผลไม้สดใหม่ทุกชนิดกำลังรอคอยพวกเธออยู่
ทั้งสองคนเลือกส้มมาหนึ่งลูกจากในนั้นแล้วกลับไปยังห้องครัว
หลังจากล้างส้มให้สะอาดก็ขูดเปลือกกับที่ขูดอย่างนุ่มนวล แล้วใส่มันลงไปในโหลเปล่าพร้อมกับน้ำตาลหนึ่งกำมือ
ถ้าทำแบบนั้นก็จะสามารถทำให้น้ำตาลมีกลิ่นส้มหอมฟุ้งได้
ชั่วพริบตาเดียว ห้องครัวก็อบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำตาลหอมหวาน กลิ่นหอมติดขมของช็อกโกแลต และกลิ่นส้ม
เพียงแค่การผสมผสานกันของกลิ่นพวกนี้ ก็ทำให้คาดการณ์ถึงรสชาติอันน่าหลงใหลของเค้กช็อกโกแลตลาวาที่ทำด้วยน้ำตาลส้มได้แล้ว
พาเวลล์ติดป้ายที่เขียนว่า ‘น้ำตาลส้ม’ ไว้บนโหลน้ำตาลด้วยท่าทีรอบคอบ และในตอนที่เขาเงยหน้าขึ้น
“เอ๋ เค้กหายไปไหน มันควรต้องเหลืออยู่สี่ถ้วยสิ… ยัยเด็กจิ๋ว เผลอแป๊บเดียวเธอกินไปตั้งสองถ้วยเลยเหรอ โห”
“พูดอะไรน่ะ ฉันอยู่กับพาเวลล์ตลอดเลยนี่ เมื่อกี้ตอนไปห้องเก็บผักผลไม้ มีใครแวะเข้ามากินหรือเปล่า เพราะเราออกไปพักใหญ่เลยนะ”
อาเซียแกะเปลือกแล้วเอาเนื้อส้มที่เหลือเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับ พร้อมกับตอบอย่างไร้กังวล
ท่าทางอันสบายอกสบายใจของอาเซียทำให้ใบหน้าของพาเวลล์ค่อยๆ บูดบึ้ง
“เธอ… คิดว่าในวังมีเด็กน้อยตัวกะเปี๊ยกสติไม่เต็มเต็งแบบเธออยู่อีกคนหรือไง!”
“ประตูครัวก็ถูกเปิดค้างไว้ คนก็ไม่มี ถ้ามีของอร่อยๆ อยู่ ไม่ว่าใครก็อยากกินกันทั้งนั้นแหละ”
“ตัวก็เล็กจิ๋วแค่นี้แล้วเชื่อมั่นมาจากไหนนักว่าเค้กที่ตัวเองทำอร่อย”
“จากหน้าพาเวลล์ล่ะมั้ง พาเวลล์ทำสีหน้าเหมือนบอกว่า ‘อร่อยจะตายอยู่แล้ว’ เลยนี่”
“ยัยหนูนี่…! เดี๋ยวสิ ไม่ใช่แบบนี้ ต้องหาเค้กก่อน!”
พาเวลล์เริ่มเปิดดูลิ้นชักทุกอันอย่างร้อนรนแล้วเช็กดูทั้งข้างบนข้างใต้เคาน์เตอร์อย่างวุ่นวาย
อาเซียถอยออกไปหนึ่งก้าวแล้วเอียงหัว
“แบ่งคนอื่นแล้วรู้สึกเสียใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ยัยเด็กจิ๋ว! ทุกอย่างที่ทำจากในครัวนี้ แม้แต่น้ำตาลหนึ่งกำก็อยู่ในความรับผิดชอบของฉัน! ถ้ามีคนขโมยกิน ฉันก็ต้องรู้ว่าเจ้านั่นคือใคร…! ยัยหนู เธออย่าขยับไปไหนจากตรงนี้นะ”
พาเวลล์ทึ้งหัวตัวเองพร้อมกับขอร้องเธอแล้ววิ่งออกจากครัวไปในทันที ดูเหมือนจะไปตามหาว่ามีใครผ่านมาที่ครัวแล้วกินไปหรือเปล่า
อาเซียมองดูรอบๆ ห้องครัวที่โล่งขึ้นมาในชั่วขณะ แต่เค้กสองถ้วยที่หายไปก็ไม่ปรากฏอยู่ตรงไหนเลย
แค่ใช้แบทเทอร์ที่เหลืออบเพิ่มอีกสองถ้วยแล้วบอกว่าหาเจอดีไหมนะ
อาเซียไม่เข้าใจเหตุผลที่พาเวลล์ตกใจจนขวัญกระเจิดกระเจิง ในระหว่างที่เธอกำลังคิดอย่างสงบ ดวงวิญญาณของเธอก็เข้าไปเป็นลวดลายของชุดนอนราวกับตอนนี้เสร็จธุระแล้ว
ในตอนนั้นเอง
“ท่านหัวหน้าคนครัวมาร์ก้า! เรื่องอาหารว่างครั้งนี้ ฝ่าบาท…”
ประตูเปิดโผงพร้อมกันกับที่มีมหาดเล็กแปลกหน้ายื่นหน้าเข้ามา คงรีบร้อนวิ่งมา มหาดเล็กจึงทำใบหน้าเหมือนมีเรื่องเร่งด่วน
วินาทีนั้นที่อาเซียสบตากับมหาดเล็ก ความคิดที่เธอคิดอยู่คนเดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนพร้อมกับเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมา
ตอนนี้อะไรบางอย่างมัน ผิดพลาดไปอย่างมหันต์
อาเซียถามขึ้นอย่างระแวดระวัง
“คือว่า… ได้เอาเค้กสองถ้วยที่เคยอยู่ตรงนี้ไปหรือเปล่า”
“อะ เอาไปครับ…”
“เอาไปไหน”
“ถวายเป็นของว่างขององค์จักรพรรดิกับองค์รัชทายาท…”
คราวนี้ ใบหน้าของอาเซียก็ซีดเผือดลงเช่นเดียวกับหน้าของพาเวลล์เมื่อสักครู่นี้ ใบหน้าของมหาดเล็กที่มองใบหน้าของเธอก็ซีดเซียวลงเช่นเดียวกัน ราวกับเป็นปรากฏการณ์ลูกโซ่
“ตะ ตะ ตะ ตอนนี้ฝ่าบาททรงกำลังตามหาหัวหน้าคนครัวเพราะขนมเค้กนั้น ไม่ทราบว่า…”
อาเซียอ้าปากค้าง
“ฝ่าบาทเหรอ สมเด็จพระจักรพรรดิน่ะเหรอ”
“คะ คะ ครับ รับสั่งว่าจะต้องเจอหน้าคนที่ทำเค้กคราวนี้ให้ได้…”
มหาดเล็กตอบกลับด้วยสีหน้าหวั่นเกรง อาเซียฟังคำพูดนั้นแล้วเลือดก็ค่อยๆ ไหลออกไปจากใบหน้า ใบหน้าที่ขาวเป็นทุนเดิมยิ่งขาวขึ้นไปอีก
“ไม่สิ ทำไม ทำไมล่ะ ทำไมถึงรับสั่งว่าต้องเห็นหน้าคนทำขนมให้ได้…”
“ระ เรื่องนั้นผมก็…”
มหาดเล็กส่ายหน้า
ภายในหัวของอาเซียหมุนติ้ว
นี่เป็นเรื่องดี หรือว่าเรื่องไม่ดีกัน ถ้าเป็นเรื่องดีก็โชคดีไป แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีล่ะก็…
อาเซียตั้งสติขึ้นแล้วพูดออกมารวดเดียว
“ฉะ ฉันเป็นคนทำ”
มหาดเล็กจ้องมองอาเซียด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ แต่อาเซียก็ยืนกราน
“พูดถึงเค้กสีดำใช่ไหม อันนั้นฉันเป็นคนทำเอง”
พระจักรพรรดิมีสมญานามว่า ‘ราชาสายฟ้า’ ซึ่งอ้างอิงจากอุปนิสัยที่ทำอะไรฉับไวปานสายฟ้า ถ้าหากมีเรื่องอะไรตะขิดตะขวงใจพระองค์จึงเรียกตัวหัวหน้าคนครัวไปล่ะ
เป็นเรื่องที่โหดร้ายเป็นอย่างมากสำหรับหัวหน้าคนครัว เพราะเขาเพียงแค่ไม่สามารถเอาชนะความดื้อดึงของเด็กน้อยเลยให้ทำขนมในครัวเท่านั้นเอง
อาเซียกำหมัดแน่น
***
มหาดเล็กรับหน้าที่นำทางมายังห้องหนังสือที่พระจักรพรรดิประทับอยู่ เขาลากเอาเรื่องห้าหมื่นอย่างมาคิดอย่างกลัดกลุ้มและวิตกกังวล ทั้งยั้งกำลังทำสีหน้าเหมือนโลกใบนี้จะจบเห่แล้ว
ในตอนที่เด็กหญิงตัวเล็กเจ้าของเส้นผมสีพีชบอกว่าตัวเองเป็นคนทำเค้กอันนั้น ซึ่งเป็นตอนเดียวกันกับที่บอกว่าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท แน่นอนว่ามหาดเล็กย่อมส่ายหน้าอย่างแรง
ถ้าทำแบบนั้น เรื่องก็จะกลายเป็นว่า ตนเองนำเค้กที่เด็กคนนี้ทำไปถวายฝ่าบาททั้งที่เด็กน้อยคือใครก็ไม่รู้
สมเด็จพระจักรพรรดิผู้ทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณมารุ่นสู่รุ่น ย่อมมีภูมิต้านทานพิษทุกชนิด เพราะอย่างนั้น ต่อให้เอาอาหารอะไรไปถวายก็น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น
ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีปัญหาอะไรต่อมหาดเล็ก สำหรับตนเองแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับคำพิพากษาให้ตาย
และมหาดเล็กผู้นั้นก็ได้รับคำพิพากษาให้ตายอย่างชัดเจนและรวดเร็วมากจริงๆ
‘อนาสตาเซีย’
‘ครับ?’
‘ฉันคืออนาสตาเซีย ยูเลียฟน่า ไคเย รูส ฉันลองอบเพราะอยากทำขนมถวายให้ท่านปู่’
ตอนนั้นมหาดเล็กจึงได้รู้ ที่เขาว่ากันว่า ‘หากคนเราเผชิญหน้ากับความจริงที่ยอมรับได้ยาก ความคิดก็จะหยุดชะงัก’ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
เด็กผู้หญิงตัวผอมแห้งเหลือแต่กระดูกคนนี้น่ะนะคือองค์หญิง
เขาคิดว่าเด็กหญิงน่าจะมีฐานะเป็นชนชั้นสูง
เธอตัวผอมแห้งราวกิ่งไม้ แต่ก็มีดวงตาที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเติบโตมาโดยได้รับความรัก รวมถึงกิริยาท่าทางอันสง่าด้วย เครื่องแต่งกายที่ตัดเย็บจากผ้าเนื้อดีก็บ่งบอกแบบนั้น
อีกทั้งยังพักอยู่ที่พระราชวังในเวลานี้ เขาจึงคิดว่าบางทีอาจเป็นเด็กคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนคุยหรือหญิงรับใช้วัยเด็กขององค์ชายองค์หญิงหลายๆ คน
แต่ดันเป็นองค์หญิงเสียเอง
ความคิดที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้แวบผ่านมาชั่วขณะ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่เขานึกสงสัย
หากไม่ใช่องค์หญิง หัวหน้าคนครัวพาเวลล์ มาร์ก้าก็ต้องไม่มีทางให้ใช้ห้องครัวแน่ เพราะหัวหน้าคนครัวเป็นมนุษย์ใจกล้าบ้าบิ่นที่ไม่เกรงกลัวพวกชนชั้นสูงทั่วไปเลยสักนิดเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น พอลองนึกย้อนดู ทั้งเส้นผมสีชมพูราวลูกพีช ทั้งดวงตาสีเขียวอ่อน ล้วนเป็นเช่นเดียวกับคำบอกเล่าเกี่ยวกับตัวองค์หญิงอนาสตาเซียทั้งสิ้น
มหาดเล็กก่นด่าตัวเองที่สมองทึ่มและเพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้ และสุดท้ายก็ต้องนำทางให้อาเซียอย่างเลี่ยงไม่ได้
กระโดดลงแม่น้ำวีเชกดาตอนนี้เลยจะดีกว่าไหมนะ
มหาดเล็กกำราวจับประตูของห้องหนังสือที่พระจักรพรรดิประทับอยู่ มือที่กำสั่นระริก
จากนั้นในที่สุด ประตูของห้องหนังสือก็ถูกเปิดออก
อาเซียเบิกตากว้างแล้วเหลือบมองรอบข้าง ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านใน ห้องหนังสืออึมครึมก็ค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ
พระจักรพรรดิกำลังนั่งพิงเก้าอี้ บนบ่าพาดด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่กึ่งโปร่งแสง จากนั้นพระองค์ก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวขึ้น
“บอกให้พาตัวหัวหน้าคนครัวมา แล้วทำไมถึงพาองค์หญิงมาซะล่ะ”
พระจักรพรรดิเอ่ยปากถามมหาดเล็ก ไม่ใช่อาเซีย พระองค์หยุดมือที่กำลังพลิกหน้าหนังสือลงด้วย
ในระหว่างที่มหาดเล็กอ้าปากพะงาบๆ ด้วยใบหน้าที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ อาเซียก็ชิงตอบแทน
“เพราะว่าหม่อมฉันเป็นคนทำเพคะ!”
“…อะไรนะ”
ตอนนั้นพระจักรพรรดิจึงเงยหน้าขึ้น
อาเซียกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตึงเครียด แต่ถึงอย่างนั้นก็คิดว่านี่คือโอกาส
โอกาสที่เธอจะได้พูดสิ่งที่ต้องการ แม้ห่างไกลกับเรื่องราชบัลลังก์อยู่มากโขก็ตาม!
“หม่อนฉันต้องการถวายให้ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นคนทำเพคะ”
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ความจริงแม้แต่น้อย ทว่าอาเซียก็ร่ายยาวรัวๆ โดยไม่เว้นจังหวะให้พระจักรพรรดิได้ตอบกลับว่าอะไร
“หม่อมฉันบีบบังคับเขา คุณลุงหัวหน้าคนครัวก็เลยให้ยืมห้องครัวใช้ หม่อมฉันเลยทำมันอย่างตั้งใจเพคะ หม่อมฉันอยากถวายอะไรสักอย่างให้ฝ่าบาทก่อนออกจากพระราชวังไปเพคะ อบขนม…”
“หมายความว่ายูเลียสอนเธอทำขนม แทนที่จะสอนให้เรียนเขียนอ่านงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เพคะ!”
อาเซียรีบร้อนโบกมือ
“ตอนอยู่บ้าน ขนาดจะหาดูเนยกับน้ำตาลก็ยังทำไม่ได้เลยเพคะ ทานแค่โจ๊กแคร์รอตกันทุกวัน”
“…อะฮึ่ม”
อาเซียยิ้มร่าอย่างไร้เดียงสา แต่พระจักรพรรดิกลับกระแอมเสียงต่ำออกมาแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
“ถ้างั้นหมายความว่าเธอทำเค้กนี่ออกมาทั้งที่เพิ่งเคยเห็นเนยกับน้ำตาลครั้งแรกงั้นเหรอ”
บนโต๊ะที่พระจักรพรรดิชี้นิ้วไปมีถ้วยเปล่าวางเอาไว้สองถ้วย
อาเซียพยักหน้าสุดแรง พร้อมกันนั้นก็นึกโล่งอกในใจ
ดูจากที่ถ้วยสะอาดเอี่ยม เค้กที่เธอทำก็คงอร่อยอยู่เหมือนกัน
“ที่บ้านมีหนังสือทำขนมหนึ่งเล่ม หม่อมฉันเคยอ่านเพคะ! ภาพเยอะแล้วก็สนุกด้วย หม่อมฉันจึงตั้งใจดูมากเพคะ”
เธอไม่ชอบเรียนหนังสือ ไม่แม้แต่จะมีความสามารถที่เหมาะสมในการสืบทอดราชบัลลังก์ ไม่คิดและไม่ต้องการที่จะแข่งขันกับใคร สิ่งที่ต้องการมีเพียงการอบขนมเท่านั้น
อาเซียคิดจะพูดเรื่องนั้นออกมาอย่างเปิดเผย
ทว่าพระจักรพรรดิคงไม่สนใจเกี่ยวกับความต้องการของอาเซียเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว พระองค์จึงถามเรื่องอื่นทันที
“อืม… วัตถุดิบที่ทำให้เค้กอันนี้เป็นสีเข้มคืออะไรกัน ก่อนหน้านี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน”
พระจักรพรรดิกล่าวแบบนั้น บริเวณรอบตัวของพระองค์กำลังทอแสงสีแอปริคอทออกมาอย่างเลือนราง
ดูคล้ายคลึงกับแสงสีส้มที่เคยเปล่งออกมาราวกับน้ำพุรอบตัวพาเวลล์ หลังจากที่เขากินเค้กช็อกโกแลตลาวาเข้าไป
“อ๋อ อันนั้น… เห็นลุงหัวหน้าคนครัวบอกว่าบารอนเนสท่านหนึ่งนำมาถวาย…”
“บารอนเนส? หมายถึงบารอนเนสซารัตโต้งั้นรึ”
“อ๊ะ! ใช่เพคะ! ชื่อนั้นเลยเพคะ”
หลังจากนั้น พระจักรพรรดิก็ยังคงถามเรื่องนู้นเรื่องนี้ แต่อาเซียก็ไม่สามารถสันนิษฐานได้เลยว่าพระจักรพรรดิเรียกตัวมาเพื่ออะไร
เค้กมัน… ดูมีประโยชน์อะไรสักอย่างขึ้นมาหรือเปล่านะ
“ดี ในฐานะที่เราเป็นจักรพรรดิ เราก็เอาแต่รับจากหลานสาวอย่างเดียวไม่ได้หรอก”
“เพคะ?”