หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 49 ในความฝันนั้นทุกอย่างเป็นไปได้ (ปลาย)
บทที่ 49 ในความฝันนั้นทุกอย่างเป็นไปได้ (ปลาย)
หลังจากพูดคุยกับลู่เสี่ยวหรานอยู่สักพัก เยี่ยฉวนก็จึงเดินไปที่หัวเรือพร้อมกับเยี่ยหลิง เมื่อเหม่อมองไปที่แม่น้ำและภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างใต้เรือเหาะ ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ กำหมัดที่มือขวาอย่างมุ่งมั่น “คอยดู เถิด สักวันหนึ่งข้าจะขี่กระบี่ ทั้งยังจะมองข้ามภูเขาและแม่น้ำที่คอยกั้นระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์ให้จงได้ !”
ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงรีบถามขึ้นในใจ “ผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าสามารถขี่กระบี่ได้หรือยัง ?”
“ได้สิ เจ้าทำได้ !”
สตรีลึกลับตอบ
เมื่อได้ยินนางตอบเช่นนั้น เยี่ยฉวนพลันรู้สึกดีใจ เมื่อมาถึงจุดนี้ สตรีลึกลับก็กล่าวเสริมว่า “เจ้าต้อง สามารถทำได้อยู่แล้ว ถ้าเป็นในความฝันล่ะก็นะ !”
เยี่ยฉวนสิ้นคำพูด “…”
หลังจากเวลาผ่านไป 1 ชั่วยาม เรือเหาะก็ได้แล่นผ่านภูเขาหลายพันลูก จากนั้นพวกเขาจึงเห็นเมืองที่ ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาใหญ่สองลูกที่อยู่ไม่ไกลออกไป เมืองนี้ดูเหมือนเป็นประตูกั้นระหว่างภูเขาทั้งสอง ฝั่งตรงข้ามของเมืองเป็นที่ราบอันเป็นจุดสิ้นสุดของเมือง แม้ว่ามันจะมืดสลัวแต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้
ตรงฝั่งนั้นคือที่ตั้งของอีกแคว้นหนึ่ง แคว้นถังนั่นเอง !
ทันใดนั้นพลันมีเสียงประกาศดังขึ้นให้ทุกคนได้รับรู้ “เรียนท่านผู้โดยสารทุกท่าน เนื่องจากเรือเหาะจำ เป็นต้องเติมพลังงานเชื้อเพลิงเพื่อเดินทางต่อ ดังนั้นเราจึงจำต้องหยุดแวะพักที่เมืองชายแดนนี้เป็นเวลา 2 ชั่ว ยาม เมื่อหมดเวลาพักแล้ว กรุณากลับขึ้นเรือโดยทันที เนื่องจากเมืองชายแดนเป็นพื้นที่ไร้ระเบียบ ดังนั้นโปรด พยายามอย่าเดินไปมารอบ ๆ หากไม่มีกิจธุระใด”
เมื่อเสียงประกาศเงียบลง เรือเหาะพลันสั่นอย่างรุนแรง และจากนั้นในไม่ช้าก็ค่อย ๆ ร่อนลงจอด
เมื่อทั่วทั้งพื้นสั่นไหว เยี่ยหลิงจึงเข้าคว้าเกาะแขนพี่ชายเอาไว้แน่น
ขณะที่เรือเหาะเข้าใกล้พื้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนาดของเมืองชายแดนก็ดูคล้ายจะขยายใหญ่ขึ้นตามจน เห็นได้ชัดถนัดตา
เมื่อยืนอยู่บนเรือเหาะและมองลงไปด้านล่าง จะพบว่าเมืองชายแดนนั้นมีสภาพย่ำแย่กว่าเมืองพันภูผาหลายเท่านัก มันดูเป็นเมืองที่ทรุดโทรม มีผู้คนอาศัยอยู่น้อยจนแทบจะเรียกได้ว่ารกร้าง
เรือเหาะจอดนิ่งสนิทบนผิวน้ำในแม่น้ำใหญ่ จากนั้นไม่นานนักผู้โดยสารจำนวนมากต่างทยอยเดินลง ไปจนหมด ไม่เว้นแม้แต่สองพี่น้องก็เช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น ทว่าเลือกที่จะหยุดพักผ่อนใน พื้นที่ที่ทางสำนักอัปสรเมรัยจัดเตรียมไว้ให้
ที่พักมีลักษณะเป็นลานกว้างจัตุรัสใกล้ถนนใหญ่และค่อนข้างใกล้กับประตูเมือง นอกจากนี้แล้วภายในจัตุรัสแห่งนี้ยังจัดเตรียมไปด้วยของกินไว้มากมายอีกด้วย !
เยี่ยฉวนพาน้องสาวไปที่ร้านบะหมี่และตะโกนสั่ง “เถ้าแก่ ขอบะหมี่ 2 ชามให้ทางนี้ด้วย !”
“เดี๋ยวจัดให้ !”
เถ้าแก่ตอบกลับ หลังจากนั้นไม่นานบะหมี่ร้อน ๆ ที่ใส่ทั้งเนื้อสับและไข่ไก่ 2 ชามก็ถูกยกมาวางตรงหน้าเยี่ยฉวนและเยี่ยหลิง
เยี่ยฉวนคีบไข่ในชามของตัวเองใส่ลงในชามของน้องสาว เยี่ยหลิงถึงกับกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะส่งไข่ฟองนั้นคืนให้กับผู้เป็นพี่ “ท่านพี่ อย่าบอกนะว่าท่านไม่ชอบกินไข่น่ะเจ้าค่ะ !! ฮึม วันนี้ท่านหลอกข้า ไม่ได้แน่ !”
เมื่อครั้งอดีตที่สองพี่น้องต้องใช้ชีวิตอยู่ในจวนตระกูลเยี่ยอย่างยากลำบาก เยี่ยฉวนมักโกหกเสมอว่า ไม่ค่อยชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้และยกมันให้กับนางแทน ตอนนั้นนางยังเด็กมากจึงได้เชื่อว่าพี่ชายคิดแบบนั้นจริง ๆ จนกระทั่งพอนางโตจนรู้ความ ถึงค่อยพบว่าแท้จริงแล้วนั้นพี่ชายของนางนั้นอยากให้นางได้กินมันต่างหาก !
เยี่ยฉวนยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเยี่ยหลิงอย่างเอ็นดูและยิ้มออกมา “เถ้าแก่ ขอไข่ไก่อีก 2 ฟอง !”
“ได้เลย…”
อีกด้านหนึ่ง ฮั่นเซียงเหมิงที่แอบดูท่าทางของสองพี่น้องอยู่ห่าง ๆ เป็นเวลานานก็ได้พึมพำออกมาด้วยความอิจฉา “ข้าไม่เคยเห็นความรักแบบนี้ในตระกูลของตัวเองบ้างเลย”
ชายชราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฮั่นเซียงเหมิงถึงกับส่ายหน้าไม่เห็นด้วยเมื่อได้ยินดังนั้น “คนผู้นี้ให้ความสำคัญ กับเด็กหญิงตัวน้อยนั่นมากเกินไป ในอนาคต นางอาจกลายเป็นจุดอ่อนของเขาได้”
เมื่อมองใบหน้าเล็กเปี่ยมความสุขของเยี่ยหลิงที่อยู่ไกล ๆ ฮั่นเซียงเหมิงพลันกระซิบตอบเสียงเบา “แต่นางดูมีความสุขดีนะ”
จากนั้นนางจึงหมุนตัวเดินจากไป
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อสองพี่น้องทานอาหารเย็นร่วมกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว เยี่ยฉวนจึงหันมองไปยังเจ้าของร้านซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล “เถ้าแก่ คิดเงินด้วย !”
เถ้าแก่เดินมาหาเยี่ยฉวนพร้อมกับรอยยิ้ม “4 เหรียญทองขอรับนายท่าน !”
เยี่ยฉวนที่กำลังจะจ่ายเงินนิ่งงันไป เขาคิดว่าตัวเองได้ยินผิดจึงถามขึ้นอีกครั้ง “4 เหรียญทองหรือ ?”
เถ้าแก่พยักหน้า “ขอรับ 4 เหรียญทอง !”
ข้าง ๆ กันนั้น เยี่ยหลิงที่กำลังถือชามซดน้ำซุปอยู่ก็ถึงกับตกใจทันที ดวงตาทั้งคู่ของนางเบิกกว้าง “4 เหรียญทองเชียวหรือ ? ในแคว้นชิง บะหมี่หนึ่งชามมีราคาไม่เกิน 5 เหรียญเงินเท่านั้นเองนะเจ้าค่ะ !”
สองพี่น้องมองหน้ากัน ในที่สุดเยี่ยฉวนก็ลุกขึ้นยืน “เถ้าแก่ ท่านคิดเงินเรา 4 เหรียญทองสำหรับบะหมี่ 2 ชามและไข่ไก่เพิ่มอีก 2 ฟอง ? ท่าน ท่านแน่ใจแล้วหรือ ?”
เถ้าแก่หยุดยิ้มทันที “ทำไม ? พวกเจ้าคิดจะกินอาหารมื้อนี้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักแดงงั้นรึ ?”
เยี่ยฉวนพูดเสียงเข้ม “เถ้าแก่ หากจะคิดราคาขนาดนี้ก็นับว่าขูดรีดกันแล้ว !”
เถ้าแก่ตอบกลับอย่างเย็นชา “ข้าค้าขายที่นี่ก็คิดเงินราคาเดิมมาตลอดหลายปี เหตุใดพวกเจ้าจึงคิดว่าข้าหน้าเลือดรีดไถเอาเงินจากคนจรได้เล่า ? …หรือที่จริงแล้ว พวกเจ้าก็แค่ทำเป็นอิดออดไม่อยากจ่ายเงิน มากกว่ากระมัง !”
ขณะที่เยี่ยฉวนกำลังจะโต้กลับอย่างดุเดือดนั้น พลันมีเสียงหนึ่งจากด้านข้างดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “พี่ ชายใหญ่ มื้อนี้ให้ข้าเลี้ยงเถอะ !”
เยี่ยฉวนและน้องสาวหันไปมองตามต้นเสียง ก่อนจะพบว่าผู้ที่มาใหม่คือลู่หมิงกับลู่เสี่ยวหรานที่ยืนอยู่ด้านข้างนั่นเอง
ลู่หมิงเดินอาด ๆ เข้าไปหาเจ้าของร้าน เขาหยิบเหรียญทอง 4 เหรียญจากกระเป๋าเงินออกมาและส่งมันให้กับเถ้าแก่ก่อนจะร้องโวยวายขึ้นอย่างไม่พอใจ “เขาคือพี่ชายใหญ่ของข้า แล้วทำไม พี่ชายใหญ่แค่จะซื้อ บะหมี่สักชามก็ไม่ได้เลยหรือไงกัน ?”
เถ้าแก่มองไปที่ลู่หมิงแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงเก็บเหรียญทองหันหลังและเดินจากไปเท่านั้น
ลู่หมิงหันไปมองเยี่ยฉวนและยิ้มเยาะ “ไง พี่ชายใหญ่ !”
เยี่ยฉวนรู้สึกขบขันเล็กน้อย “เจ้าเด็กอ้วนนี่ยังคิดอยากเล่าเรียนเพลงกระบี่อยู่อีกเหรอ !”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงม้าดังขึ้นไกล ๆ อย่างกะทันหันจากทางประตูเมือง ในไม่ช้าทุกคนก็ได้เห็นทหาร ม้าหลายสิบคนในชุดเกราะสีดำที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาภายใน
“พวกมันมาจากแคว้นถัง !”
ลู่เสี่ยวหรานพึมพำอยู่ข้าง ๆ เยี่ยฉวน “พวกมันน่าจะเป็นทหารม้าเกราะดำแห่งแคว้นถัง แล้วทำไมพวกมันถึงมาที่นี่ได้ ? นี่อย่าบอกนะว่าจะเกิดสงคราม ?”
“ทหารม้าเกราะดำ ?”
เยี่ยฉวนมองไปยังทหารม้ากลุ่มนั้น ทันทีที่กลุ่มทหารควบม้าวิ่งเข้ามาในเมือง ทุกครั้งที่พวกม้าวิ่งผ่าน ถนนตรงจุดใด เหล่าทหารก็จักลงมือฆ่าคนทุกคนในที่นั้นรวมถึงจี้ปล้นร้านทุกร้านที่พวกมันเห็น
เมื่อเห็นฉากนี้ เยี่ยฉวนก็ถึงกับย่นคิ้วเข้าหากัน “ไม่มีผู้ใดสนใจเลยหรือ ?”
“แล้วต้องใส่ใจเรื่องใดกันเล่า ?”
ด้านข้างกันนั้น เถ้าแก่เจ้าของร้านขายบะหมี่ยืนยิ้มเยาะ “เกรงว่าทหารยามในเมืองตอนนี้น่าจะหดหัว อยู่ในห้องใต้ดินกันหมด นายท่าน ข้าขอเตือนเอาไว้อย่าง จงอย่าออกนอกพื้นที่ของสำนักอัปสรเมรัยเสียล่ะ ไม่อย่างนั้นละก็ มีหวังไม่รอดแน่ !”
เยี่ยฉวนกำลังจะหันไปคุยด้วย แต่ในระหว่างนั้นเองกลุ่มทหารม้าเกราะดำก็ได้รีบวิ่งออกจากเมืองไป พร้อมกับสัมภาระที่พวกมันกอบโกยไปได้อย่างพะรุงพะรัง เยี่ยฉวนสังเกตเห็นผู้หญิงร้องไห้บางคนอยู่บนหลัง ม้าของเจ้าพวกนั้นด้วย
“ฮะฮะฮ่า…”
หัวหน้ากองทหารม้าเกราะดำหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “พวกผู้ชายในแคว้นเจียงล้วนแต่ใช้การไม่ได้ทั้งนั้น ฮ่าฮ่า…”
พอพูดจบมันก็เริ่มดึงทึ้งเสื้อผ้าของผู้หญิงตรงหน้าตน จนไม่กี่อึดใจนางก็เหลือแต่เพียงชุดชั้นในปกปิด ร่างกายเท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ทุกคนรอบข้างต่างก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจทั้งสิ้น ทว่ากลับไม่มีใครออกมาห้ามปราม แม้สักคนเดียว
“ฮะฮะฮ่า…”
หัวหน้ากองทหารม้าเกราะดำยังคงหัวเราะอย่างสาแก่ใจต่อไปไม่มีหยุด “บุรุษแคว้นเจียงจงดูไว้ซะ พวกข้าไม่เพียงต้องการปล้นทรัพย์สินมีค่าเท่านั้น แต่ยังได้หลับนอนกับสตรีแคว้นเจ้าด้วยฮ่าฮ่า…”
ทันใดนั้นเยี่ยฉวนก็พลันหันไปฝากฝังเยี่ยหลิงกับลู่เสี่ยวหรานที่อยู่ข้าง ๆ ทันที “ผู้อาวุโส โปรดช่วยดูแลน้องสาวข้าด้วย !”
ไม่ต้องให้รอช้า เยี่ยฉวนทำการคว้าม้าตัวที่อยู่ใกล้มือมากที่สุดและควบตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
ที่เบื้องหลังของเยี่ยฉวนนั้น ผู้คนที่เห็นชายหนุ่มทำเช่นนั้นต่างก็ตัวแข็งค้างไปกันหมดแล้ว