หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 190 มาทางนี้สิโว้ย ! (ปลาย)
บทที่ 190 มาทางนี้สิโว้ย ! (ปลาย)
สายตาของเยี่ยฉวนเขม้นมองตรงไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้นบรรดาคนพวกนั้นพากันหน้าซีดเผือด และตั้งท่าถอยหนี ทว่าขณะนั้นเองเยี่ยฉวนตะโกนใส่กลุ่มคน “ยังไงก็ตาม ข้าจะสังหารไอ้เวรตะไลพวกนี้ให้สิ้นซาก ยิ่งข้ามีศัตรูมากเท่าใด ข้าก็จะสังหารพวกมันให้มากขึ้นเท่านั้น !”
ทันทีที่สิ้นเสียงคนพูด ร่างของเยี่ยฉวนทะยานพุ่งตรงเข้าหากลุ่มคนอย่างรวดเร็ว !
เช่นเดียวกับทางเบื้องหลังคือโม่อวิ๋นฉีและคนอื่น… ที่ต่างก็พุ่งตรงเข้าหาด้วยเช่นกัน !
โม่อวิ๋นฉีและพวกต่างมีสีหน้าสีตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ด้วยในการปะทะที่ผ่านมาทุกคนต่างประสบเหตุให้เกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วทั้งสิ้น !
เมื่อปราศจากชายสวมเกราะเงิน กานสือซาน และมือสังหารจากดินแดนอันธกาลทั้งสาม พวกยอดคนที่เหลือก็แทบไร้ความหมาย แต่ละคนฝีมือไม่คู่ควรกับเยี่ยฉวนและคนอื่นด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เยี่ยฉวนและคนอื่นทำมันก็เสมือนออกไปเพื่อสังหารหมู่ !
เจี้ยนเสี่ยวหวางยืนมองดูสนามประลองของเยี่ยฉวนและพวกในที่ไกลออกมา “เจ้านั่นกำลังยั่วโมโหให้บรรดากลุ่มอำนาจทั้งหลายเสียแล้ว !”
น้ำเสียงของกงชิงเฉิงที่ตอบมาเฉยเมยไร้รู้สึก “ถ้าเขาคิดฆ่าคนพวกนั้นให้หมด เท่ากับต่อต้านกลุ่มอำนาจทั้งหลายนั่นแหละ พูดง่าย ๆ ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังเยี่ยฉวนเป็นผู้อ่อนด้อย พวกกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้จะกลายเป็นศัตรูของเขา แต่ถ้าเขาแข็งแกร่ง พวกกลุ่มอำนาจจะไม่กล้าหือ มิหนำซ้ำยังจะมาขอให้อภัยและยอมเชื่อฟังแต่โดยดี !”
จากนั้นจึงปรายตาไปทางเจี้ยนเสี่ยวหวาง “อย่างเจ้าเกิดมาในตระกูลผู้ฝึกกระบี่ หากเยี่ยฉวนมีชาติมีตระกูลเช่นเจ้า คิดดูสิว่าคนพวกนี้จะกล้าตามจองล้างจองผลาญต่อเขาหรือไม่ ?”
อีกฝ่ายกลับโต้ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไรต่อ มั่นใจได้เลยว่าข้าจะต่อสู้กับเขา และเมื่อใดที่รู้ว่าสู้ไม่ได้ ข้าจะรีบหลีกหนีไปให้ไกลแสนไกล แทนที่จะพยายามทำเป็นกล้าหาญ !” กงชิงเฉิงเหยียดยิ้ม “เฮ้อ ข้าก็แค่ไม่อยากเห็นเจ้าถูกใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้นแหละ !”
ครานี้เจี้ยนเสี่ยวหวางกลับนิ่งเฉย นัยน์ตามองไกลไปจนสุดขอบฟ้า เขามิใช่คนโง่ ดังนั้นย่อมมองออกว่านี่เป็นกับดักที่มีใครบางคนทำขึ้นเพื่อล่อเยี่ยฉวนให้เข้ามาติดกับ !
แต่ถึงกระนั้น ไหน ๆ เขาก็มาจนถึงที่แล้ว ถ้าหลีกเร้นหนีไปเสีย ต่อไปจะสู้หน้าใครได้กัน !!
ในระยะไกล ที่สนามประลองใกล้ถึงกาลสิ้นสุดแล้ว !
เพียงไม่กี่อึดใจ ที่เบื้องหน้าเยี่ยฉวนและพวก เหลือศัตรูยืนหยัดต่อสู้อีกหนึ่งคน ซึ่งบัดนี้เหลือแขนซ้ายอยู่เพียงข้างเดียวด้วยแขนข้างขวาถูกตัดออกไปเสียแล้ว เขาไม่กล้าถอยหนีเพราะหนีไม่ได้ !
เขาไม่มีทางวิ่งหนีได้เร็วกว่ากระบี่ของเยี่ยฉวนหรือฝีเท้าของโม่อวิ๋นฉี !
ชายกับแขนหักที่เหลือเพียงข้างเดียวเขม้นมองเยี่ยฉวน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่พวกเจ้าฆ่าตายเหล่านั้นเป็นใคร ?” เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ
ชายแขนหักแสยะยิ้มบิดเบี้ยวน่าเกลียด “คนพวกนั้นมาจากกองกำลังมากอิทธิพลแห่งแคว้นชิง ทว่าเวลานี้กลับถูกเจ้าฆ่าตายหมดสิ้น กองกำลังทั้งหลายไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ พวกเจ้ามั่นใจได้เลยว่าอีกไม่นานพวกเจ้าต้องไปเจอข้าในนรกแน่ เจ้า…”
ฉึก !
ฉับพลันกระบี่หนึ่งพุ่งพรวดเข้าปักกึ่งกลางระหว่างคิ้วของชายแขนหัก !
ร่างของคนสะดุ้งเฮือกแข็งค้าง ขณะนั้นเยี่ยฉวนก้าวเท้าตรงเข้าหาร่างอย่างเชื่องช้า “อยากพล่ามมากนัก !” จากนั้น เขากระชากกระบี่ออกเต็มแรง !
ฉึก !
โลหิตค่อย ๆ ไหลซึมออกทางหว่างคิ้วของคนแขนหัก !
เยี่ยฉวนกุมกระบี่หันหลังเดินกลับมาทางโม่อวิ๋นฉีและคนอื่นที่รวมกัน สภาพของทุกคนล้วนบาดเจ็บมีบาดแผลน้อยใหญ่ทั่วร่าง โดยเฉพาะไป่เจ๋อที่บริเวณลำตัวส่วนบนมีบาดแผลถูกฟันลึกจนเห็นกระดูก อีกทั้งดูเหมือนว่าหัวไหล่ด้านขวาจะเคลื่อนหลุด… บาดเจ็บไม่น้อย !
ชายหนุ่มเดินตรงไปทางไป่เจ๋อและยื่นยาเม็ดโอสถเทพประสานไปตรงหน้าคนร่างใหญ่ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธหนักแน่น “ไม่ล่ะ ขอบใจ !”
เยี่ยฉวนมองคนตัวใหญ่สายตามีแววพิศวง ไป่เจ๋อเห็นเช่นนั้นจึงรีบพูดว่า “ข้าเป็นผู้ฝึกพลังกายา ดังนั้นสิ่งที่ข้าปรารถนาก็คือการถูกต่อยตี ยิ่งข้าถูกตีมากเท่าไร ร่างกายยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น !”
ในตอนนั้นเองโม่อวิ๋นฉีซึ่งยืนอยู่ถัดไป แค่นหัวเราะและพูดเสียงเยาะเย้ยว่า “ต่อยตีงั้นหรือ ? ได้ ไว้ข้าจะอนุเคราะห์ให้เอง !” คนร่างยักษ์หันขวับ ในขณะที่โม่อวิ๋นฉีรีบเผ่นแผล็วถอยหลังไปสองสามก้าวในพลัน
จากนั้นเยี่ยฉวนพลันดึงเกราะเงินซึ่งยึดได้จากชายสวมเกราะเงินซึ่งถูกสังหารไปก่อนหน้าออกมา แท้จริงแล้วเสื้อเกราะตัวนี้เป็นศาสตราวุธขั้นประกายแสงระดับต้น !
แม้จะมีรอยถูกฟันด้วยกระบี่ของเยี่ยฉวนและแตกออกเล็กน้อย แต่ถ้าซ่อมแซมแล้ว ของล้ำค่าจะกลับมีมูลค่าสูงดังเดิม !
ทว่าในวันนี้เยี่ยฉวนกลับคิดส่งเกราะเงินให้ไป่เจ๋อ ! “ศาสตราวุธชนิดนี้ทนทานดีมาก เจ้าสวมเอาไว้ป้องกันเถอะ !” แน่นอนว่าไป่เจ๋อรู้ดีว่าสิ่งนี้คือเกราะเงินอันล้ำค่า เขายิ้มน้อย ๆ
“ถ้าข้าต้องสวมไอ้นี่ แล้วจะฝึกฝนพลังกายาเพื่อ… ไม่สวมหรอก…”
“แต่ข้าใช้ ให้ข้าใช้นะ !” ทันใดนั้นเอง โม่อวิ๋นฉีซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้าง เอื้อมมือมากระตุกเสื้อเกราะเงินจากมือของเยี่ยฉวน
“ข้าไม่ได้ฝึกฝนพลังกายา ข้าต้องใช้” จากนั้นหันมาส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มกับเยี่ยฉวน
“พี่เยี่ย ให้ข้าเถิดนะ ข้ากลัวตาย จริงจริ๊ง…” เยี่ยฉวนด้วยมิรู้จะทำอะไรได้ จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา
“เอ้า จะเอาก็เอาไป !”
ในคราแรก เขาก็คิดจะยกเสื้อเกราะเงินให้กับโม่อวิ๋นฉีเพราะอีกฝ่ายมีทักษะการต่อสู้ด้อยกว่าใครในคนทั้งหมด หากศัตรูเข้าจู่โจม โม่อวิ๋นฉีอาจเป็นคนที่มีความเสี่ยงจะได้รับอันตราย ในขณะที่ตัวของเยี่ยฉวนเอง มีร่างกายแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ทั้งยังมีเสื้อเกราะแห่งปฐพีเป็นอีกไม้ตายที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เกราะเงินตัวนี้ !
โม่อวิ๋นฉีรับเสื้อเกราะเงินมาถือไว้ สายตาเพ่งพิจารณาด้วยความพึงพอใจขณะที่ปากฉีกยิ้มกว้างจนเกือบถึงใบหู “พี่เยี่ย ท่านช่างใจดีมีเมตตา กรุณา มุทิตา…”
เยี่ยฉวนและคนอื่น “…”
ทันใดนั้นเอง ทั้งเยี่ยฉวนและทุกคนหันขวับไปอีกทาง ด้วยปรากฏร่างของชายชราและคนสวมผ้าคลุมสีดำทางเบื้องหลัง
คนผู้นั้นคือหลี่เสวียนชาง อาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ !
หลี่เสวียนชางแสยะยิ้มมุมปาก กวาดตามองตรงมาทางเยี่ยฉวนและคนอื่น “ขอแสดงความยินดี ! ที่เจ้าประสบความสำเร็จในการสังหารบรรดาอัจฉริยะและยอดคนมากฝีมือของกองกำลังอิทธิพลนับสิบคนจนตายเรียบ ฮ่าฮ่า…”
เขาเงยหน้าส่งเสียงหัวเราะราวกับคนบ้า !