หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 20 ตัดสินเป็นตายในครั้งเดียว (ปลาย)
บทที่ 20 ตัดสินเป็นตายในครั้งเดียว (ปลาย)
ที่ภายนอกจวน คนตระกูลเยี่ยได้สร้างเวทีประลองซึ่งมีความกว้างและความยาวมากกว่า 9 จั้งขึ้น
เหล่าผู้ชมที่ให้ความสนใจนั้นต่างเข้าใจเจตนาของตระกูลเยี่ยเป็นอย่างดี เยี่ยหลางเพิ่งจะตื่นขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นทางตระกูลเยี่ยจึงต้องการที่จะให้ความสนับสนุนเขาอย่างออกหน้าออกตา คนในตระกูลเยี่ยใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อที่จะผลักดันบารมีของเยี่ยหลางให้อยู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น และแน่นอนว่าเวทีประลองที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นี้มันก็ถือเป็นตัวช่วยเสริมด้วยเช่นกัน เยี่ยหลางมักไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเขาต้องการได้หน้าในการประลองครั้งนี้
การเตรียมการของตระกูลเยี่ยสามารถรองรับคนจำนวนมากในเมืองชิงได้ พวกเขาล้วนต้องการเห็นความมหัศจรรย์ของผู้ถูกเลือกว่าเป็นเช่นใด ดังนั้นแล้วเกือบทุกคนจึงรีบร้อนมาจับจองยังพื้นที่ด้านนอกของจวนตระกูลเยี่ยกันแน่นขนัด
ขณะนี้รอบจวนตระกูลเยี่ยคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คนและดูมีชีวิตชีวา
ภายในจวนตระกูลเยี่ย
ข้างในศาลเจ้าบรรพบุรุษ เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยมากันพร้อมหน้า ส่วนเยี่ยหลางก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
เยี่ยหลางสวมเสื้อคลุมสีดำดูแปลกตา ด้านในทอด้วยด้ายสีทองเพื่อป้องกันความเสียหายจากการของมีคมเช่นมีดและดาบทั่วไป นอกจากนี้แล้วที่เอวยังมีวัตถุวิเศษเป็นจี้สีฟ้านามว่าหยกเหมันต์ประสานห้อยอยู่ด้วย นี่เป็นเครื่องรางช่วยในการรวบรวมสมาธิและสงบจิตใจ
ในช่วงเวลาแบบนี้การมีสติคือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง และเหนือสิ่งอื่นใด หยกเหมันต์ประสานนั้นจะเก็บรักษาพลังลมปราณที่บริสุทธิ์เอาไว้ และสำหรับเยี่ยหลางแล้ว การมีหยกเหมันต์ประสานติดตัวไว้จะทำให้พลังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ! นั่นเพราะเขาได้บรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณแล้วและสามารถควบคุมพลังลมปราณได้โดยสมบูรณ์แล้ว !!!
นับว่าตระกูลเยี่ยลงทุนลงแรงให้กับเยี่ยหลางลงไปไม่น้อย แต่กระนั้นพวกเขาก็คิดว่ามันคุ้มค่า
ผู้เต่าตระกูลเยี่ยแสดงความเคารพต่อป้ายวิญญาณ “ขอสวรรค์อวยพร วิญญาณบรรพชนทั้งหลายของตระกูลเยี่ยโปรดเฝ้ามองผู้ที่ถูกเลือกคนนี้ นับจากนี้เป็นต้นไป ครอบครัวตระกูลเยี่ยของพวกเราจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งเฉกเช่นในอดีตที่ผ่านมา”
ทุกคนในตระกูลเยี่ยต่างแสดงความยินดีอย่างสุดซึ้งออกมา
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็จึงหันหน้าไปหาหลานชาย “เยี่ยหลาง นี่เป็นการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกของเจ้า กับคนอย่างเยี่ยฉวนแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องปราณี”
เมื่อได้ยินดังนี้ เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ เองก็พยักหน้าเห็นด้วย “เยี่ยฉวนผู้นี้ หากปล่อยไว้ก็รังแต่จะเป็นอุปสรรคของพวกเราเสียเปล่า ๆ ไม่สู้เจ้าชิงฆ่ามันทิ้งเสียตั้งแต่วันนี้เลยเป็นไร”
เยี่ยหลางระบายยิ้มอ่อน “แน่นอน ข้าทำแน่ !”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยพยักหน้า “ข้าได้ยินมาว่ามีคนจากเมืองเหยียนและเมืองหลัวกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ ข้าเดาว่าเจ้าพวกนั้นจะต้องเป็นคนที่กองกำลังของแต่ละเมืองส่งมาให้จับตาดูการประลองของเจ้าในวันนี้แน่ ดังนั้นเมื่อเจ้าเอาชนะเยี่ยฉวนและฆ่ามันได้แล้ว เกรงว่าคงไม่พ้นตระกูลอื่น ๆ จะต้องเข้าหาเพราะต้องการจะผูกมิตรกับเราเพื่อยกระดับตัวเองแน่นอน เมื่อนั้นเจ้าจะได้รับความสนใจมากมายจากคนชั้นสูง หรือแม้กระทั่งจากสถานศึกษาฉางมู่ก็ตาม !”
เยี่ยหลางพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยเดินไปที่ด้านหน้าเยี่ยหลางและตบไหล่หลานชายเบา ๆ “ผู้ถูกเลือกจะมีความทรงจำในชาติก่อนหลงเหลืออยู่ แต่ไม่ว่าเจ้าจะเคยเป็นใครมาก่อน ตอนนี้เจ้าก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตระกูลเยี่ยแล้ว เจ้าไม่ได้รังเกียจใช่ไหม ?”
เยี่ยหลางยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “เลือดเนื้อและจิตวิญญาณของข้าล้วนเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเยี่ยแน่นอน” เขายิ้มตอบ หากแต่ในใจนึกดูถูก เจ้าคนอย่างเยี่ยฉวนเปรียบได้กับก้อนหินให้เขาเหยียบย่ำ ตระกูลเยี่ยก็ไม่ต่างจากสะพานให้เขาข้ามฝั่งเช่นกัน !
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยิ้มกว้างเต็มใบหน้า “นั่นก็ดีแล้ว พวกเราไปกันเถอะ !”
ในไม่ช้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็ได้เดินนำบรรดาผู้อาวุโสคนอื่น ๆ พร้อมกันกับเยี่ยหลางมายังเวทีประลองที่ถูกสร้างขึ้นใหม่
ผู้คนต่างตื่นเต้นทันทีที่ได้เห็นเยี่ยหลาง
“เขามาแล้ว !”
“อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถดึงดูดนิมิตแห่งฟ้าดินมาได้ ไม่มีผู้ใดในเมืองชิงเคยพบเห็นมาก่อน”
เยี่ยหลางมองไปยังฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง เขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก “ในอดีตนั้นข้าเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยนั่งด้านล่างและได้แต่มองดูผู้คนบนเวทีประลองกัน แต่มาในชาตินี้สวรรค์มีเมตตาต่อข้านัก ทำให้ข้าดึงดูดนิมิตแห่งฟ้าดินได้”
“ในชาตินี้ ข้าถูกกำหนดมาให้เป็นหนึ่งในผู้มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งในโลกแห่งนี้ !”
“ข้าจะกลายเป็นหนึ่งในตำนานของโลกใบนี้ !”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มบนหน้าของเยี่ยหลางก็พลันค่อย ๆ กว้างขึ้น หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หันมองไปทางตระกูลเยี่ย “เยี่ยฉวน จงออกมาเตรียมตัวตายเสียโดยดี !”
เสียงคำรามของเยี่ยหลางเหมือนฟ้าร้องที่ดังก้องไปทั่วบริเวณนั้น
“เยี่ยฉวน !”
ณ เวทีลานประลอง สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่จวนตระกูลเยี่ย
“เยี่ยฉวนอยู่ไหน ?”
แต่เยี่ยฉวนก็ไม่ได้ออกมาจากประตูตามเสียงเรียกร้อง
“เขากลัวหรือเปล่า ?”
“ไม่มีทาง เยี่ยฉวนคนนี้เคยถูกเรียกว่าเป็นมือสังหารแห่งตระกูลเยี่ย เขาคงไม่ใช่คนประเภทที่จะกลัวความตายหรอก”
“มือสังหารแห่งตระกูลเยี่ยงั้นหรือ ? นี่เจ้าไม่เห็นหรือไรว่าคู่ต่อสู้คนปัจจุบันของเขาเป็นใคร ? เยี่ยหลางน่ะเป็นถึงผู้ถูกเลือกที่ดึงดูดนิมิตแห่งฟ้าดินมาเชียวนะ”
“เงียบแล้วก็รอดูไปเถอะน่ะ ยังไงเสียตระกูลเยี่ยก็ต้องมีคำอธิบายให้เราแน่ !”
ห่างออกไปไม่ไกล บนเวทีลานประลองผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็เอาแต่ทอดสายตาไปยังจวน ก่อนที่คิ้วของเขาจะพลันขมวดยับย่น
“เจ้านั่นมัวทำบ้าอะไรอยู่ ? จงไปดูซิ !!”
เมื่อได้ยินคำสั่งเยี่ยคูจึงพยักหน้ารับและหมุนตัวจากไป
ข้างในจวนตระกูลเยี่ย
ภายในห้อง เยี่ยฉวนถือชามสมุนไพรจากนั้นก็เริ่มป้อนยาให้กับเยี่ยหลิงทีละคำ
“ท่านพี่ วันนี้คือวันนัดท้าประลองตัดสินเป็นตายของท่านกับเยี่ยหลางนะเจ้าค่ะ” เยี่ยหลิงพูดเสียงเบา
เยี่ยฉวนยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ! มาดื่มยานี่มา อ้าปาก ใช่แล้ว อย่างนั้นแหละ…”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเยี่ยฉวนก็จึงค่อยผุดลุกขึ้นยืน “ข้าต้องไปแล้ว”
เยี่ยหลิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เยี่ยฉวนโน้มตัวลงไปจุมพิตบนหน้าผากของเยี่ยหลิงอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงหมุนตัวและเดินจากมา ทันทีที่เยี่ยฉวนไปถึงหน้าประตู เสียงของเยี่ยหลิงก็พลันดังขึ้นไล่หลัง “ท่านพี่ ท่านจะกลับมาใช่หรือไม่ ?”
เยี่ยฉวนพยักหน้าอย่างหนักแน่น “แน่นอน”
หลังจากนั้นเขาก็ผลักประตูและเดินออกไป
บนเตียงนั่น เยี่ยหลิงค่อย ๆ หลับตาลง มือขวาของนางเอื้อมไปใต้ผ้าปูที่นอนซึ่งมีมีดซ่อนอยู่ นานมาแล้ว นางเคยคิดอยากจะตายเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้กับเยี่ยฉวน อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าของพี่ชาย นางกลับไม่กล้าลงมือ
ความตายนั้นนางไม่กลัว นางหวั่นแต่เพียงว่าถ้าหากนางตายแล้ว เยี่ยฉวนจะต้องอยู่ตัวคนเดียว
เยี่ยหลิงหยิบมีดออกมาและกำมันแน่น
ถ้าหากเยี่ยฉวนตายในวันนี้ นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
ชั่วชีวิตนี้ นางมีแต่พี่ชาย เพราะงั้นต่อให้เป็นความตายก็ไม่อาจพรากนางกับพี่ให้แยกจากกัน !