หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 164 พวกเขาอัตคัดขัดสนยิ่ง ! (ปลาย)
บทที่ 164 พวกเขาอัตคัดขัดสนยิ่ง ! (ปลาย)
“เจ้าเฟิงอี้ซิ่วคนนี้พลังขั้นสันโดษ ทว่าอาจจะเพิ่งบรรลุได้เพียงไม่นาน ดูเหมือนเขายังไม่สามารถควบคุมพลังในบรรยากาศได้ !”
“แต่ถ้าเมื่อใดที่เขาสามารถควบคุมพลังในบรรยากาศได้ด้วยแล้วล่ะก็…” คิดเช่นนั้น สีหน้าของเยี่ยฉวนกลับยิ่งเครียดขรึม !
เยี่ยฉวนไม่ใช่คนเย่อหยิ่งอวดดีมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งไม่หลงลืมความเป็นตัวเอง ภายในสมองเริ่มคิดวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองรวมทั้งของคู่ต่อสู้ไปพร้อมกัน
“ข้าต้องรีบบรรลุขั้นพลังให้เร็วที่สุด !” ชั่วขณะหนึ่งที่เขาเริ่มรู้สึกถึงความไม่พร้อมของสมรรถนะแห่งพลัง หากยังไม่บรรลุทะยานสวรรค์โดยเร็ว คงไม่สามารถรับมือคู่ต่อสู้ในขั้นสันโดษในภายหน้าได้เป็นแน่ !
ฟากของคนที่อยู่ตรงกันข้าม เฟิงอี้ซิ่วก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน ด้วยการปะทะที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าสมรรถนะและความกล้าแกร่งของเยี่ยฉวนเป็นสิ่งที่ตนไม่คาดฝัน !
ไม่เคยแม้แต่จะคิดเผื่อใจ เนื่องด้วยนี่เป็นการปะทะกับคู่ต่อสู้ครั้งแรกด้วยทักษะยุทธ์ขั้นปฐพี !
ถึงกระนั้น ต่อให้ใช้ความกล้าแกร่งของตน มันก็มิอาจทำอันตรายต่อเยี่ยฉวนเลยแม้แต่น้อย !
ทั้งที่พลังของเยี่ยฉวนเพียงขั้นหลอมรวมลมปราณเท่านั้น ! “ถ้าเขาบรรลุทะยานสวรรค์หรือสันโดษแล้วล่ะก็…”
เมื่อคิดเช่นนั้น มือที่เกร็งหมัดแน่นของเฟิงอี้ซิ่วค่อยคลายออกจากกัน !
เจตนาสังหารอย่างนั้นหรือ ? ความคิดของเฟิงอี้ซิ่วพลุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เวลานี้เจตนาสังหารของเขากลับเลือนหายจนหมดสิ้น อันที่จริงเขากับเยี่ยฉวนล้วนไม่เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ !
“ไม่มีแม้ความเคียดแค้นชิงชัง และเหตุใดพวกเราจึงต้องมาเข่นฆ่าอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ ?” เฟิงอี้ซิ่วหันไปมองอีกทาง ที่ที่ปรากฏร่างของชราถือไม้เท้ายืนสงบนิ่ง !
เยี่ยฉวนเองรวมทั้งคนอื่น เมื่อเห็นผู้ที่ยืนอยู่อีกด้าน ทั้งหมดพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน ด้วยชายชราผู้นี้ สถานะขั้นพลังเทียบเท่าอาจารย์ใหญ่จี้ของพวกเขา !
คนมาใหม่เดินตรงเข้าไปหาเยี่ยฉวน สายตาที่มองตรงลึกล้ำยากหยั่งรู้ถึงอารมณ์และความคิด “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยคิดเข้าเป็นศิษย์สถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นเจียง จริงหรือไม่ ?”
เยี่ยฉวนพยักหน้าแทนคำตอบ
“พวกเขาปฏิเสธอย่างนั้นหรือ ?” เสียงคนแก่ถือไม้เท้าถามดังมาอีก
ชายหนุ่มไม่ตอบแต่พยักหน้าอีกครั้ง
ครานี้ฝ่ายที่ถามส่ายหน้าช้า ๆ พลางถอนใจ “ไอ้พวกปัญญาอ่อน” จากนั้นจึงเบนสายตาไปทางเฟิงอี้ซิ่วและหันกลับมาพูดกับเยี่ยฉวน “ไม่บาดหมาง ย่อมไม่ได้มิตร พวกเจ้ามาเป็นสหายกัน จะไม่ดีกว่าหรือ ?”
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบ
ผู้อาวุโสยิ้มในหน้า “เอาล่ะ ข้ารู้ว่าศิษย์ของข้าทำร้ายเหล่าสหายของเจ้า…” ขณะที่กล่าวเช่นนั้น เขายกนิ้วชี้ขึ้นและกดลง
ทันใดนั้นปรากฏขวดหยกสีขาวขึ้นต่อหน้าโม่อวิ๋นฉีและจี้อันซื่อ พร้อมกันนั้นยังปรากฏมีดบินทองคำเบื้องหน้าโม่อวิ๋นฉีและดาบยาวประกายเพลิงโชติช่วงเบื้องหน้าจี้อันซื่อด้วย
ทั้งหมดเป็นสุดยอดศาสตราวุธ ! โม่อวิ๋นฉีและจี้อันซื่อตะลึงลานต่อสิ่งที่ปรากฏออกตรงหน้าตนเอง
น้ำเสียงเป็นมิตรของชายชราดังต่อมาว่า “ขวดหยกนั่นคือโอสถเทพประสาน ราคาซื้อขายกันสูงลิบ เม็ดละสามแสนเหรียญทองแต่ละขวดมีห้าเม็ด ส่วนมีดบินทองคำ เป็นหนึ่งในสุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณซึ่งข้าได้มาโดยบังเอิญ สำหรับดาบยาวเล่มนี้ชื่อว่าดาบเพลิงกัลป์ นับเป็นหนึ่งในสุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน ถ้าเหล่าสหายของเจ้ามีโอกาส ก็อาจทำให้ทั้งสองสุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณกลายเป็นศาสตราวุธจิตวิญญาณขั้นประกายแสงได้”
ทันที่ที่ได้ฟังคนกล่าวจนจบ จี้อันซื่อคว้าหมับทั้งขวดหยกสีขาวและดาบเพลิงกัลป์โดยไม่รีรอ โดยเฉพาะสายตาที่มองดูดาบเพลิงกัลป์ที่วาวโรจน์อย่างไม่ปิดบัง
โม่อวิ๋นฉีเห็นเช่นนั้น เขาจึงรีบคว้าขวดหยกและมีดบินอย่างรวดเร็ว ขณะจ้องมองมีดทองคำในมือด้วยความพึงพอใจพลางยิ้มกว้างปากแทบฉีกถึงใบหู
สุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณ !
ในชีวิตไม่เคยได้สัมผัสของแบบนี้มาก่อน !
ไป๋เจ๋อซึ่งยืนใกล้เหลือบมองอย่างหมั่นไส้ “เก็บอาการหน่อย !”
ในขณะนั้น เยี่ยฉวนหันไปทางชายชรา สีหน้าของเขาแสดงความสงสัยเคลือบแคลงไม่มิดเม้ม “เหตุใดจึงทำเช่นนี้ ?”
ชายชรามองหน้าเยี่ยฉวนและยิ้ม “พวกเราแค่อยากเป็นมิตรด้วยเท่านั้นเอง !”
เยี่ยฉวนได้ยินดังนั้นก็นิ่งงันไป
ฝ่ายผู้อาวุโสเห็นเช่นนั้น ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มขณะกล่าวว่า “แต่ไม่เป็นไรหรอกถ้าเจ้าไม่ปรารถนาจะเป็นมิตรกับพวกเราในวันนี้ เอาไว้ถ้ามีโอกาส เจ้าค่อยทำความรู้จักกับศิษย์ของข้าก็ยังไม่สาย”
เยี่ยฉวนรีบสั่นศีรษะ “มิได้ เพียงแต่ข้า…” เขาหันไปมองโม่อวิ๋นฉีและจี้อันซื่อ ก่อนหันกลับมาพูดเร็ว
“เพียงแต่ข้าเห็นพวกเขาได้รับของกำนัลกันแล้ว แต่ข้ายังไม่ได้…”
ชายชราได้ยินเช่นนั้น จึงนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่งแต่แล้วกลับเปล่งเสียงหัวเราะก่อนพลันกดนิ้วชี้ลงอีกครั้ง
ทันใดนั้นกระบี่งดงามเล่มหนึ่งก็ได้ปรากฏออกเบื้องหน้าเยี่ยฉวน
สุดยอดศาสตราวุธกระบี่จิตวิญญาณ ! เยี่ยฉวนฉวยคว้ากระบี่ทันที เขาเงยหน้าขึ้นทำท่าอ้าปากจะพูด พลันเสียงไป๋เจ๋อดังขัดจังหวะขึ้น “แล้วข้าเล่า ?”
เยี่ยฉวนรีบหุบปากลงแทบไม่ทัน “…” ส่วนโม่อวิ๋นฉีเบ้ปาก ได้ทีเหยียดหยามไป๋เจ๋อคืนบ้าง “เก็บอาการหน่อย เก็บอาการ !”
ชายชราผู้ถือไม้เท้าหันมาทางไป๋เจ๋อร่างใหญ่โต ทว่าครานี้กลับมีสีหน้าลังเลเล็กน้อยพลันกล่าวกับเขาว่า “เจ้าฝึกฝนพลังทางกายเป็นหลัก ดังนั้นข้าจึงยังหาของกำนัลที่คู่ควรกับเจ้าไม่ได้… เอาอย่างนี้ ข้าจะมอบยาตันเถียนให้เจ้าเป็นของกำนัลก็แล้วกัน !”
จากนั้นเมื่อเขากดนิ้วชี้ ก็พลันปรากฏขวดหยกขาวเบื้องหน้าไป๋เจ๋อ เขาไม่ปฏิเสธ และรีบคว้าขวดหยกขาวซึ่งมีมูลค่าสูงลิบมากำไว้แน่น !
จากนั้นคนชราถือไม้เท้าหันไปพูดกับเยี่ยฉวนว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องของลาก่อน ถ้ามีเวลา คงมีโอกาสต้อนรับพวกเจ้าที่แคว้นชูของเราบ้าง !” พูดจบก็หันหน้ามองไปทางด้านขวาในที่ไกลออกไป แล้วจึงหันหลังออกไปโดยมีเฟิงอี้ซิ่วและสตรีในชุดดำตามหลัง
เยี่ยฉวนเห็นเข้า รีบร้องตะโกนไล่หลังอย่างมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ “พวกท่านเองก็ค่อยแวะมาบ้างนะ !”
ณ บนอากาศ ชายชรานั่งอยู่บนไม้เท้า… ก่อนที่เสียงลอยตามลมจะดังมาจากด้านข้าง เป็นเฟิงอี้ซิ่วที่เอ่ยถามอย่างสงสัย “อาจารย์ เหตุใดท่านจึงมอบของล้ำค่าเหล่านั้นให้พวกเขาล่ะขอรับ ?”
คนบนไม้เท้าตอบอย่างใจเย็น “เจ้าประมาทเยี่ยฉวน เหมือนที่ข้าเคยประมาทอาจารย์ใหญ่จี้”
เมื่อได้ยินอาจารย์ตอบ เฟิงอี้ซิ่วจึงเข้าใจความนัยนั้น เขาเงียบไปชั่วขณะ ราวกับนึกอะไรขึ้นได้จึงมีเสียงพูดลอยมาว่า “พวกเขา… อัตคัดขัดสน ทั้งแข็งแกร่งอดทน…”