หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 40 ผลแห่งการลงกระบี่ครั้งนี้ ! (ต้น)
บทที่ 40 ผลแห่งการลงกระบี่ครั้งนี้ ! (ต้น)
“ตัวข้านั้นมีแต่ท่านพี่เท่านั้น !”
เยี่ยหลิงส่งยิ้มหวาน
“ดังนั้นทั้งหมดที่ข้าต้องการก็คือท่านพี่ของข้า !”
เด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลิงที่ได้ยินดังนั้นจึงถามขึ้นอย่างสงสัย “ท่านพี่ของเจ้ามีพลังขนาดนั้น เชียว ?”
เยี่ยหลิงพยักหน้าตอบกลับอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าท่านพี่ของข้านั้นแข็งแกร่งมาก !”
เด็กชายตัวน้อยที่ได้ยินดังนั้นพลันพูดสวนกลับด้วยเสียงอันดัง “ไม่ว่าท่านพี่ของเจ้าจะแข็งแกร่งมาก ขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปมากกว่าท่านพ่อของข้าได้หรอก !!”
เยี่ยหลิงมองไปยังเด็กชายตัวน้อย “ท่านพ่อของเจ้าก็แข็งแกร่งมาก ๆ ด้วยอย่างงั้นเหรอ ?”
เด็กชายตัวน้อยดูกระฉับกระเฉงขึ้นมา เขาพยักหน้าอย่างเร็วไว “แน่นอน ท่านพ่อข้าคือ เจ้าเมืองแห่ง เมืองพันภูเขา ชาวเมืองทุกคนล้วนต้องเชื่อฟัง !”
เจ้าเมือง !
เยี่ยหลิงกะพริบตา “โอ้โห สุดยอดไปเลย”
เด็กชายตัวน้อยพูดอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน เพราะในเมืองพันภูเขานั้นตระกูลของข้าใหญ่ที่สุด !”
เยี่ยหลิงหรี่ตามองเด็กน้อยและกล่าวเตือน “ท่านพี่ของข้าเคยกล่าวไว้ว่าเจ้าไม่ควรพูดโอ้อวดตัวเองมากเกินไปนัก ไม่อย่างนั้นแล้วหากไปข้างนอกก็อาจถูกรังแกเอาได้ !”
เด็กชายตัวน้อยส่ายศีรษะ “ถ้าจะมีใครทำอย่างนั้นแล้วละก็ พวกเขาคงไปลงมือกับท่านพ่อของข้าโน่น ไม่มาทำข้าหรอก !”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเยี่ยหลิงก็พลันตกใจ “นี่เจ้าคนนี้ตั้งใจปฏิบัติต่อท่านพ่อของตัวเองแบบนี้จริง ๆ หรือ ?”
ทันใดนั้นเด็กน้อยก็ชี้ไปที่เยี่ยฉวนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลออกไปและถามว่า “นั่นใช่ท่านพี่ของเจ้าหรือเปล่า ?”
เยี่ยหลิงพยักหน้ารับ “นั่นคือท่านพี่ของข้าเอง เป็นเช่นไร… หล่อเหล่าใช่ไหมเล่า ?”
เด็กน้อยเถียง “แบบไหนกันที่เรียกว่าหล่อเหล่า ? หล่อไปก็กินไม่ได้เสียหน่อย !”
เยี่ยหลิงพูดกลั้วหัวเราะ “ถ้าหล่อ ในอนาคตก็จะหาคนแต่งงานด้วยได้ง่ายน่ะสิ”
เด็กน้อยหันขวับและเถียงขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้ามีเงิน ฉะนั้นข้าจะมีภรรยามากเท่าใดก็ ได้ตราบที่ข้าอยากได้ !”
เยี่ยหลิงส่ายหน้า “เจ้าเด็กอ้วน ขอข้าพูดหน่อยเถอะ เงินน่ะซื้อทุกอย่างไม่ได้หรอกนะ !”
เด็กชายตัวน้อยไม่เห็นด้วย “นั่นไม่จริงเสียหน่อย ท่านพ่อของข้าบอกว่า ‘กุญแจสีทองนั้นเปิดประตูใด ก็ได้’ ในโลกนี้ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ย่อมต้องใช้เงินทอง หากบางอย่างใช้เงินไม่ได้ นั่นต้องเป็นเพราะเราใช้เงินไม่ มากพอต่างหาก ดังนั้นแล้วข้าเองก็จะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เลย !”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้และเริ่มขุ่นเคืองใจ “เจ้าเรียกข้าว่าเด็กอ้วน ข้าอ้วนมากขนาดนั้นเชียวหรือ ?”
เยี่ยหลิงไล่สายตาไปทั่วร่างกายของเด็กน้อย มองขึ้นและมองลง หากพิจารณาจากลักษณะภายนอก แล้ว เท่าที่เห็นตอนนี้ เขาต้องหนักไม่ต่ำกว่าสองร้อยชั่งแน่ ๆ! ดังนั้นนางจึงผายมือออกและถามกลับ “แล้วนี่เจ้าไม่ได้อ้วนหรอกหรือ ?”
เด็กน้อยร้องตะโกนด้วยความไม่พอใจ “พ่อของข้าบอกว่าแข็งแรงต่างหาก ต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่า แข็งแกร่ง !”
เยี่ยหลิงส่ายหน้าก่อนจะมองเด็กน้อยด้วยสายตาเห็นใจ “ท่านพ่อของเจ้าใจดีจริง ๆ”
ใบหน้าของเด็กชายยู่ยี่เล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็พลันถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้าว่าข้าอ้วนจริงหรือ ?”
เยี่ยหลิงพยักหน้า “เจ้าน่ะอ้วนมาก !”
เด็กน้อยกำหมัดแน่นและพูดอย่างโกรธ ๆ “พวกเขาหลอกข้า !”
อย่างไรก็ดี เยี่ยหลิงเลิกสนใจเด็กน้อยและเดินกลับไปหาเยี่ยฉวน เพราะว่าไม่ต้องการรบกวนพี่ชาย นางจึงเพียงจับแขนของเขาเบา ๆ และเอนศีรษะซบลงบนนั้น
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วเด็กน้อยพลันไม่พอใจ เขาวิ่งกลับไปหาชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังพูดคุยกับ คนอื่น ๆ อยู่ไม่ไกล “ท่านพ่อ ข้าอยากได้พี่ชาย !”
ผู้เป็นพ่องงงวย “…”
เรือเหาะได้ลอยข้ามภูเขากว่าพันลูกและมาถึงแม่น้ำสายใหญ่
…แม่น้ำเบื้องล่างนั้นกว้างอย่างน้อยสามพันจั้งและดูลึกไร้จุดสิ้นสุด ช่างเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่เสียจริง !
เยี่ยฉวนยังคงยืนนิ่งและมองตรงไปข้างหน้าเหมือนพระชราที่กำลังนั่งสมาธิ
เขากำลังครุ่นคิดอยู่ !
ในเวลานี้เยี่ยฉวนแทบไม่ได้นึกถึงเรื่องต่าง ๆ และไม่มีเวลาแม้แต่จะสนใจเรื่องอื่นใดเลยด้วยซ้ำ มาถึง ตอนนี้เขาได้โดยสารมากับเรือเหาะ และได้เห็นภูมิประเทศอันกว้างใหญ่ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจและเกิดความคิดมากมายขึ้นภายในหัว !
เขาไม่เคยมีความคิดมากมายเช่นนี้มาก่อนเลยจริง ๆ!
ด้านในห้อง
ชายชราผู้หนึ่งมองฮั่นเซียงเหมิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “ข้าได้ยินว่าเจ้าปล่อยให้พวกเด็ก วัยรุ่นไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาอาศัยอยู่ห้องข้างบนอย่างนั้นหรือ ?”
ฮั่นเซียงเหมิงพยักหน้า “ใช่ เป็นข้าเองที่อนุญาตให้พวกเขาทำเช่นนั้น ทำไมหรือ ? คงไม่ใช่ว่า ท่านผู้อาวุโสกู้ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้หรอกกระมัง ?”
ชายชราในชุดเสื้อผ้าธรรมดากล่าวเสียงเย็น “ห้องชั้นบนนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับคนธรรมดาทั่วไป เจ้า สมควรที่จะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครนะ !”
ฮั่นเซียงเหมิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ชายผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอย่างที่ท่านเข้าใจ เขาคือยอดผู้ฝึกกระบี่และข้าก็ต้องการที่จะเอาชนะใจเขา มันมีปัญหาตรงไหนงั้นหรือ ?”
“ยอดผู้ฝึกกระบี่ ?!”
ชายชราในชุดเรียบ ๆ หัวเราะหยัน “เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังหลอกใคร ? ยอดผู้ฝึกกระบี่อายุราวสิบเจ็ด สิบแปดปีนั้นมีที่ไหนกัน ? ไยเจ้าจึงไม่บอกว่าคนผู้นั้นคือผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นไปเสียเลยล่ะ ?”
ฮั่นเซียงเหมิงขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสกู้ นี่ไม่ใช่ว่าท่านจงใจจับผิดข้าอย่างนั้นหรอกหรือ ?”
ผู้อาวุโสกู้ยิ้มเยาะ “ข้าจะกล้าได้ยังไง ? คุณหนูฮั่น แม้ว่าท่านจะถูกส่งมาที่นี่เพื่อดูแลหอการค้า ในเมืองพันภูเขาและเมืองหลวงของจักรวรรดิ ทว่าตามกฎของตระกูลแล้ว คำสั่งนี้จะมีผลก็ต่อเมื่อท่านไปถึงยัง เมืองหลวงแล้วเท่านั้น ใครก็ได้เข้ามาที่นี่ที !”
เมื่อสิ้นเสียงผู้อาวุโสกู้ ทหารยามสองคนก็เดินเข้ามา
ผู้อาวุโสกู้พูดอย่างเย็นชา “เจ้าพี่น้องสองคนนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะพักอยู่ห้องชั้นบน โยนข้าวของพวก มันออกไป”
ทหารยามสองคนทำความเคารพรับคำสั่งและถอยจากไป
ฮั่นเซียงเหมิงมองผู้อาวุโสกู้ด้วยสายตาเย็นเยียบ “ดูเหมือนว่าท่านตั้งใจจะแสดงความจงรักภักดีต่อใครบางคนงั้นสินะ !”
ผู้อาวุโสกู้หัวเราะเยาะ “ขออภัย ข้าไม่เข้าใจว่าคุณหนูฮั่นกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ข้าเพียงแต่ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร หากคุณหนูฮั่นรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ท่านจะไปร้องเรียนกับผู้บังคับบัญชาก็ย่อมได้ !”
ฮั่นเซียงเหมิงพยักหน้า “ได้ ข้าจะจำไว้ !”
หลังจากนั้นนางก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป
ผู้อาวุโสกู้ที่ยังคงนั่งอยู่ภายในห้องหัวเราะเยาะ “หากท่านต้องการดึงคนมาอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้วละก็ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านได้สมหวังแน่ คุณหนูฮั่น !”
ผู้อาวุโสกู้เดินออกจากห้องบ้าง เขากำลังจะเกษียณในไม่ช้า ถ้าหากไม่รีบแสดงความจงรักภักดีต่อคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว เกรงว่าเมื่อกลับมา เขาคงไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างอับเฉา แต่ในเมื่อตอนนี้เขาค้นพบโอกาสแล้ว ชายชราย่อมไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดมือไปแน่ !
ข้างบนดาดฟ้าของเรือเหาะ
ผู้อาวุโสกู้และทหารยามสองคนมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยฉวนอย่างเงียบเชียบ เมื่อรู้สึกตัว เยี่ยหลิงจึงปล่อยแขนของเยี่ยฉวนและหันไปมองผู้มาใหม่ทั้งสาม “ขออภัย ไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นใครกันเจ้าคะ ?”
ผู้อาวุโสกู้มองไปยังเยี่ยฉวนที่ยืนอยู่ข้างหลังเยี่ยหลิงก่อนจะหัวเราะเยาะออกมา ด้วยความแข็งแกร่ง ของเขาในตอนนี้จึงสามารถมองเห็นลำดับขั้นพลังของเยี่ยฉวนได้ในเพียงพริบตา “เจ้าเยี่ยฉวนคนนี้มีพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณเพียงเท่านั้น ยอดผู้ฝึกกระบี่อะไรกัน ? นั่นมันเหลวไหลสิ้นดี !”
เมื่อผู้อาวุโสกู้หันมองทหารยาม เขาก็พลันพยักหน้าส่งสัญญาณให้ ส่วนทางด้านทหารยามทั้งสองเอง พวกเขาก็พยักหน้ารับคำสั่งและเริ่มโยนสัมภาระของทั้งสองพี่น้องออกมากองตรงหน้าของเยี่ยหลิง
“พวกท่าน…” เยี่ยหลิงสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ขณะนั้นทุกคนรอบด้านต่างหันมามองเป็นตาเดียว
ผู้อาวุโสกู้หัวเราะหยัน “พวกเจ้าขึ้นมาพักที่ห้องชั้นบนนี่ได้ยังไง ?”
เยี่ยหลิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบร้อนอธิบายอย่างรวดเร็ว “พี่สาวคนนั้นได้เชิญเราทั้งสองมาที่นี่ แล้วนางก็…”
“พวกเจ้าได้จ่ายเงินค่าเข้าพักแล้วหรือยัง ?” ผู้อาวุโสกู้พูดขัด “มีตั๋วหรือไม่ ?”
เยี่ยหลิงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย จึงรีบอธิบายทันทีว่า “เป็นพี่สาวคนนั้นที่เชิญข้าและท่านพี่ให้มา พักที่นี่จริง ๆ ท่านสามารถไปถามนางก็ได้ ท่าน…”
ผู้อาวุโสกู้ทำทีไม่เชื่อ “พวกเจ้าสองคนไม่มีตั๋วแล้วยังกล้าโป้ปดปลิ้นปล้อนอีก ข้าว่าพวกเจ้าต้องมี เจตนาแอบขึ้นมาที่ชั้นบนนี่อยู่แล้วแน่ ๆ!”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสกู้พลันแสดงท่าทีเย็นชา “ใครก็ได้โบยพวกมันให้ตายแล้วโยนออกไปพ้น ๆ เรือเหาะนี้ที เดี๋ยวนี้ !”
ทหารยามทั้งสองคนเดินตรงเข้าไปหาสองพี่น้อง ทำให้เยี่ยหลิงหน้าซีดลงทันที นางรีบไปยืนขวางหน้า เยี่ยฉวนและพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “พี่สาวคนนั้นเป็นคนเชิญให้พวกเราขึ้นมาพักอยู่บนนี้ชัด ๆ ท่านกล่าวหา เช่นนี้ได้ยังไง ? ท่านใส่ความพวกข้าแล้ว !”
ผู้อาวุโสกู้ยังคงเสแสร้งหาเรื่องต่อไปไม่มีหยุด “พวกเจ้ากล้าแอบเข้ามาพักที่ห้องชั้นบนโดยไม่มีตั๋ว นั่นก็หมายความว่าพวกเจ้าเหยียดหยามสำนักอัปสรเมรัย ! ด้วยเหตุนี้ แท้จริงแล้วพวกเจ้าสมควรถูกประหารชีวิต ยกตระกูลเสียด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเจ้าและพี่ชายของเจ้า !”
ผู้อาวุโสกู้แอบอ้างชื่อสำนักอัปสรเมรัยเพื่อกลั่นแกล้งทั้งสองให้ถึงที่สุด !
นั่นคือความรู้สึกของทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าพูดแทนพวกเขาเนื่องจากมีชื่อของสำนักอัปสรเมรัยเข้ามา เพราะใครไหน เล่าจะกล้ากล่าววาจาล่วงเกินผู้อาวุโสกู้แทนคนแปลกหน้าทั้งสอง !
ในไม่ช้า ทหารยามคนหนึ่งก็พลันเข้ามาคว้าจับตัวเยี่ยหลิงไว้และลากนางออกไป !