หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 207 ข้าคือคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่เชื่อหรือ ? (กลาง)
บทที่ 207 ข้าคือคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่เชื่อหรือ ? (กลาง)
ณ หอสำนักอัปสรเมรัย
ไม่นานนัก จ้าวหอชั้นเก้าและเจียงเยว่เทียนพร้อมด้วยเยี่ยฉวนและพวกอีกสามคนก็มาถึงหอสำนักอัปสรเมรัย สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง ลักษณะเป็นอาคารเก้าขั้น แน่นอนว่าหอสำนักอัปสรเมรัยเมืองหลวงเป็นเพียงสาขาหนึ่งของสำนักอัปสรเมรัยในแคว้นเจียงเท่านั้น !
จ้าวหอชั้นเก้านำพวกเยี่ยฉวนขึ้นไปที่ชั้นเก้า ส่วนตนเองเดินเลยไปที่ช่องหน้าต่าง กวาดตามองไปรอบบริเวณ “คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ออกไปให้หมด !” เขาแผดเสียงกัมปนาทดังสนั่นปานฟ้าผ่า !
ทันทีทันใดชาวเมืองที่สัญจรอยู่ในบริเวณหอสำนักอัปสรเมรัยต่างรีบตามกันออกไปเป็นพรวน และที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีผู้คนหนาแน่นมากนัก ด้วยในรัศมี 5000 เมตร โดยรอบล้วนเป็นทรัพย์สินของหอสำนักอัปสรเมรัยทั้งสิ้น
หลังจากที่แน่ใจว่ากันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหมดแล้ว จ้าวหอชั้นเก้าพลันคำรามเสียงลั่น “เปิดค่ายกล !”
เมื่อเสียงคนเลือนหาย
ตู้ม !
ทันใดนั้นปรากฏลำแสงสีฟ้าแปลกประหลาดพุ่งจากชั้นที่หนึ่งของสำนักอัปสรเมรัยขึ้นสู่ท้องฟ้า ลำแสงเปล่งประกายสว่างห่อหุ้มตัวอาคารหอไว้ทั้งหลัง ขณะที่รังสีสีฟ้าโอบพันรอบอาคารหอไว้อย่างแน่นหนา ด้านข้างอาคารหอปรากฏแผ่นคาถาสีทอง ซึ่งจารึกอักขระยึกยือขนาดเล็กยิบราวลูกอ๊อดกระจายทั่วทั้งผนังที่กระจ่างด้วยแสงสีฟ้า ภาพอักขระเหล่านั้น ดูผิวเผินคล้ายงูขนาดเล็กเลื้อยยั้วเยี้ยอยู่รอบหอสำนักอัปสรเมรัย
ค่ายกล !
บนหอชั้นเก้า เจียงเยว่เทียนจับตาแน่วนิ่งอยู่ที่จ้าวหอขั้นเก้า เอ่ยถามเสียงขรึม “นี่คือ ‘ค่ายกลเจตภูตเก้าตน’ อันเลื่องลือสินะ” ฝ่ายถูกถามพยักหน้าแทนคำตอบ
เสียงอีกฝ่ายพึมพำแผ่วเบา “เพียงแค่เริ่มต้นจะต้องสูญเสียสุดยอดศิลาจิตวิญญาณอย่างน้อยสามแสนชิ้น และการเปิดแต่ละครั้งต้องสูญเสียอีกอย่างน้อยห้าแสน…” ขณะที่ปากขยับพูด สายตาของเจียงเยว่เทียนซึ่งจับจ้องไปยังจ้าวหอชั้นเก้าก็ได้แฝงไว้ด้วยแววตาครุ่นคิดลึกล้ำ “สำนักอัปสรเมรัยถึงกับยอมทุ่มสุดตัว เพื่อปกป้องชีวิตของเยี่ยฉวนและสหาย !”
จ้าวหอชั้นเก้าสั่นศีรษะ “เงินทองเป็นของมายา หาได้มีคุณค่าแต่อย่างใด !”
โม่อวิ๋นฉีซึ่งยืนข้างเยี่ยฉวน ได้ยินเข้าถึงกับเอียงหน้ามากระซิบกระซาบ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกว่า สำนักอัปสรเมรัยก็มีคุณธรรมเหมือนกัน…”
เยี่ยฉวน “…”
ในตอนนั้นจ้าวหอชั้นเก้าหันมาทางเยี่ยฉวน ท่าทีลังเลคล้ายกำลังช่างใจบางสิ่ง แต่แล้วก็ตัดสินใจถามขึ้นว่า “สหายข้า ไม่ทราบว่าอาจารย์เจ้า ท่านจะมาถึงเมื่อไร ?”
“อาจารย์งั้นหรือ ?” ทุกคนหันมามองเยี่ยฉวน แววตาเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย
อันที่จริงทุกคนคิดเหมือนกันว่า จะต้องมีอาจารย์สักคนเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังชายคนนี้ เพราะเยี่ยฉวนไม่อาจเดินบนหนทางสายกระบี่ได้เพียงลำพัง ซึ่งถ้าไม่ได้เพราะมีคนอยู่เบื้องหลัง เขาคงจะไม่ได้เป็นยอดคน แต่กลายเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
บัดนี้จ้าวหอชั้นเก้าตั้งคำถามออกมาซึ่งหน้า ทำให้ทุกคนหันมาทางเยี่ยฉวนด้วยต่างอยากฟังคำตอบจากปากของเขาเช่นเดียวกัน สายตาทุกคู่ส่อแววแปลกใจและใคร่ได้รู้ได้เห็น
โดยเฉพาะเจียงเยว่เทียน เขาเกิดความสงสัยเป็นที่สุดว่าอาจารย์ของเยี่ยฉวนคือใครกันแน่ จึงเป็นเหตุให้สำนักอัปสรเมรัยกล้าทั้งลงทุน ทั้งลงแรง ออกมาปกป้องชายหนุ่มได้ถึงปานนี้ ?!
ในขณะที่จ้าวหอชั้นเก้าเองกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ลึก ๆ …ไม่สิ ความจริงต้องบอกว่าเป็นความรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายจึงจะถูกต้อง !
ด้วยเวลานี้ตัวของตนเองเป็นผู้ช่วยเหลือนำเยี่ยฉวนและสหายหลบหนีมาที่สำนักอัปสรเมรัย ทั้งเขายังพยายามหาจังหวะในการเข้าช่วยเหลือและพยายามอย่างเต็มที่ในการปกป้องชีวิตของเยี่ยฉวน
…ดังนั้นตราบใดเยี่ยฉวนมีชีวิตรอดได้ด้วยความช่วยเหลือของตน ต่อไปเขาจะมิได้เป็นเพียงคนที่สามารถสานสัมพันธ์ระหว่างเซียนกระบี่กับสำนักอัปสรเมรัยเท่านั้น หากยังได้ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับเยี่ยฉวนและความเป็นบุญคุณต่อกันในภายหน้าด้วย !
กล่าวได้ว่าครั้งนี้เขายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ! แต่ทั้งหมดทั้งมวล ขึ้นอยู่กับว่าอาจารย์ของชายหนุ่มจะไม่มาช้าเกินไป !
ถ้าอาจารย์ของเยี่ยฉวน นางมาช้าเกินไป ทุกคนที่นี่มีหวังไม่รอดแม้แต่คนเดียว
นอกจากนั้นในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนของหอสำนักอัปสรเมรัย สำนักก็ย่อมกลายเป็นศัตรูกับบรรดากองกำลังทั้งหลายไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษาฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นและดินแดนอันธกาล…
สิ่งที่เกิดขึ้น ถึงตอนนั้นเขาคือผู้กระทำผิดต่อสำนักอัปสรเมรัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต่อให้ตายอีกกี่ร้อยชาติ ก็ไม่อาจไถ่บาปที่ได้ทำลงไปได้หมด !
ขณะที่เยี่ยฉวนขยับอ้าปากนั้น ฉับพลันพลังแปลกประหลาดพุ่งมาปะทะหอสำนักอัปสรเมรัยอย่างรุนแรง
เปรี้ยง ! ส่งให้หอสำนักอัปสรเมรัยสั่นสะเทือนอย่างแรง !
ทุกคนชะงักหยุดมอง ขณะที่มีกลุ่มคนปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน ณ ภายนอกหอสำนักอัปสรเมรัย โดยมีผู้นำอยู่หน้ากลุ่มคือชายชราสวมผ้าคลุม คนจากสถานศึกษาฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น ไม่ไกลกันคือหลี่เสวียนชางและชายสวมชุดดำ !
ไม่แต่เท่านั้น ทางเบื้องหลังคนทั้งสามติดตามด้วยคนอีกนับสิบ ! คนเหล่านั้น ล้วนมีฝีมือขั้นผนึกยุทธ์ !
อีกสิบคนที่ตามมาด้านหลัง ล้วนอยู่ในขั้นผนึกยุทธ์ ! ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ ที่เกิดเหตุการณ์รวมกลุ่มต่อสู้ขึ้นในแคว้นเจียง !
เมื่อเล็งเห็นการรวมกลุ่มต่อสู้เช่นนี้ คนที่อยู่ชั้นเก้าสีหน้าแปรเปลี่ยนฉับพลัน แม้แต่จ้าวหอชั้นเก้าเองเมื่อเห็นเช่นนั้นยังสีหน้าดำคล้ำหม่นมัว !
การรวมกลุ่มต่อสู้ของเหล่ากองกำลังกล้าแกร่ง… พวกเขาจะมีโอกาสเอาชนะได้อย่างไร ?!
คนผู้หนึ่งตะโกนเสียงดังจากด้านนอก เป็นหลี่เสวียนชางที่ใช้สายตาเย็นชาจับอยู่ที่ใบหน้าของจ้าวหอ “ในเมื่อสำนักอัปสรเมรัยคิดจะเป็นศัตรูกับพวกเรา เจ้าก็จงตายเสียพร้อมกับพวกมัน !” พูดจบร่างคนทะยานพรวดขึ้นสู่ท้องฟ้า และยกฝ่ามือฟาดตบผ่านอากาศลงไปตรงที่หอสำนักอัปสรเมรัย
ตู้ม !
แรงปะทะหนักหน่วงส่งให้หอสำนักอัปสรเมรัยสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กระทั่งผนังแสงสีฟ้า บังเกิดเป็นรอยแตกร้าวเป็นแนวยาว
จ้าวหอชั้นเก้าคำรามเสียงกร้าวดุดัน “เปิดค่ายกล !”
ปัง !
ลำแสงทอประกายเจิดจ้ามากมายพุ่งวาบออกจากผนังสีฟ้า แสงสว่างกระจายครอบคลุมหอสำนักอัปสรเมรัยทั้งอาคาร ลำแสงล้วนอัดแน่นไปด้วยประจุพลังงานเต็มเปี่ยม !
หลี่เสวียนชางหรี่ตามองมาจากที่ภายนอกบนอากาศ จากนั้นจึงเบนหน้าไปพูดกับชายชราสวมผ้าคลุมและคนอื่นที่อยู่ด้านหลัง “พวกเจ้ามัวคอยอะไร ? หากพวกเราลงมือพร้อมกัน มันจะต้องได้ผลแน่ !”