หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 17 คนขี้ขลาดเป็นยังไงงั้นหรือ ? (ต้น)
บทที่ 17 คนขี้ขลาดเป็นยังไงงั้นหรือ ? (ต้น)
“อันหลานซิ่ว !”
เยี่ยฉวนเองก็ตกใจเช่นกัน
เขาเองก็เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ในแคว้นเจียงนับได้ว่ามิมีผู้ใดไม่รู้จักอันหลานซิ่ว และนั่น…มันก็เพราะว่าชื่อเสียงของนางนั้นระบือไปไกล !!!
นางคืออัจฉริยะแห่งแคว้นเจียง !
อันหลานซิ่วบรรลุพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ตั้งแต่ก่อนอายุ 18 ปี ไม่เพียงเท่านั้น แต่นางยังเป็นสตรีผู้ใช้หอกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแคว้นเจียงอีกด้วย และที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่นางเข้าใจการใช้หอกอย่างลึกซึ้งและสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของหอกด้วยวัยไม่ถึง 18 ปี !
นี่หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ ?
หมายความว่า นางมีโอกาสมากถึงเก้าในสิบส่วนที่จะเข้าถึงเต๋าแห่งหอกที่ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า
นี่คืออัจฉริยะที่ไม่เคยมีปรากฏในประวัติศาสตร์แห่งแคว้นเจียงมาก่อนในรอบ 500 ปี !
นอกจากนั้นยังมีบันทึกและตำนานมากมายเกี่ยวกับอันหลานซิ่ว… เป็นต้นว่า
นางเป็นศิษย์คนแรกที่ได้รับเชิญให้เข้าศึกษาที่ฉางมู่โดยอาจารย์ใหญ่
นางคือผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นที่มีอายุน้อยที่สุดในแคว้นเจียงบ้าง
นางคือชนรุ่นหลังคนแรกแห่งแคว้นเจียงที่สามารถฝึกฝนจนเลื่อนขั้นสำเร็จ
ในสายตาของนางแล้วกับแค่เรื่องที่ผู้ถูกเลือกคนหนึ่งนั้นไม่ควรค่าพอให้กล่าวถึงจริง ๆ!
เยี่ยฉวนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่นางมาเยือนถึงเมืองชิงได้
บนหลังม้า อันหลานซิ่วยกชูหอกยาวขึ้นมาและชี้ตรงไปที่เยี่ยฉวน ในแววตาไม่มีร่องรอยของการแสดงของความดูถูก ชื่นชมหรืออวดอ้างความหยิ่งยโสแต่อย่างใด
…ดวงตาคู่นั้นของหญิงสาวช่างสงบนิ่งและมั่นคง
เยี่ยฉวนดึงสติของตัวเองกลับมาก่อนจะส่ายหน้า “ท่านทักผิดคนแล้ว”
คิ้วสีเข้มของอันหลานซิ่วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
เยี่ยฉวนอธิบาย “ขอตอบท่านว่า ข้ามิใช่ผู้ที่ดึงดูดนิมิตแห่งฟ้าดินมาที่นี่แต่อย่างใด ส่วนเยี่ยหลางนั้นอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลเยี่ย ท่านจะสามารถพบเขาได้ที่นั่น !”
อันหลานซิ่วเลิกคิ้วเรียวงามของนางเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ “เจ้ามิใช่เยี่ยหลางหรอกหรือ ?”
เยี่ยฉวนพยักหน้ารับ
ทันใดนั้น เยี่ยหลิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เยี่ยฉวนก็พลันพูดขึ้นว่า “พี่สาว แต่ท่านพี่ของข้า เองก็ยอดเยี่ยมมากเหมือนกันนะเจ้าค่ะ !”
เยี่ยฉวนอมยิ้มและยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก ๆ ของน้องสาว ส่วนเยี่ยหลิงก็เอาแต่คลี่ยิ้มหวาน จับแขนพี่ชายของนางไว้แน่น
เห็นทีอันหลานซิ่วจะต้องมองเยี่ยฉวนเสียใหม่แล้ว นางกล่าวขึ้นว่า “ข้าล่ะประหลาดใจนัก เมืองชิงเล็ก ๆ แห่งนี้นอกจากจะมีผู้ที่ดึงดูดนิมิตแห่งฟ้าดินมาได้อย่างเยี่ยหลางแล้ว ยังมีคนอื่นที่บรรลุขั้นกายาซ่อนเร้นอยู่ด้วย”
เยี่ยฉวนเพียงยิ้มแต่ไม่กล่าวอะไร
อันหลานซิ่วไม่สนใจ “เจ้าจะใช่เยี่ยหลางหรือไม่ก็ช่างเถอะ แต่เจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะรับการโจมตีด้วยหอกของข้าได้ครั้งหนึ่ง อยากจะลองไหมเล่า ?”
“ว่าไง ?”
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบ แล้วคิดในใจ
‘ข้าไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียง หากข้ารับคำท้า คนอื่น ๆ อาจรู้เรื่องความแข็งแกร่งของข้า และหากผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รู้เข้า พวกมันจะต้องรีบหาทางกำจัดข้าด้วยกำลังทั้งหมดที่มีแน่ หรือเผลอ ๆ อาจจะเริ่มลงมือที่เยี่ยหลิงก่อนก็เป็นได้ แต่หากข้าไม่รับคำท้า นั่นก็ไม่ใช่ข้าเยี่ยฉวนแล้วน่ะสิ ! ข้าไม่ใช่ขี้ขลาด ใครกล้าท้า ข้าก็กล้าสู้’
…เยี่ยฉวนอยากจะรู้นักว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน!
เมื่อไตร่ตรองทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงหันมองไปที่อันหลานซิ่ว “อีกสองวันให้หลัง …แล้วข้าจะไปสู้กับท่าน ตกลงหรือไม่ ?”
“สองวันให้หลังอย่างนั้นหรือ ?”
อันหลานซิ่วส่ายศีรษะเล็กน้อย “ขออภัยด้วย แต่คุณสมบัติของเจ้า ไม่ควรค่าแก่การให้ข้าต้องอดทนรอถึงสองวันหรอก”
ว่าแล้วอันหลานซิ่วก็ตั้งท่าจะควบม้าจากไป
เมื่อมาถึงตอนนี้ เยี่ยฉวนก็พลันคว้ากระบี่ไม้ที่พิงอยู่ด้านข้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะดึงเส้นผมออกมาเส้นหนึ่ง แล้วตวัดกระบี่ไม้ในมือตัดมันให้ขาดออกจากกัน
ฉับพลัน ผมเส้นนั้นก็ได้แยกออกเป็นสองท่อนโดยไร้สุ้มเสียงใด !
อันหลานซิ่วหยุดชะงักและหันกลับไปมองเยี่ยฉวนอีกครั้ง ความแปลกใจสะท้อนขึ้นในดวงตา “นับว่าแปลกยิ่งนัก ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน เจ้าไม่เพียงบรรลุไปถึงขั้นกายาซ่อนเร้นได้ แต่ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่อีกด้วย ผู้ฝึกกระบี่ที่ยังหนุ่มเช่นนี้หาได้ยากยิ่งในแคว้นเจียงแห่งนี้”
เยี่ยฉวนมองตรงไปที่อันหลานซิ่ว “อีกสองวันให้หลังข้าจะไปสู้กับท่าน ท่านตกลงหรือไม่ ?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยของอันหลานซิ่วที่กำลังคิดในใจ
‘ชายตรงหน้านี้กำลังบอกว่าเขาจะสู้กับข้า แทนที่จะรับการโจมตีเพียงครั้งเดียวจากข้า !’
อันหลานซิ่วมองเยี่ยฉวนใหม่อีกครั้งก่อนจะกล่าวว่า “ได้ เช่นนั้นข้าจะรอเจ้าอีกสองวัน แต่ตอนนี้ข้าต้องการจะไปพบเยี่ยหลาง พวกเจ้ารู้ไหมว่าจวนตระกูลเยี่ยอยู่ที่ใด ?”
เวลานี้เยี่ยหลิงฉีกยิ้ม “พี่สาว พวกข้าเองก็มาจากจวนตระกูลเยี่ย ท่านสามารถมากับพวกเราได้นะเจ้าคะ !”
อันหลานซิ่วจ้องไปที่เยี่ยฉวน “นี่พวกเจ้าก็เป็นลูกหลานตระกูลเยี่ยหรอกหรือ ?”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ก็ประมาณนั้น !”
อันหลานซิ่วพยักหน้ารับเบา ๆ “ตระกูลเยี่ยนั้นโชคดีนักที่มีอัจฉริยะมากถึงสองคน ดูท่าว่าอีกไม่นานนักตระกูลเยี่ยคงได้เลื่อนขั้นเป็นตระกูลชนชั้นสูงระดับสองแล้ว”
เยี่ยฉวนยิ้มแต่ไม่กล่าวอะไร
เมื่อเป็นเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว สองพี่น้องจึงพากันเดินทางกลับไปยังจวนพร้อมกับอันหลานซิ่ว ซึ่งการมาเยือนของนางครั้งนี้มันก็ทำให้จวนตระกูลเยี่ยสั่นสะเทือน กระทั่งแม้แต่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังต้องรีบร้อนออกมาต้อนรับ
แม้ว่าคนในตระกูลเยี่ยมักจะคิดร้าย ดูถูก และเหยียดหยามผู้อื่นเป็นประจำ แต่อย่างไรเสียอันหลานซิ่วก็ถือเป็นคนที่มาจากเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ
นอกจากนี้แล้ว …ถึงแม้จะมีตระกูลเยี่ยอีกนับร้อยตระกูล มันก็ไม่อาจเทียบเคียงเศษเสี้ยวพลังที่อยู่เบื้องหลังของนางได้เลยแม้แต่นิด ดังนั้นผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยและคนอื่น ๆ จึงแทบจะสำลักความสุขออกมาเมื่อได้รู้ว่าอันหลานซิ่วบุกมาท้าทายเยี่ยหลางถึงที่นี่ !
เมื่อเยี่ยฉวนและอีกสองสามคนมาถึงที่ประตูจวน ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยและคนอื่น ๆ ก็ออกมาให้การต้อนรับขับสู้ ทว่าคิ้วของผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็พลันยับย่นขึ้นมาทันทีเมื่อได้เห็นเยี่ยฉวนและน้องสาว แต่กระนั้นเขาก็เลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจทั้งคู่ และเดินตรงไปยังอันหลานซิ่วเพื่อกล่าวทักทาย
“นับเป็นเกียรติของพวกข้าแล้วที่ท่านเมตตามาถึงนี่ อย่างไรโปรดเข้ามานั่งพักผ่อนจิบชาที่ข้างในเสียก่อนเถิด”
อันหลานซิ่วส่ายหน้าเบา ๆ “เรื่องนั้นน่ะช่างเถิด เยี่ยหลางอยู่ที่นี่หรือไม่ ?”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยตอบรับอย่างรวดเร็ว “แน่นอน เขาอยู่ …เขาอยู่”
เขาหันไปมองผู้อาวุโสคนอื่นที่อยู่ข้าง ๆ และสั่งว่า “ไปพาเยี่ยหลางมาที่นี่สิ !”