หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 123 ข้ายิ่งกว่ายากจนข้นแค้น ! (ต้น)
บทที่ 123 ข้ายิ่งกว่ายากจนข้นแค้น ! (ต้น)
เยี่ยฉวนไม่กล่าวอะไรอีก ได้แต่มองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
ครั้งที่ยังอาศัยอยู่ที่เมืองชิง เขาเคยสังหารคนมานับไม่ถ้วน หากเขาไม่ฆ่าพวกมัน เขานี่ล่ะที่จะเป็นฝ่ายถูกฆ่า อย่างไรก็ตามเมื่อนึกเปรียบเทียบจำนวนคนที่ตนเคยสังหารกับองค์หญิงเก้า น่ากลัวว่าคนที่ตายเพราะน้ำมือของตนคงไม่อาจเทียมเท่า !
ซึ่งมันก็มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ด้วยนางเป็นผู้นำกองทัพ การสังหารจึงไม่มีเพียงคนหรือสองคน ทว่าเป็นกลุ่มคน !
ขณะนั้นเอง อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะตัดสินใจกับบางสิ่ง นางสั่นศีรษะเร็ว “ไม่ได้ เจ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
จากนั้นเดินผละออกห่างไปทันที
เยี่ยฉวนรีบสาวเท้าตามอย่างรวดเร็ว “หากท่านต้องการความช่วยเหลือ…”
เสียงคนเดินนำพูดขัดขึ้นว่า “แคว้นเจียงกับแคว้นหนิง และยังพวกผู้มีอำนาจ… ข้ามีกำลังทหารและ เหล่ายอดฝีมือที่วังหลวงคัดมาจากทั้งแผ่นดินเพื่อให้การอารักขาแก่ข้า แต่เจ้าไม่มี ฉะนั้นเจ้าจึงไม่ควรมายุ่งเกี่ยว ไม่ต้องพูดอีก”
เยี่ยฉวนนิ่งอึ้ง “…”
หลังจากนั้นไม่นาน คนทั้งสองเดินทางมาถึงด้านหน้าอาคารสำนักอัปสรเมรัย
ถึงแม้ว่าเมืองชายแดนจะมีสภาพเก่าชำรุดทรุดโทรม ทว่าอาคารของสำนักอัปสรเมรัยกลับยังคงโอ่อ่า งดงามและหรูหราอลังการ ดูไม่สอดคล้องไปกับเมืองชายแดนเลยแม้แต่น้อย !
ทันทีที่เหยียบย่างผ่านเข้าประตูหน้า สตรีนางหนึ่งพลันตรงเข้ามาต้อนรับทันที นางค้อมกายเล็กน้อย แสดงคารวะต่อองค์หญิงเก้า “องค์หญิงเก้าเพคะ ทางเราจัดเตรียมสถานที่ไว้สำหรับท่าน โปรดเสด็จตามหม่อมฉันมาเพคะ !”
ผู้พูดผายมือออกไปเป็นเชิงบอกกล่าว ก่อนออกเดินนำไปในทิศทางนั้นทันที
ผู้มาเยือนทั้งสองเดินตามสตรีผู้นั้น ไม่กี่อึดใจจึงมาถึงห้องซึ่งจัดไว้หรูหราฟุ่มเฟือยเป็นพิเศษ ภายในตกแต่งด้วยสิ่งละอันพันละน้อยอย่างฟุ่มเฟือย พื้นปูด้วยหนังสัตว์หนานุ่ม เบื้องหน้าม้านั่นเป็นโต๊ะสำหรับวางสิ่ง ของทำด้วยผลึกแก้วงดงาม ถัดออกไปเป็นผนังโปร่งแสงทำจากผลึกแก้วใส
สตรีที่เดินนำหันมาประกบฝ่ามือแสดงคารวะต่อองค์หญิงอีกครั้ง ก่อนพูด “ฝ่าบาทองค์หญิง งานประมูลราคาจะเริ่มในอีกราวครึ่งชั่วยาม โปรดประทับคอยก่อนเพคะ !”
พูดจบแล้วจึงล่าถอยออกไป ก่อนที่อีกสักพักหนึ่งจะมีสตรีสองนางเดินเข้ามาพร้อมด้วยกาน้ำชา ของ กินเล่นและผลไม้
องค์หญิงเก้าหันไปบอกสตรีทั้งสอง “พวกเจ้าออกไปได้ !”
ทั้งสองแสดงคารวะแล้วจึงถอยออกไป
ในเวลานี้จึงเหลือองค์หญิงเก้ากับเยี่ยฉวนสองคนเท่านั้น !
ชายหนุ่มหันมาทำท่าจะพูด “องค์หญิงพะย่ะค่ะ พวกเรา…”
“เจียงจิ้ว !”
จากนั้นจึงพูดรัวเร็ว “จงเรียกข้าว่าเสี่ยวจิ้ว เช่นเดียวกับแม่นางอัน ! ข้าก็เรียกนางว่าเสี่ยวอันเหมือนกัน”
เสี่ยวจิ้ว !
เยี่ยฉวนพยักหน้ารับ และถามออกไปโดยมิพักไตร่ตรอง “เสี่ยวจิ้ว ท่านเป็นผู้ค้นพบคัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอด ขั้นปฐพีในตำหนักจ้าวกระบี่ เรื่องนี้พวกคนสำคัญจากเบื้องบนเองก็ทราบกันดีว่าพวกเราเป็นผู้นำคัมภีร์ยุทธ์ ชั้นยอดขั้นปฐพีไป ทว่าทำไมพวกเขากลับไม่มีปฏิกิริยาใด ?”
เจียงจิ้วหันมาจ้องหน้าคนพูด “เจ้าเป็นคนซื่อนัก”
เยี่ยฉวน “…”
หญิงสาวพูดแผ่วเบา “คนสำคัญเหล่านั้นเป็นผู้สนับสนุนการก่อตั้งตำหนักจ้าวกระบี่ คิดว่าพวกเขาไม่มีส่วนได้เสียที่ตรงนั้นหรือ ? เจ้ารู้ไหม ? สถานที่หนึ่งบนเทือกเขาชายแดนซึ่งตำหนักจ้าวกระบี่ตั้งอยู่นั้น หาได้เป็นสิทธิของแคว้นเจียงอีกต่อไป”
“เพราะเหตุใดหรือพะย่ะค่ะ ?” ชายหนุ่มสงสัย
เสียงทุ้มต่ำของนางกล่าวต่อไปว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดตำหนักจ้าวกระบี่จึงเลือกก่อตั้ง ณ ที่นั้น ? เพราะสถานที่นั้นมีเส้นโลหิตทางธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณ และในเมื่อที่นั่นมีเส้นโลหิตแห่งจิตวิญญาณ นั่นก็ ย่อมหมายความว่าพื้นที่แห่งนั้นมีสายแร่แห่งจิต และเพราะเส้นโลหิตแห่งจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่อาจประมาณค่าได้ เส้นโลหิตใหญ่ที่ว่าจึงถือเป็นสิ่งล้ำค่ามาช้านานก่อนคัมภีร์ยุทธขั้นปฐพีจะถูกสร้างขึ้นเสียอีก เหล่าคน สำคัญจากเบื้องบนล้วนปรารถนาความมั่งคั่งจากสิ่งล้ำค่าชนิดนี้ ทว่าเกิดความริษยาในหมู่พวกเขา ดังนั้นเพื่อ ให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์โดยเกิดปัญหาน้อยที่สุด คนจากเบื้องบนจึงตัดสินใจส่งคนหนุ่มคนสาวในบังคับบัญชา ของตนมาและเสาะหาสิ่งล้ำค่า ซึ่งนั่นก็ทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี”
เสียงพูดขาดหายไปช่วงหนึ่ง ก่อนเสริมขึ้นอีกว่า “เส้นเลือดใหญ่แห่งจิตวิญญาณสมควรเป็นกรรมสิทธิ์ของแคว้นเจียงด้วยอยู่ในอาณาเขตของแคว้นเจียง ถึงกระนั้นต่อให้คนสำคัญจากเบื้องบนประสงค์ที่จะมอบให้ เป็นกรรมสิทธิ์ของแคว้นเจียง แต่พวกเราคงไม่บังอาจยอมรับ ท่านพ่อของข้าเป็นคนฉลาดจึงตัดสินใจเด็ดขาด ในการประทานแหล่งที่อุดมด้วยเส้นเลือดใหญ่ให้เป็นของขวัญ พวกเขาจะได้รับมอบป้ายผ่านทางในการเสาะ แสวงหาสิ่งล้ำค่าเป็นการตอบแทน ซึ่งมันก็ฟังดูยุติธรรมดี”
ผู้ฟังสั่นศีรษะพร้อมกับฝืนยิ้ม เป็นเพราะตัวเขาเองก็เคยคิดมาบ้างแล้วว่าเรื่องดังกล่าวมิใช่เป็นเรื่อง ง่ายเลย
เงียบไปสักครู่หนึ่ง เจียงจิ้วตรัสขึ้นมาว่า “ในโลกนี้มีสองด้านเสมอ บางการต่อสู้ดิ้นรนกระทำอย่าง โจ่งแจ้งเปิดเผยให้ทุกคนได้รับรู้ ขณะเดียวกัน บางการต่อสู้ดิ้นรนกลับไม่ควรเปิดเผย ดังนั้นจึงปกปิดไว้ในมุม มืด แต่ไม่ว่าจะเป็นด้านใดล้วนก่อให้เกิดความเจ็บปวดแสนสาหัสด้วยกันทั้งนั้น ดังเช่นในตอนนี้ เจ้าอาจไม่รู้ นอกจากผู้กล้าแกร่งขั้นสันโดษต้องตายไปแล้วสามคน เท่าที่ข้ารู้มีอย่างน้อยเจ็ดผู้กล้าแกร่งขั้นสันโดษที่ต้องสูญเสียไประหว่างสำรวจตำหนักจ้าวกระบี่”
จากนั้นนางเหมือนจะนึกได้ จึงหันมาทางเยี่ยฉวน “เจ้าเป็นศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางหลาน ซึ่งสถานะ เวลานี้ใกล้จะถูกยุบเต็มที ทว่าอาจารย์ใหญ่จี่มิใช่ธรรมดา ตราบใดที่เขายังอยู่ สถานศึกษาฉางหลานไม่มีวันถูกปิดแน่ ตอนนี้เขารับศิษย์หลายคนรวมทั้งเจ้าด้วย… เห็นได้ชัดว่าคงวางแผนคิดทำการใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ศิษย์ฉางหลานเกือบทั้งหมดถูกศิษย์ฉางมู่ฆ่าตาย แม้แต่บุตรทั้งสองและหลาน ๆ ของเขาเองก็ต่างถูกสังหาร อย่างไร้ความปรานี…”
ชายหนุ่มมองหน้าเจียงจิ้วเต็มตา “เหตุใดจึงทรงบอกเล่าเรื่องราวมากมายให้กับกระหม่อม ?”
หญิงสาวนิ่งไปเสี้ยววินาที ก่อนตอบว่า “ข้าไม่อยากเห็นเจ้าตกเป็นเหยื่อของการต่อสู้เพื่ออำนาจ ระหว่างสถานศึกษาฉางมู่และสถานศึกษาฉางหลาน”
เยี่ยฉวนกำลังจะอ้าปากพูด ทว่าในตอนนั้นผนังผลึกแก้วเบื้องหน้าคนทั้งสองเริ่มแปรเปลี่ยน ตอนนี้มันปรากฏภาพบนผนังผลึกแก้วนั่นขึ้นอย่างแจ่มชัด พื้นที่ตรงกลางภาพมีแท่นกลม และบนแท่นกลมดังกล่าวก็มี สตรีรูปร่างสมส่วนสวมชุดยาวสีแดง นางค้อมตัวแสดงคารวะต่อผู้ชมที่อยู่โดยรอบ ก่อนกล่าวขึ้น
“แขกทุกท่าน ข้าซู่ชิง เป็นผู้พิทักษ์ทรัพย์สินแห่งสำนักอัปสรเมรัยสาขาเมืองชายแดน ครั้งนี้ข้าจะเป็น ผู้รับผิดชอบการประมูลในค่ำคืนนี้เจ้าค่ะ”