หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 171 น้องข้าอยู่ที่ไหน ? (ต้น)
บทที่ 171 น้องข้าอยู่ที่ไหน ? (ต้น)
ณ บนเรือเหาะ ภายในห้องพักผู้โดยสาร
ร่างของเยี่ยฉวนในท่านั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น กระแสพลังชวนพิศวงแห่งเคล็ดวิชาหมุนวนรอบตัว
…ความน่าพิศวงแห่งกระแสเคล็ดวิชาบังเกิดบรรยากาศคลุมเครือและแสงเรื่อเรือง…
ณ ปากทางขึ้นชั้นที่สอง กระดาษแผ่นหนึ่งละล่องลอยลงมาและตกลงบนพื้นสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าเยี่ยฉวน บนกระดาษ…ปรากฏภาพของกระบี่ ขณะที่เบื้องหลังมีเครื่องหมาย ‘?’ ขนาดใหญ่
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ เยี่ยฉวนลืมตาขึ้นทันที นัยน์ตาจับจ้องไปยังภาพที่ปรากฏบนกระดาษ เสียงพึมพำผ่านริมฝีปาก “ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี…”
เมื่อเยี่ยฉวนผุดลุกขึ้นยืน ฉับพลันกระบี่หลิงซิ่วก็ได้ทะยานออกมาภายนอก จนเกิดลำแสงสว่างเป็นเส้นสายสาดส่องไปทั่วบริเวณพื้นที่ชั้นหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้นทั่วร่างของชายหนุ่มยังปรากฏแสงเรืองรองแห่งแสงกระบี่ อีกทั้งยังไหวระริกจากกระแสแห่งเคล็ดวิชา !
ฉับพลันนั้น ระดับการผสานระหว่างกระบี่หลิงซิ่วและเยี่ยฉวนพุ่งทะยานสู่เก้าส่วนในสิบส่วน !
บัดนี้เยี่ยฉวนไม่จำเป็นต้องอาศัยการหลอมรวมลมปราณในการควบคุมกระบี่ต่อไป ด้วยสามารถใช้ทักษะ ‘เคล็ดวิชา’ ในการควบคุมกระบี่ทดแทน !
ความเร็วของกระบี่เพิ่มขึ้นห้าเท่าจากเดิม !
ที่สุดเขาก็สามารถควบคุมกระบี่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ !
…
เรือเหาะลำนั้น พาพวกเยี่ยฉวนเดินทางเข้าใกล้แคว้นหนิงขึ้นทุกขณะ
แคว้นหนิง !
แคว้นหนิงมีอาณาเขตติดกับแคว้นเพื่อนบ้านสองแคว้นคือแคว้นเจียงและแคว้นถัง เมื่อพิจารณาจากแนวเขตแดนของทั้งสามแคว้นจะเห็นได้ว่าบรรจบกันเป็นรูปสามเหลี่ยม แต่แคว้นหนิงมีข้อได้เปรียบมากกว่าแคว้นเจียงและแคว้นถัง จึงนับเป็นแคว้นที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสามแคว้น !
ทั้งนี้เพราะความขัดแย้งระหว่างแคว้นถังและแคว้นเจียงที่มีมาโดยตลอด ทำให้แคว้นทั้งสองไม่หยุดการสู้รบซึ่งยังผลให้คู่ต่อสู้จำต้องเผชิญกับความทุกข์ยากอันเป็นผลพวงจากสงคราม แตกต่างจากแคว้นหนิง !
เพราะในขณะนั้นแคว้นหนิงได้มุ่งเน้นการพัฒนาภายในแคว้นให้เจริญรุ่งเรือง ! อีกทั้งแคว้นหนิงยังมีข้อได้เปรียบด้านภูมิประเทศทางธรรมชาติ อันเป็นแหล่งแร่ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังปราศจากภัยทางธรรมชาติ จึงส่งผลให้แคว้นหนิงเป็นชนชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแคว้นเพื่อนบ้าน
แต่แคว้นหนิงยังคงดำรงตนเป็นกลางมาอย่างสม่ำเสมอโดยตลอด ทั้งไม่เคยเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยปราศจากเหตุผล ! จึงทำให้หลายแคว้นประสงค์อยากที่จะเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตกับแคว้นหนิงอยู่ไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็นแคว้นเจียง แคว้นถัง รวมทั้งแคว้นอื่นด้วย !
รุ่งอรุณของวันใหม่
เรือเหาะค่อยลอยลำเข้าสู่น่านฟ้าเมืองหลวงแห่งแคว้นหนิง ระยะทางเหลือเพียงร้อยห้าสิบจั้งก่อนจะเข้าสู่เขตเมืองหลวง ชายวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณด้านหน้าเรือเหาะซึ่งเตรียมจะเข้าเทียบท่า สีหน้าของคนเฉยชาไร้ความรู้สึก ขณะเอ่ยเสียงดังฟังชัด “แสดงป้ายผ่านทาง ?”
“แผ่นป้ายผ่านทางงั้นหรือ ?” ผู้โดยสารทั้งที่สี่คนยืนเรียงหน้ากระดานอยู่บนดาดฟ้า เยี่ยฉวนหันไปมองจี้อันซื่อและเอ่ยถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย นางจึงต้องอธิบายให้ฟังว่า “เรือเหาะที่ไม่มีป้ายผ่าน จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่แคว้นหนิง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรือเหาะของสำนักนักอัปสรเมรัยก็ตาม”
คนพูดนิ่งชั่วครู่ ก่อนเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยต่อไป “ไม่ว่าจะเป็นสำนักอัปสรเมรัยหรือสถานศึกษาฉางมู่ หาได้มีความสลักสำคัญต่อแคว้นหนิง เหตุเพราะราชสำนักแห่งแคว้นหนิงมีความเข้มแข็ง แม้ว่าในอดีตทั้งสองแห่งนี้เกือบถูกกวาดล้างทำลายโดยทัวป้าฝู่ ผู้ซึ่งเป็นยอดยุทธ์ที่กล้าแกร่งที่สุดในแคว้น แต่ในที่สุดแม้จะไม่ถูกกวาดล้างแต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร จะเคลื่อนไหวอย่างไร ก็ต้องกระทำอยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนักแคว้นหนิง !”
คำพูดบอกกล่าวของจี้อันซื่อ สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ฟังไม่น้อย เมื่อเป็นที่ทราบกันดีว่าในแคว้นเจียง ทั้งสำนักอัปสรเมรัยและสถานศึกษาฉางมู่ ต่างเป็นกลุ่มอำนาจที่ทั้งเอาแต่ใจและหยิ่งผยอง !
ครู่ต่อมา หัวหน้าหลีปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าชายวัยกลางคน เขาทำท่าดีดนิ้ว พลันแผ่นป้ายชนิดหนึ่งปรากฏออกเบื้องหน้า หลังจากชายวัยกลางคนพิจารณาดูแล้ว อีกฝ่ายจึงหันหลังเดินย้อนกลับไป
จากนั้นเรือเหาะก็เคลื่อนต่อไปข้างหน้า เพียงไม่นานต่อมา เรือเหาะก็ได้ทะยานร่อนลงจอดเทียบท่าได้อย่างปลอดภัยในเมืองหลวงแห่งแคว้นหนิง
บนดาดฟ้า หัวหน้าหลีเดินตรงมาหาเยี่ยฉวนและพรรคพวกทั้งสาม ชายชราค้อมตัวเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “ข้ามีเรื่องจะแจ้งคุณชายเยี่ย ทางเราสืบจนทราบแผนการของสถานศึกษาฉางมู่แล้ว ในเวลานี้ทางฉางมู่ทำการป่าวประกาศและตั้งรางวัลค่าหัวของท่านด้วยมูลค่าสูงลิ่ว อาจเป็นไปได้ว่า พวกมันหวังให้ผู้กล้ามากมายมุ่งไปยังสถานที่แห่งความลับ อีกทั้งบรรดาคนที่ไปเหล่านั้น แต่ละคนล้วนกล้าแกร่งไม่มีใครอ่อนด้อย ทั้งนี้เป้าหมายของพวกเขาหาได้มุ่งบุกเข้าไปในสถานที่แห่งความลับถ่ายเดียว แต่มุ่งไปเพื่อล่ารางวัลค่าหัวของท่าน !”
เยี่ยฉวนพยักหน้ารับทราบด้วยท่าทีเรียบเฉย “ข้าเข้าใจแล้ว และขอบคุณสำหรับข้อมูล !”
หัวหน้าหลีเหลือบมองใบหน้าของเยี่ยฉวน ได้เห็นแต่ความสงบเยือกเย็น เขาจึงมีท่าทางลังเลก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมาว่า “คุณชายเยี่ย ข้ารู้มาว่าพวกคนที่จะไปยังสถานที่แห่งความลับนั้นล้วนไม่ใช่ธรรมดา มิหนำซ้ำบางคนยังเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกจารึกขึ้นทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์อีกด้วยน่ะขอรับ !”
เยี่ยฉวนยกฝ่ามือขึ้นห่อกำปั้นแสดงคารวะ “ท่านนับว่ามีเมตตาต่อข้ายิ่งนัก ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ ลาก่อน !”
จากนั้นจึงหันไปทางจี้อันซื่อและคนอีกสอง ก่อนคนทั้งหมดจะพากันเดินลงจากเรือเหาะ ไม่นานนักคนกลุ่มเล็ก ๆ ทั้งสามก็กลืนหายไปกับฝูงชนชาวเมืองบนท้องถนน
บนดาดฟ้าของเรือเหาะลำเดิม หัวหน้าหลีหันไปมองชายชราอีกด้านหนึ่ง ! ไม่ต้องสงสัยว่าเขาก็คือจ้าวหอชั้นเก้าแห่งสำนักอัปสรเมรัย !
หัวหน้าหลีเอ่ยเสียงแห้ง “ท่านจ้าวหอขอรับ ดูท่าเวลานี้สถานศึกษาฉางมู่ได้แสดงเจตนารมณ์อย่างโจ้งแจ้งเสียแล้วว่าต้องการสังหารคุณชายเยี่ยฉวน การที่ทางเราเลือกที่จะในการสนับสนุนเขา… เช่นนี้จะเสี่ยงเกินไปนะขอรับ”
จ้าวหอชั้นเก้ากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งปานกัน “เสี่ยงงั้นหรือ ? ถ้าเราไม่ช่วยในวันที่คนตกระกำลำบาก เราจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสำนักอัปสรเมรัยกับคนผู้นี้…” คนพูดเบนสายตา มองไกลไปจนสุดที่ปลายขอบฟ้า “มีเซียนกระบี่ อยู่เบื้องหลังเด็กหนุ่มนั่น !”
“เซียนกระบี่ ! ไม่เคยปรากฏว่ามีเซียนกระบี่ในแผ่นดินชิง ! แม้แต่จ้าวกระบี่แห่งโลกฉาง จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครบรรลุถึงขั้นเซียนกระบี่ !” เสียงพูดยังดังต่อไป
“อย่าว่าแต่สถานศึกษาฉางมู่สาขาย่อยแห่งนี้ แม้สำนักใหญ่แห่งฉางมู่ยังต้องก้มหัวให้แก่เซียนกระบี่ ! ทว่าในตอนนี้ พวกคนของฉางมู่กำลังมุ่งมั่นในการแก้แค้นต่อเยี่ยฉวนอย่างเอาเป็นเอาตาย…” เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว พลันคนพูดส่ายหน้าน้อย ๆ ริมฝีปากเหยียดยิ้ม “สถานศึกษาฉางมู่… ช่างปราชญ์เปรื่องยิ่งนัก…”