หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 71 ข้าชังน้ำหน้าเจ้านัก ! (ต้น)
บทที่ 71 ข้าชังน้ำหน้าเจ้านัก ! (ต้น)
ลมหายใจของเยี่ยหลิงรวยรินลงไปมาก จนในที่สุดแทบไม่รู้สึกว่ายังมีชีวิตอยู่ !
เยี่ยฉวนกอดร่างของแนบแน่น ขณะที่ร่างกายของตนเองยังสั่นเทา ก่อนพลันมีหยาดโลหิตเริ่มไหลซึม ออกจากมุมปาก
รอบกายสองพี่น้อง ท่ามกลางสายตาของผู้คน
สายตาคู่ที่มองมายังพี่น้อง เป็นลู่เสี่ยวหรานที่รู้สึกสับสน ด้วยเขาไม่คิดว่าจะกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งไม่คิด ว่าเยี่ยฉวนจะไร้ตันเถียน !
เมื่อไร้ตันเถียน ชั่วชีวิตนี้ของชายหนุ่ม การจะรวบรวมพลังปราณจึงเป็นไปไม่ได้ !
ทันใดเสียงของชางจงพลังคำรามลั่น “ใครก็ได้เข้ามาไล่สองพี่น้องคู่นี้ไปเสียจากเขาฉางซานที !”
สิ้นเสียง บุรุษร่างกำยำหลายคนถลันเข้าหาเยี่ยฉวนพี่น้อง ก่อนพลันปรากฏร่างของชายชราคนหนึ่ง ออกมายืนขวางทาง อีกฝ่ายผมเผ้ายุ่งเหยิงปกคลุมใบหน้าสกปรกมอมแมม สวมเสื้อขาดรุ่งริ่งราวผ้าขี้ริ้วปล่อย ให้กลิ่นเหล้าโชยมาคละคลุ้ง
ชางจงที่มองเห็นเช่นนั้น หัวคิ้วพลันกระตุกด้วยไม่ชัดเจนว่าตาแก่โผล่ออกมาจากที่ใด !
ทำให้บุรุษร่างกำยำพลอยชะงักกึกลงไปด้วย !
เฒ่าชางจงเขม้นมองพลางตวาดถามเสียงดัง “เจ้าเป็นใคร ?”
ชายชราไม่ตอบคำ แต่กลับก้มลงมองเยี่ยฉวนสองพี่น้องและหันไปพิจารณาเยี่ยหลิง จากนั้นจึงพูดขึ้น “ข้าช่วยนางได้ !”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เยี่ยฉวนเงยหน้าทันควัน
ชายชราจ้องมองเยี่ยฉวน “เจ้าจะเข้าเป็นศิษย์ของสถานศึกษาฉางหลานหรือไม่ ?”
สถานศึกษาฉางหลาน !
ฉับพลันผู้คนรอบข้างพลันส่งเสียงดังเอะอะไปทั่ว
ศัตรูอันตรายของสถานศึกษาฉางมู่ ไม่สิ ในเวลานี้สถานศึกษาฉางหลานหาใช่คู่ต่อสู้ของสถานศึกษา ฉางมู่อีกต่อไป
ชางจงจ้องชายชราสกปรกที่อยู่เบื้องหน้าเขม็ง “ที่แท้เจ้าก็มาจากสถานศึกษาฉางหลาน !”
ชายชรากลับหาได้ใส่ใจมันแม้แต่น้อย เขายังคงจับตามองเยี่ยฉวน
เยี่ยฉวนมองตรงแน่วแน่มาที่ชายชรา “หากท่านสามารถช่วยน้องสาวของข้าได้ ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวัน หันหลังให้สถานศึกษาฉางหลานเด็ดขาด !”
ชายแก่ยกมือสกปรกชี้ขึ้นไปบนเขาฉางซาน “ตลอดทางขึ้นเขา ปรากฏซากศพ 36 ร่างของศิษย์แห่ง ฉางหลาน ทุกคนล้วนตายอย่างอนาถ เจ้าอาจจะต้องเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น”
สายตาของเยี่ยฉวนมองตรงเข้าไปในดวงตาของชายชรา “ตราบใดที่ท่านสามารถช่วยน้องสาวข้าได้ ข้าไม่เสียใจเลยแม้จะต้องเป็นหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้น !”
ชายชรานิ่งมองชายหนุ่มตรงหน้าครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ศพที่แขวนบนเสาตลอดทางขึ้นฉางซานนี้ เจ้าสามารถนำพวกเขาทั้งหมดกลับบ้านได้หรือไม่ ?”
เยี่ยฉวนมองตรงด้วยสายตาแน่วแน่ “ตราบใดที่ท่านสามารถช่วยน้องสาวของข้า ข้าจะทำให้ดีที่สุด ขอรับ !”
สายตาเคร่งขรึมของชายชรามองที่เยี่ยฉวน “จากนี้ไปเจ้าคือศิษย์ของสถานศึกษาฉางหลาน”
พูดจบจึงทรุดกายลงนั่งข้าง ๆ เอื้อมมือกดจับชีพจรของเยี่ยหลิง ชั่วขณะหนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองเด็ก น้อยแต่ไม่เอ่ยสักคำ ก่อนชายชราจะค่อย ๆ ยกนิ้วหัวแม่มือแตะบริเวณแหวนสีดำที่สวมบนนิ้วชี้ พลันมีแสง แวววาวที่ต่อมาปรากฏเป็นเปลวเพลิงรูปดอกบัวขึ้นใจกลางฝ่ามือ ก่อนส่งความร้อนจากเปลวเพลิงฉาบพื้นที่ เกิดไออุ่นทั่วบริเวณโดยรอบ
“จิตวิญญาณอัคคี !!”
เสียงของใครคนใดคนหนึ่งอุทาน
ระหว่างสวรรค์และโลก บังเกิดสิ่งมหัศจรรย์ล้ำค่ามากมาย เฉกเช่นเดียวกับจิตวิญญาณอัคคีซึ่งเป็น ของมีราคาแต่ไม่สามารถประมาณค่าได้เลย !
สิ่งล้ำค่าที่บังเกิดขึ้นระหว่างสวรรค์และโลกชิ้นนี้ แม้แต่สถานศึกษาฉางมู่ก็หาได้มีไว้ในครอบครองไม่
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ชายชรากดนิ้วชี้ลงเล็กน้อยจนเกิดเสียงดังกริ๊ก ฉับพลันเปลวไฟแห่งจิต วิญญาณอัคนีพุ่งวาบไปที่ระหว่างหัวคิ้วของเยี่ยหลิง ไอเย็นวูบลดลงจากร่างกายราวระดับน้ำที่กำลังลง ชายแก่ยกมือขวาแตะบนหัวไหล่ของนางและส่งออกพลังความร้อนอันน่าพิศวงเข้าสู่ร่างกาย ต่อหน้าเยี่ยฉวนซึ่งจับ ตาดูอยู่อย่างเคร่งเครียด สีหน้าของเด็กหญิงเริ่มปรากฏสีแดงระเรื่อทีละน้อย
เมื่อเห็นเช่นนั้นชายหนุ่มพลันสีหน้าสีตาเปี่ยมล้นด้วยความสุข
ผ่านไปอีกอึดใจใหญ่ เยี่ยหลิงค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้า ๆ ทำให้ผู้เป็นพี่ชายรีบคว้ามือมากำไว้แล้วถามเสียงสั่น “เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร ?”
เยี่ยหลิงหันมองรอบตัวอย่างงงงวย ในที่สุดเมื่อหันมาพบเยี่ยฉวน หยาดน้ำใสพลันไหลรินจากตา “ท่านพี่ ข้ายังไม่ตาย ?”
เยี่ยฉวนพยักหน้า พูดไม่ออกได้แต่น้ำตาไหล
ช่วงนั้นเองเปลวไฟจึงย่อขนาดจนเล็กลงและหายลับเข้าไประหว่างหัวคิ้วของเยี่ยหลิง
เสียงชายชราเอ่ยขึ้นว่า “จิตวิญญาณอัคนีสามารถสกัดกั้นไอเย็นในร่างกายของนางได้เพียงช่วงหนึ่ง ข้าคิดว่าไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือน ภายหลังจากนั้น จิตวิญญาณอัคนีจะอันตรธานไป !”
เยี่ยฉวนรีบประคองน้องให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนที่ทั้งสองจะพร้อมใจกันแสดงคารวะขอบคุณต่อชายชรา “ความเมตตาของท่าน ข้าเยี่ยฉวนจะขอจดจำไปจนชั่วชีวิต !”
ชายแก่พยักหน้าน้อย ๆ อย่างพอใจ “พวกเรากลับไปสถานศึกษาฉางหลานกันเถิด !”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ดีขอรับ !”
เมื่อทั้งสามขยับจะเดินออกไป เสียงชางจงพลันพูดออกมาด้วยวาจาเหยียดหยาม “ช่างน่าขัน สถาน ศึกษาฉางหลานเก็บเอาเศษขยะที่สถานศึกษาฉางมู่เขี่ยทิ้งแล้วเอาไปใช้ อ้อ ข้าเข้าใจอยู่หรอกนะ ทุกวันนี้ใคร หน้าไหนจะอยากเป็นศิษย์ของฉางหลานบ้างกัน ?”
ชายชราหาได้ตอบโต้ เพียงตวัดสายตามองทางชางจงอย่างไม่ใส่ใจ
ทำเพียงเท่านั้น ชายชราพร้อมด้วยสองพี่น้องจึงพากันเดินกลับไป
แต่เสียงหัวเราะเยาะของชางจงกลับยังคงดังไล่หลังมาอย่างไร้ศีลธรรม “ช่างน่าขำ น่าขำ ฉางหลาน ตกต่ำแล้วจริง ๆ ถึงขั้นเก็บเอาเศษขยะที่ทิ้งแล้วของฉางมู่ ฮ่าฮ่า…”
ทันใดนั้น แสงสว่างสีขาวพลันพุ่งวาบเป็นแนวมาในระยะไกล ก่อนที่เงาสีขาวจะปรากฏต่อสายตา ทุกคน ทำให้พวกเขาตะลึงงันไป
“ผู้เยี่ยมยุทธ์อัน !”
เสียงของใครบางคนดังขึ้น ก่อนที่หลังจากนั้นจะตามด้วยเสียงอึกทึกดังสนั่น
ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้น อันหลานซิ่ว !
ผู้ที่เป็นเสมือนแม่แบบของคนรุ่นใหม่แห่งแคว้นเจียง สำหรับแคว้นเจียงนางเป็นเสมือนต้นฉบับของ ผู้คนทุกรุ่น
คนจำนวนมากที่อยู่ในลานกว้างพากันจ้องมองเงาสีขาวอย่างจิตใจจดจ่อ สายตาของพวกเขามีทั้ง เทิดทูนบูชาและให้ความเคารพ !
เหตุเพราะว่าอันหลานซิ่วคือความภาคภูมิใจของคนในแคว้นเจียง !
นางเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ยากจะหาใครเสมอเหมือน
ต่อหน้าทุกคนในที่นั้น อันหลานซิ่วเดิมมาหยุดลงเบื้องหน้าสองพี่น้อง ดวงตาของนางจับจ้องใบหน้า ของชายหนุ่ม “ข้าขอโทษ !”
เยี่ยฉวนส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านไม่เกี่ยวอะไรด้วย !”
อันหลานซิ่งแบมือข้างขวายื่นออกมา “จี้หยก !”
ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเลและพูดว่า “ข้าจะเก็บไว้”
หญิงสาวจ้องเข้าไปในแววตา “ทำไม ?”
เยี่ยฉวนจ้องกลับ “เป็นความชอบ”