หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 153 เขามาแล้ว ! (ต้น)
บทที่ 153 เขามาแล้ว ! (ต้น)
ตามไปให้กำลังใจสถานศึกษาฉางหลาน !
หัวหน้ากองทหารวัยกลางคนออกเดินนำสามศิษย์ฉางมู่แห่งแคว้นถัง ตามมาด้วยกองทหารแคว้นเจียง นอกจากพวกทหารยังมีชาวเมืองหลวงติดตามไปเป็นผู้ชมอีกจำนวนหนึ่ง !
โดยเฉพาะกลุ่มหลัง ซึ่งดูท่าจะตามมาสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และทุกคนมีความคิดเหมือนกันคือต้องการให้กำลังใจสถานศึกษาฉางหลาน !
แรกเริ่มเดิมทีชาวเมืองไม่เคยใส่ใจสงครามระหว่างสองสถานศึกษามาก่อน หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ชาวเมืองอยากที่จะได้เห็นความพินาศย่อยยับจากการปะทะกันของสถานศึกษาทั้งสอง !
ทว่าครั้งนี้แตกต่าง ! เหตุเพราะผู้ที่มาท้าประลองเป็นคนจากแคว้นถัง !
แคว้นถัง ! ศัตรูคู่แค้นของแคว้นเจียง ! มีผู้คนมากมายเท่าไรที่ต้องตายในสงครามระหว่างแคว้น ?!
บัดนี้ศิษย์ฉางมู่แคว้นถังกล้ามาเหยียบถึงถิ่นแคว้นเจียง ! จึงเป็นเวลาที่ผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจต่อสถาน ศึกษาฉางหลาน ด้วยนับแต่นี้จะไม่ใช่สงครามระหว่างสองสถานศึกษาเท่านั้น แต่เป็นสงครามระหว่างแคว้น สองแคว้น !
ใบหน้าของชายชราที่มาจากสถานศึกษาฉางมู่บึ้งตึง ชั่วขณะหนึ่งเขารู้แล้วว่าตนเองผิดพลาดที่ปล่อย ให้ศิษย์แห่วแคว้นถังผ่านเข้ามาในแคว้นเจียงโดยง่าย…
สถานศึกษาฉางมู่เคยอยู่แต่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าคนอื่น คนจากฉางมู่เองก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน พวก เขาไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น ทั้งไม่ใส่ใจต่อความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเจียงและแคว้นถัง หรือจะว่าก็คือไม่เคยใยดีต่อความคิดของคนที่มีสถานะต่ำกว่าอย่างชาวบ้านร้านตลาดเหล่านี้ !!!
…ดังนั้นแล้ว จากการกระทำที่ผ่านมา มันจึงเสมือนเป็นการเติมเชื้อไฟแห่งความโกรธเคืองในใจของผู้คน !
ชายชราละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าในที่สุดเขาก็ตัดสินรีบรุดกลับไปยังสถานศึกษาฉางมู่ ด้วยมีความรู้สึกว่าสถานการณ์ที่ยุ่งยากต่อไปในแคว้นเจียง สถานศึกษาฉางมู่อาจไร้คนสนับสนุนก็เป็นได้
ในขณะเดียวกัน กองทหารก็ได้เดินเท้าพร้อมด้วยสามศิษย์ฉางมู่แห่งแคว้นถังมุ่งหน้าสู่สถานศึกษาฉางหลาน ซึ่งศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ทั้งสามต่างมีสีหน้าเรียบเฉยไม่แตกต่าง อีกทั้งแววตายังดูแคลนและหยิ่ง ผยองไม่แตกต่าง
ไม่นานนักคนทั้งหมดก็มาหยุดลงตรงเชิงเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาฉางหลาน และที่เชิงเขาด้าน ล่าง เด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งกำลังถือตระกร้าที่เต็มไปด้วยผักป่านานาชนิด นางคือเยี่ยหลิงซึ่งลงจากเขาเพื่อ เก็บผักป่าไปทำอาหารนั่นเอง !
เยี่ยหลิงเหลือบเห็นคนทั้งกลุ่มเข้าก็สะดุ้งตัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้วิ่งหนีเพราะท่านอาจารย์ใหญ่จี่เคยสั่งไว้ว่าในละแวกบริเวณภูเขาเป็นที่ที่ปลอดภัย
หัวหน้าทหารวัยกลางคนเดินออกมาเบื้องหน้า เขาเอ่ยถามแม่หนูน้อยว่า “นี่แม่หนู เยี่ยฉวนอยู่ที่นี่หรือ ไม่ ?”
เยี่ยหลิงกะพริบตาปริบ “ท่านมีธุระอะไร ?”
หัวหน้าทหารหันชี้มือไปที่สามศิษย์แห่งฉางมู่ซึ่งยืนเยื้องออกไป “คนสามคนนี้มาจากแคว้นถัง จะมาท้าประลองกับเยี่ยฉวน ส่วนคนพวกนั้นตามมาให้กำลังใจเยี่ยฉวน !”
หนูน้อยเหลือบมองคนจากสถานศึกษาฉางมู่เล็กน้อยก่อนหันกลับไปทางภูเขา พลันยกมือขึ้นป้องปากตะโกนเรียก “ท่านพี่เจ้าคะ มีคนจากฉางมู่มาหาอีกแล้ว !”
ดังนั้นทุกคนต่างมองหน้ากัน “…”
ทันใดนั้นเอง ร่างในชุดดำทะยานลงจากภูเขารวดเร็ว เพียงแว่บเดียวเขาลงมาหยุดอยู่ที่เชิงเขา ผู้นั้นคือเยี่ยฉวน !
เขาเคลื่อนที่รวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงพริบตาก็สามารถลงจากยอดเขามาถึงเชิงเขาอย่างชนิดไม่ต้อง หยุดพัก !
เมื่อเห็นคนที่ปรากฏตัว หัวหน้าศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่แสยะยิ้ม พลางก้าวออกมาด้านหน้า “เจ้า คือเยี่ยฉวนสินะ ข้าคือศิษย์แห่งฉางมู่จากแคว้นถัง ชื่อหลี่…”
ทันใดนั้นเอง ความรวดเร็วของเยี่ยฉวนกลับเพิ่มเป็นทวีคูณ แสงสว่างวาบพุ่งตรงเข้าหาคนที่กำลังอ้า ปากพูด ฉับพลันลำแสงแว่บวาบสาดสว่างไปทั่วลาน
ชิ้ง !
มิทันที่คนพูดได้จนจบประโยค พลันร่างสะดุ้งเฮือกแข็งขึง !
เกิดลำแสงตวัดผ่านดังฉับ !
ศีรษะที่ตั้งตรงขาดกระเด็นออกจากคอ !
ฉูดดด !
โลหิตแดงฉานพุ่งกระฉูดจากบาดแผลราวน้ำพุ สาดกระเซ็นเป็นฟองฝอย !
ต่อหน้าต่อตาของกองเชียร์ พวกเขาต่างเบิกตากว้างด้วยความตะลึงลาน !
จากนั้นเยี่ยฉวนทะยานปราดจากขวาสู่ซ้าย ขณะเดียวกันมือตวัดกระบี่จากขวาสู่ซ้าย
ฉัวะ !
ศีรษะของศิษย์ฉางมู่คนที่สองปลิวหวืดออกจากตัวคนทันที !
ในเวลานั้นศิษย์ฉางมู่ที่เหลือคนที่สามสำเหนียกถึงภัยที่จะมาถึงตัว พลันหันหลังออกวิ่งหนีไปจากที่ เกิดเหตุในทันที
เยี่ยฉวนไม่ได้ออกติดตาม คงปล่อยให้เจ้าคนหนีวิ่งจากไปโดยอิสระเป็นแน่แท้ อีกทั้งชายหนุ่มยังหันหลังเดินกลับไปหาน้องสาวตัวน้อย แต่ถึงกระนั้นกระบี่ในมือกลับสะบัดออกจากที่ พลันมีเสียงคมกระบี่ฟาดฟันเข้ากับวัตถุทางเบื้องหลัง… จากที่ห่างไปนับสิบจั้ง !!
ฉัวะ !
กระบี่สะบัดวาบที่ศีรษะของศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่คนสุดท้าย ! เกิดโลหิตฟอดฟองละอองฝอยทั่วฟ้า ขณะเดียวกันกับที่กระบี่เบนทิศทางหวนคืนสู่เยี่ยฉวน ! ชายหนุ่มยกมือข้างขวารับด้ามกระบี่ ขณะที่มือข้างซ้ายฉวยมือน้องขึ้นมาจูง “พวกเรากลับไปทำกับข้าวกัน !”
จากนั้นพี่ชายและน้องสาวพากันจูงมือกันเดินเอื่อย ๆ กลับขึ้นเขาไป ท่ามกลางสายตาตกละลึงต่อเหตุการณ์ของคนทั้งหมด
กลุ่มคนที่เชิงเขาเงียบกริบ ด้วยไม่หายงงงันต่อสิ่งที่เกิดขึ้น “พวกเขาตายหมดเลยเหรอ ?”
“ตายหมดไม่เหลือเพียงพริบตาเดียวเนี่ยนะ ?” ในที่สุดคนที่เริ่มคืนสติจึงเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ
กว่าที่คนอื่นจะหายจากอาการตะลึงงัน เยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงก็ได้หายลับไปจากสายตาเสียแล้ว !
“นี่เอง ผู้ฝึกกระบี่… เยี่ยมยอดเหลือเกิน !!”
“เมื่อก่อนสถานศึกษาฉางมู่ปฏิเสธรับคนผู้นี้เป็นศิษย์… พวกคนฉางมู่ตาถั่วสิ้นดี จึงมองไม่เห็นความ สามารถของคนคนนี้ !” เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“เหอะตาถั่วยังไง ? ข้าว่างี่เง่าต่างหาก… ในแคว้นเจียงเวลานี้คงมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่ว เท่านั้น จึงคู่ควรประมือกับเยี่ยฉวน…” อีกคนย้อนให้
“แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นสหายสนิทสนมกับผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่วเสียด้วยซี… เฮ้ย ข้าเคยบอกเจ้า ไม่ใช่เหรอ ว่าที่ผู้เยี่ยมยุทธ์อันยอมรับในตัวคนผู้นี้ ย่อมแสดงว่าเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ จริงไหม ? ทีนี้เห็นหรือ ยังว่า ข้าพูดถูก…”
“จะบ้าหรือไง ! ข้าจำได้ว่าเจ้าน่ะแหละเป็นคนบอกข้าเอง ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์อันตัดสินใจผิดที่คิดเช่นนั้น แถมยังพูดอีกว่าเยี่ยฉวนไม่มีอะไรที่คู่ควรกับนางสักนิด !”
“…”
หลังจากนั้นข่าวเยี่ยฉวนสังหารสามศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่จากต่างแคว้น ก็ได้แพร่สะพัดไปใน เมืองหลวงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าโรคระบาด !
ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในเมืองหลวงราวถูกปลุกให้ลุกฮือ เพราะคนที่เยี่ยฉวนสังหารไม่ได้เป็นแค่ ศิษย์แห่งฉางมู่ ทว่าคนพวกนั้นมาจากแคว้นถัง การที่เยี่ยฉวนสังหารคนสามคนภายในเวลาอันรวดเร็ว จึงทำให้ความรู้สึกของผู้คนมีทั้งปลื้มใจทั้งสะใจปนเปกันไป