หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 13 ใครกล้าว่าร้ายน้องสาวข้า (ต้น)
บทที่ 13 ใครกล้าว่าร้ายน้องสาวข้า (ต้น)
ภายนอกจวนตระกูลเยี่ย
เยี่ยอวี๋ประคองมือทักทายชายชราและชายวัยกลางคนทั้งสองต่อหน้าเขา “ท่านผู้นำตระกูลเจียง ท่านผู้นำตระกูลหลี ท่านผู้นำตระกูลจาง ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เวลานี้ท่านผู้อาวุโสกำลังพักผ่อนอยู่ จึงมิอาจมาพบแขกได้ อย่างไรรบกวนท่านทั้งสามช่วยรอสักหน่อยเถิด สักหนึ่งถึงสองชั่วยามจากนี้ท่านผู้อาวุโสคงจะตื่นแล้ว”
ผู้นำตระกูลหลีหรี่ตาลง “ให้พวกข้าคอยมากกว่าหนึ่งชั่วยามน่ะหรือ ?”
เยี่ยอวี๋พยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มอ่อน “ใช่แล้ว หรือหากท่านทั้งสามไม่ต้องการอยู่คอย พวกท่านก็สามารถกลับไปได้ทุกเมื่อ !”
เมื่อกล่าวจบ เยี่ยอวี๋ก็หมุนตัวและเดินจากไป
ในปัจจุบัน ตระกูลเยี่ยไม่จำเป็นต้องทำตามความต้องการของผู้อื่นอีกต่อไป แม้ว่าโดยภาพรวมนั้น ความแข็งแกร่งของตระกูลเยี่ยอาจไม่สู้เท่าอีกสามตระกูลรวมกัน แต่สมาชิกตระกูลเยี่ยนั้นมีความเชื่อเป็นอย่างยิ่ง ว่าอีกไม่นานพวกเขาจะต้องสูงส่งจนคนในตระกูลอื่นได้แต่แหงนหน้ามอง
เมื่อแผ่นหลังของเยี่ยอวี๋ลับสายตาไปแล้ว สีหน้าของหลีอวี๋และคนอื่น ๆ ก็พลันโกรธขึ้นมาทันที
หลีอวี๋พูดอย่างไม่เกรงใจ “ดูท่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะคิดว่าตัวเองลอยอยู่ในอากาศแล้วกระมัง !”
ผู้เฒ่าเจียงแห่งเมืองชิงกล่าวเสริมอย่างขุ่นเคือง “นั่นเพราะว่าตอนนี้พวกเขามีเยี่ยหลาง ดังนั้นแล้วเขาจะสามารถปฏิบัติต่อเราอย่างไรก็ได้”
คนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งคือผู้นำของตระกูลจาง จางเลี่ยพูดไปพลางยิ้ม “มีคำกล่าวไว้ว่า ‘เมื่อมนุษย์คนใดบรรลุเต๋า แม้แต่สัตว์เลี้ยงของเขาก็จะได้ขึ้นสวรรค์’ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยทำช่างยโสโอหังนัก หากคิดให้รอบคอบ นี่ไม่ใช่สิ่งดีสำหรับตระกูลเยี่ย”
เมื่อกล่าวดังนั้น เขาก็มองไปที่หลีอวี๋และเจียงเหนียน “หากก่อนหน้าเจ้าทั้งคู่ยังลังเลว่าควรร่วมมือกันหรือไม่ ..มาตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเราคงจะไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก !”
เจียงเหนียนมองหลีอวี๋ ไม่ช้าทั้งสามคนก็พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของตระกูลเยี่ยทำให้พวกเขาต้องร่วมมือกัน
หลังผ่านไปได้หนึ่งชั่วยาม ทั้งสามคนก็จึงก้าวเข้าสู่โถงห้องประชุมแห่งจวนตระกูลเยี่ย
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยออกมาพบ เขาประสานมือไว้ข้างหน้า “ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้ารู้สึกอ่อนเพลียนักจึงได้นอนหลับนานเกินไป ขอท่านทั้งสามโปรดอภัยให้ด้วย !”
เจียงเหนียนกล่าวพลางคลี่ยิ้ม “โอ นั่นไม่เป็นไรเลย ช่วงนี้ท่านคงยุ่งมาก พวกเราเข้าใจ พวกเราเข้าใจ!”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยหัวเราะ “เข้ามาก่อนเถิด ท่านทั้งหลายเชิญนั่ง”
เจียงเหนียนและคนอื่น ๆ นั่งลง ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยมองไปที่ทั้งสามคนและยิ้ม “ท่านทั้งสามมาที่จวนตระกูลเยี่ยในวันนี้ มีสิ่งใดที่ข้าควรรู้หรือไม่ ?”
หลีอวี๋ยิ้มตอบและกล่าวว่า “เราทั้งสามมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีที่ผู้ถูกเลือกของตระกูลเยี่ยได้เลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว เป็นที่น่ายินดีของเมืองชิงจริง ๆ! น่ายินดีนัก !”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยหัวเราะ “เยี่ยหลางได้ตื่นขึ้นและดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลก เทพเซียนทรงอวยพรเราแล้ว !!”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก้มลงจิบน้ำชาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะ “ข้าขอขอบคุณทุกท่านที่มาแสดงความยินดีกับเยี่ยหลาง”
ในเวลานี้หลีอวี๋ก็พลันลุกขึ้นยืนอีกครา เขาประสานมือขึ้นกล่าวว่า “ที่ผ่านมา ระหว่างตระกูลหลีและตระกูลเยี่ยมีเรื่องให้ต้องบาดหมางขุ่นเคืองกันมากมายนัก ขอท่านผู้อาวุโสโปรดอภัยให้ด้วย”
คราวนี้เป็นผู้นำตระกูลจาง จางเลี่ยลุกขึ้นยืน ประสานกำปั้นทั้งสองมือเพื่อแสดงความเคารพบ้าง “ท่านผู้อาวุโส หากก่อนหน้านี้พวกเราเคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันด้วยเหตุใด ก็ขอให้ท่านโปรดอภัยด้วย”
ตระกูลจางและตระกูลหลีอาจกล่าวได้ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของตระกูลเยี่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตระกูลจาง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ทายาทผู้สืบทอดคนก่อนของตระกูลเยี่ยต้องเสียชีวิตลง
อย่างไรก็ดี ตอนนี้ตระกูลจางและตระกูลหลีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้ายอมรับเท่านั้น เพราะผู้ถูกเลือกของตระกูลเยี่ยได้ดึงดูดและนำมาซึ่งนิมิตแห่งสวรรค์และโลก หากพวกเขาต่อต้านเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อไปในภายภาคหน้าอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจิบชาและไม่ได้โต้ตอบคำขอโทษเหล่านั้น
ความเงียบทำให้บรรยากาศในห้องดูอึดอัดในทันใด
จางเลี่ยมองไปที่เจียงเหนียน และผู้นำตระกูลเจียงผู้ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล เจียงเหนียนระบายยิ้มอ่อน “ผู้อาวุโส พวกเราทั้งหมดล้วนอาศัยอยู่ในเมืองชิงเล็ก ๆ แห่งนี้ ด้วยพื้นที่ที่ไม่กว้างขวาง ผู้คนพบปะกันเป็นประจำ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้หากจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นสักเล็กน้อย แต่ตอนนี้ตระกูลเยี่ยถูกยกระดับขึ้นแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ตระกูลเยี่ยร่ำรวยมั่งคั่งและมากด้วยพลังอำนาจอย่างแน่นอน ท่านคิดเห็นประการใด ?”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยกยิ้มเล็กน้อย “เมื่อพี่เจียงเริ่มหัวข้อสนทนาขึ้นมาเช่นนี้แล้ว จะให้ข้ากล่าวอย่างไรเล่า ? จะว่าไปแล้ว ตระกูลของข้าก็ได้รับความยากลำบากมานานหลายปีโข หากว่าท่านต้องการที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ มิสู้ยกกรรมสิทธิ์ในการขุดเหมืองทองให้แก่ตระกูลเยี่ยเป็นเวลาสักสิบปี เช่นนี้ดีหรือไม่ ?”
เมื่อได้ยินประโยคคำขอนี้ ทุกคนในที่นั้นต่างก้มหน้าลง หรือหากว่ากันตามตรงก็คือโกรธจัด !!
เหมืองทองคำ !
ตระกูลชนชั้นสูงในเมืองชิงเหล่านี้พึ่งพาสิ่งใดเพื่อความอยู่รอดน่ะหรือ ? แน่นอน พวกเขาย่อมต้องอาศัยเหมืองทองคำ ! ดังนั้นจึงมีความขัดแย้งระหว่างตระกูลเกิดขึ้นมากมาย และแม้ว่าจะมีเหมืองทองคำกระจัดกระจายไปทั่วอยู่รอบ ๆ เมืองชิง แต่ทุกครั้งที่มันถูกค้นพบ หลายตระกูลถึงกับยอมต่อสู้แย่งชิงมาโดยต่างเดิมพันด้วยชีวิต ! ไม่มีผู้ใดคิดยอมแพ้ เป็นเพราะเหมืองทองคำคือแหล่งทรัพยากรอันล้ำค่า หากครอบครัวใดขาดแคลน บนผืนดินมิอาจเพาะปลูก ผู้คนมิอาจได้ฝึกฝน หากการณ์เป็นเช่นนั้นแล้ว ตระกูลใดจะสูญสิ้นไปก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา !
มาบัดนี้ ตระกูลเยี่ยกลับร้องขอเป็นผู้ถือครองสิทธิ์ในการขุดเหมืองเป็นเวลาสิบปีตั้งแต่แรกเริ่ม นั่นมิเท่ากับว่าตระกูลอื่น ๆ ในเมืองชิงจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยเป็นเวลาอีกสิบปีหรอกหรือ !
แม้ว่าพวกเขาคงไม่ไปไกลถึงขั้นตระกูลต้องสูญสิ้น แต่ช่วงเวลาที่ยากลำบากในสิบปีข้างหน้า พวกเขาจะผ่านมันไปได้อย่างไรเล่า
ไม่ไกลกันนัก เจียงเหนียนเหลือบมองไปที่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ย เขาไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา เพียงแต่ก้มหน้าดื่มชาเท่านั้น
ทว่าภายในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา
ไม่เพียงแค่จางเหนียน แต่ใบหน้าอีกสองคนก็ดูไม่ได้เช่นกัน
แม้ว่าพวกเขาเตรียมใจที่จะถูกหยามไว้แล้วตั้งแต่ก่อนมา แต่พวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าตระกูลเยี่ยจะเป็นอันตรายเช่นนี้
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยมองไปรอบๆ และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านทั้งหลายมั่นใจได้ ในเวลาอีกสิบปีให้หลัง บางที เยี่ยหลางคงยืนอยู่บนจุดสูงสุดแล้วกระมังพอถึงเวลานั้น ฮ่าๆ…”
เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าของเจียงเหนียนและคนอื่น ๆ พลันเปลี่ยนไปในทันที !
ยืนอยู่บนจุดสูงสุดอย่างนั้นหรือ !
หากเป็นจริงดังนั้น นั่นหมายถึงเยี่ยหลางคงได้เข้าร่วมกับกองกำลังที่แข็งแกร่งในโลกนี้ไปเสียแล้ว …ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยกำลังหมายความว่าพวกเขาจะกลายเป็นภัยคุกคาม ! และนี่คือการเตือน !
“เมื่อใดที่เยี่ยหลางได้เข้าร่วมกับกองกำลังอันแข็งแกร่ง เขาเพียงต้องใช้ความพยายามสักเล็กน้อยเท่านั้นหากคิดจะทำลายมัน”
เมื่อคิดไปถึงตอนนั้นแล้ว เจียงเหนียนและคนอื่นก็ผลัดกันมองหน้าไปมา ในที่สุดจึงเป็นเจียงเหนียนที่ลุกขึ้นยืนและประสานมือแน่น “เป็นเพราะตระกูลเยี่ยได้เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก่อน ดังนั้นสิบปีต่อจากนี้สิทธิ์ในการขุดเหมืองทองรอบ ๆ เมืองชิงจึงควรเป็นของตระกูลเยี่ย”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยิ้มและประสานมือ “ขอบคุณพวกท่านมาก”
เจียงเหนียนพยักหน้ารับ “ได้เวลาพวกเราต้องไปแล้ว”
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็หมุนตัวและเดินจากไป
ในเวลานี้เยี่ยอวี๋เดินเข้าไปในห้องโถงประชุมและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านผู้อาวุโส หนนี้เป็นท่านที่ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองแล้ว !”
“ขุ่นเคืองงั้นหรือ ?”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยิ้มเยาะ “ตอนนี้ฐานะของตระกูลเยี่ยควรเป็นกังวลว่าจะทำให้พวกเขาขุ่นเคืองด้วยหรือ ? หากเยี่ยหลางได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้วเมื่อไหร่ การจะกำจัดเจ้าพวกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก การที่ข้าร้องขอสิทธิ์ในการขุดเหมืองทองเป็นเวลาสิบปีอย่างชอบธรรมนี่สิ จึงจะถือว่าข้าปราณีที่สุดแล้ว !!”
จากนั้นผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็ลุกเดินออกไป