หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 56 ขออภัยที่มารบกวน (ต้น)
บทที่ 56 ขออภัยที่มารบกวน (ต้น)
เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางอำนาจของแคว้นเจียงที่เจริญรุ่งเรืองมาช้านาน
นี่จึงทำให้สถานที่นี้เต็มไปด้วยคนหนุ่มคนสาวเดินทางมาตามหาความฝันเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
เรือเหาะยิ่งใกล้เมืองเข้าไปเท่าไร ภาพเมืองหลวงที่ปรากฏตรงหน้ายิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางสายตาของคนที่อยู่บนเรือเหาะ
ลู่เสี่ยวหรานที่ยืนเคียงอยู่กับเยี่ยฉวนพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “เยี่ยฉวนสหายข้า เมืองหลวงเป็นสถานที่เต็ม ไปด้วยผู้คนหลายประเภท เจ้าต้องระวังให้ดี หาไม่แล้วเจ้าจะได้เจอเข้ากับปัญหาเป็นแน่ !”
เยี่ยฉวนผงกศีรษะรับคำ “ข้าจะไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนแน่ !”
ผู้มีอาวุโสกว่าส่ายหน้าพร้อมพูดว่า “ที่จริงแล้วข้าไม่ได้เป็นกังวลเพราะเจ้า แต่ด้วยนิสัยใจคอของคนที่นี่ นั่นตังหากคือสิ่งที่ข้ากังวล ถึงแม้จะเป็นถึงขุนนางภายในแคว้น ข้าเองยังต้องระมัดระวังตัวไม่ให้เกิดเรื่องบาด หมางกับคนที่ข้าไม่สมควรข้องแวะด้วย”
ชายวัยกลางคนหันมามองเยี่ยฉวนก่อนที่จะเอ่ยต่อว่า “สหายข้า เจ้าอยู่ที่นี่ก็อย่าเก็บเนื้อเก็บตัวจนเกินเหตุ เป็นมิตรกับคนอื่นไว้บ้างก็ดี ต่อไปภายหน้าเขาอาจจะเป็นที่พึ่งให้เจ้าได้”
ผูกมิตรกับคนอื่น !
เยี่ยฉวนพยักหน้ารับคำ เพราะเขาเองก็เห็นด้วยกับประโยชน์ของการสร้างมิตรภาพ
เรือเหาะลำนั้นเหินเข้าใกล้เมืองทุกขณะจนเยี่ยฉวนมองเห็นสถาปัตยกรรมภายในเมืองหลวงเด่นชัดมากขึ้น ขนาดของเมืองหลวงไม่ใหญ่โตนัก แต่มีจำนวนประชากรมากถึงหนึ่งล้านคน ส่วนกำแพงเมืองอันเก่าแก่ก็ถือเป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของสถานที่แห่งนี้ได้ดีทีเดียว
อย่างไรก็ตาม …ความเจริญรุ่งเรืองของที่นี่มันก็ช่างน่าเหลือเชื่อ !
ที่ชายหนุ่มคิดแบบนี้ก็เพราะเขาสังเกตเห็นตอนก่อนเข้าเมืองที่มีเรือเหาะคลาคล่ำทั้งเข้าและออกใน เมืองหลวงอยู่ตลอดเวลา
“ช่างมีชีวิตชีวาเหลือเกิน !” ชายหนุ่มรำพึงขณะทอดสายตามองดูความเคลื่อนไหวตามแนวขอบฟ้า
“เมื่อเข้าเมืองแล้วเจ้าจะเห็นความมีชีวิตชีวามากกว่านี้ !” ลู่เสี่ยวหรานหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ส่วน เยี่ยฉวนพยักหน้านิ่ง เริ่มรู้สึกสนใจใคร่รู้จักเมืองหลวงเบื้องหน้าขึ้นมาไม่น้อย
จู่ ๆ เรือเหาะก็ชะงักหยุดห่างจากตัวกำแพงเมืองราว 90 จั้ง ก่อนจะค่อย ๆ ร่อนลงจอดทีละน้อยลงบน แผ่นน้ำกว้างใหญ่ บริเวณโดยรอบมีเรือเหาะอีกนับสิบลอยลำเทียบท่าอยู่ ช่างใหญ่โตโอฬารยิ่งนัก !
เสียงหนึ่งประกาศก้องขึ้น “เรือเหาะเข้าเทียบท่าเมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย ขอให้ผู้โดยสารทยอยลงจากยานหนะได้ ณ บัดนี้ !”
ชายหนุ่มรีบรุดกลับไปที่ห้องพัก และเมื่อพบว่าน้องยังหลับใหลจึงไม่คิดที่จะปลุก เขาตัดสินใจแบกนางขึ้นหลังของตนเองและพากันขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของเรือเหาะแทน
ลู่เสี่ยวหรานยิ้มเมื่อเห็นทีท่าของเยี่ยฉวน เขาเอ่ยขึ้นว่า “สหายข้า ทำไมพวกเจ้าไม่ไปที่จวนของข้าเสีย ก่อนเล่า ?”
เยี่ยฉวนน้อมรับ “เช่นนั้นข้าจะไม่มากพิธี”
ลู่หมิงได้ยินเยี่ยฉวนดังนั้น พลันสีหน้าเขาก็แช่มชื่นขึ้นมาในทันที เพราะเขาเองก็กำลังเบื่อหน่ายการ เดินทางมาเมืองหลวง และชอบใจที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ สองพี่น้องคู่นี้มากยิ่ง !!!
เรือเหาะลดลำลงอย่างช้า ๆ กระทั่งในที่สุดลงมาลอยลำนิ่งอยู่บนผืนน้ำกว้างใหญ่ ก่อนด้านข้างตัว ลำเรือจะปรากฏบันไดทอดยาวที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารในเที่ยวที่ต่างทยอยเดินลง
เยี่ยฉวนซึ่งแบกเยี่ยหลิงไว้บนหลังเดินตามลู่เสี่ยวหรานลงจากเรือเหาะ ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันมุ่งหน้า ไปยังประตูเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
ฮั่นเซียงเหมิงยืนมองภาพที่เยี่ยฉวนและพวกจากบนดาดฟ้าของเรือเหาะพลางพูดว่า “ข้าเกรงว่าต่อไปสถานศึกษาฉางมู่คงจะไร้ซึ่งความสงบอันแสนเงียบเหงาอีกต่อไป”
“ทำไมท่านไม่เข้าไปพูดดีกับเขาเล่า นายหญิง ?” เสียงแหบของชายชราที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น
ฮั่นเชียงสั่นศีรษะก่อนจะตอบกลับ “ข้าพลาดโอกาสทองไปแล้วน่ะสิ ดังนั้นข้าจึงไม่อยากทำเป็นญาติดีกับเขาให้ตัวเองต้องอับอายขายขี้หน้าอีก”
“ในเวลานี้ความหวังเดียวของข้าก็คือที่สถานศึกษาฉางมู่…” เสียงของหญิงสาวรำพึงกับตนเอง ก่อนที่ นางจะหันหน้ามองตรงไปยังทิศที่เมืองหลวงตั้งอยู่
…
ชายหนุ่มก้าวมาหยุดยืนเบื้องล่างกำแพงเมืองหลวง เขาจับตามองไปที่ประตูเมืองด้วยความรู้สึกสะเทือนใจอยู่ลึก ๆ เมื่อได้รู้ว่าเมืองชิงของตนเป็นเพียงเมืองเล็กจ้อยเพียงใด ด้วยขนาดของประตูเมืองยังแค่หนึ่งในสิบ ของประตูเมืองเบื้องหน้านี่ด้วยซ้ำไป !
เมืองที่สมบูรณ์เพียบพร้อมเช่นนี้ ไฉนเลยเมืองเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายจะมาเทียบเคียง !
เมื่อเดินผ่านประตูเมืองเข้าไป ในช่วงเริ่มแรกชายหนุ่มรู้สึกว่าเมืองหลวงนี้ช่างยิ่งใหญ่ ถนนหนทาง กว้างขวางราว 2 จั้งเศษเห็นจะได้บ้านเรือนแต่ละหลังมีเนื้อที่จำกัดแต่ไม่ถึงกับชิดกันมากจนเกินไป อันที่จริงเขารู้สึกอยากเดินเที่ยวเล่นอย่างสบายใจไร้กังวลเสียด้วยซ้ำ ส่วนความรู้สึกต่อมา เขาคิดว่าเมืองหลวงช่างอึกทึก ครึกโครมจากกิจกรรมที่วุ่นวายยิ่งนัก บนถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ม้าและรถลาก ต่างส่งเสียงดังอื้ออึงจนหากสนทนากันด้วยเสียงปกติคงจะฟังไม่ได้ยิน
ขณะนั้นเอง เยี่ยหลิงที่งัวเงียก็ได้ตื่นขึ้นมา
นางมองอย่างตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ “ที่นี่สับสนวุ่นวายกว่าเมืองชิงของเราเสียอีก !”
เยี่ยฉวนอดหัวเราะให้กับคำพูดของน้องมิได้ เขาหันไปเอ่ยถามลู่เสี่ยวหรานว่า “ผู้อาวุโสลู่ สถานศึกษาฉางมู่ไปทางใดกัน ?”
ลู่เสี่ยวหรานอมยิ้มขณะตอบกลับ “จะรีบร้อนไปไย สถานศึกษาฉางมู่จะเปิดรับสมัครอีกครั้งในราว 2 สัปดาห์หน้า เวลานี้จึงไม่เปิดรับคนภายนอก เพราะฉะนั้นถึงเจ้าจะไปมันก็ไม่มีประโยชน์ใด กลับไปที่จวนกับข้าพักอยู่สักวันสองวัน ให้พวกเจ้าสองคนได้มีเวลาเตรียมตัวก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงไปสถานศึกษาฉางมู่พร้อม กับลูกชายของข้า เจ้าจะว่าอย่างไร ?”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ตกลง !”
เมื่อเป็นดังนั้นลู่เสี่ยวหรานจึงพาพวกเขาสองคนไปยังจวนที่พักของตน จนกระทั่งทั้งหมดมาถึงด้าน หน้าตึกที่ใหญ่โตและหรูหราซึ่งถือเป็นจวนของขุนนาง ณ เมืองหลวงแห่งนี้
หัวหน้าพ่อบ้านได้จัดการส่วนที่พักให้สองพี่น้องตระกูลเยี่ยเรียบร้อย โดยพร้อมกันนั้นเขายังส่งคนรับใช้มาอีก 3 คนไว้คอยดูแล ซึ่งนั่นก็ทำให้เยี่ยฉวนกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
ส่วนเยี่ยหลิง นางก็ได้หลับไปอีกหลังจากที่พวกเขามาถึงจวนไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี
นี่ทำให้เยี่ยฉวนรู้สึกใจหายทันทีที่เห็นเช่นนั้น
ในหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง เยี่ยหลิงกลับใช้เวลานอนหลับเสีย 18 ชั่วโมงแล้วในตอนนี้ !
ย่อมผิดปกติแน่นอน !
หลังจากที่จัดการห่มผ้าให้นางดีแล้ว เยี่ยฉวนก็พลันเดินออกมาตรงบริเวณส่วนกลางตึก
ต้องรออีก 2 สัปดาห์ !
สถานศึกษาฉางมู่เป็นความหวังของเขาในเวลานี้
ถึงกระนั้นเยี่ยฉวนยังอดหวั่นใจไม่ได้ เพราะจนบัดนี้เขายังไม่สามารถบรรลุถึงขั้นหลอมรวมลมปราณ อันเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่สถานศึกษายอมรับได้เลย !!
ขณะกำลังครุ่นคิด ชายหนุ่มพลันนึกขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง เขาหยิบเครื่องประดับที่ทำด้วยหยกขาวซึ่ง อันหลานซิ่งเคยมอบให้ขึ้นมา ด้วยถ้าไม่มีทางเลือกเขาจะต้องใช้สิ่งนี้ ต่อให้ในคราแรกหมายจะเข้าสถานศึกษาฉางมู่ด้วยความสามารถของตนเองก็ตามที !
กระบี่จิตวิญญาณ
เยี่ยฉวนรู้ตัวดีว่าตนจะต้องตั้งมั่นไปที่การครอบครองกระบี่จิตวิญญาณ ถ้าทำได้ การเข้าสู่สถานศึกษาฉางมู่ก็จะมีโอกาสมากขึ้น !
ชายหนุ่มไม่เหมือนคนอื่น เขาต้องฝึกฝนจนพลังปราณบรรลุถึงขั้นสูงสุดจึงสามารถครอบครองกระบี่ จิตวิญญาณได้ !
เจ้ากระบี่พวกนี้ถือสิ่งล้ำค่าที่สุด จึงยากมากที่จะหาได้สักเล่ม ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่มีปัญญา หาซื้อเพราะไม่มีเงินพอที่จะซื้อหามาได้นั่นเอง
ถึงตอนนี้เยี่ยฉวนตระหนักแก่ใจตนเองแล้วว่าคนธรรมดาสามัญจะต้องใช้ความพยายามยากยิ่งใน การฝึกฝนตนเองไม่ว่าชายหรือหญิง
ฝึกฝน ! ฝึกฝน !
หลังจากนั้นเยี่ยฉวนจึงเข้าสู่หอคอยเรือนจำอีกครั้ง เวลานี้เขาไม่ปรารถนาจะฝึกฝนกับเงาอีกต่อไป ขณะเดียวกันเงาเองก็ได้คู่ควรในการฝึกของเขาเช่นกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือเยี่ยฉวนจะต้องควบคุมจิตวิญญาณ แห่งการต่อสู้ของตนให้ได้เสียก่อน เพราะจนกระทั่งตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังคงไม่มั่นใจว่าตนเองนั้นเข้าใจความ สามารถนี้ลึกซึ้งดีพอหรือยัง !
วันเวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันการเปิดรับสมัครที่สถานศึกษาฉางมู่ก็จะเริ่มขึ้น
เยี่ยฉวนยืนกำหมัดแน่นขณะอยู่ภายในหอคอยเรือนจำ พลังไร้รูปแบบเกิดการสั่นสะเทือนราวกับถูก พลังบางอย่างห่อหุ้มไว้
เป็นพลังจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ !!!