หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 72 ข้าชังน้ำหน้าเจ้านัก ! (ปลาย)
บทที่ 72 ข้าชังน้ำหน้าเจ้านัก ! (ปลาย)
นางมองเยี่ยฉวนนิ่งอยู่ชั่วครู่จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันมายังชายชราข้างกาย ทำให้ชายชรา ต้องหันมองอย่างครุ่นคิดก่อนพูดพึมพำราวเสียงกระซิบ “ท่านเป็นคนที่สำคัญยิ่งต่อแคว้นเจียง …สำเร็จอีกขั้น แล้วสินะ”
อันหลานซิ่วนิ่งไปชั่วครู่จึงพูดว่า “แคว้นเจียงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น !”
ทว่าชายชรากลับส่ายหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ “ศพคนตาย 36 ศพเรียงรายตามทางเดินนั่น ไงเล่า”
อันหลานซิ่วไม่ตอบโต้
ชายชราว่าจบก็จึงหันกลับและเดินลงจากเขาไป
เยี่ยฉวนกำมือแสดงคารวะต่ออันหลานซิ่ว “ลาก่อน”
ไม่รอช้า เขาและเยี่ยหลิงรีบเดินตามชายชราลงจากเขาทันที
หญิงสาวยังคงยืนมองตามหลังคนทั้งสาม ค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ ในขณะนั้นชางจงก็รีบก้าวออกมา เบื้องหน้าอันหลานซิ่ว พร้อมแสดงคารวะด้วยความเคารพ “ท่านปรมจารย์อัน ข้า…”
ฉับพลัน ร่างของตาเฒ่ากลับกระเด็นออกไปไกลหลายจั้ง !
คนในที่นั้นสะดุ้งตกใจ ต่างใช้สายตามองอันหลานซิ่วด้วยแววตาพิศวงยิ่ง !
เหตุเพราะอันหลานซิ่วจู่โจม !
หญิงสาวมองตาเฒ่าชางจงที่กระเด็นไปไกลหลายจั้งด้วยแววตาเย็นเยือก “เจ้าบังอาจทำเลวทรามต่อ คนที่ข้าสั่งให้เขามา”
ยามนี้ตาเฒ่าพลันเกิดความกลัวแล่นเข้าจับจิต เขากำลังนึกหาคำพูด ก่อนที่ฉับพลันแสงวาบจะตก จากฟ้าพุ่งเข้าใส่
แคว่ก !
แขนข้างหนึ่งขาดกระเด็นออกจากร่างของเฒ่าชางจง
โลหิตสาดกระจาย !
ผู้คนหุบปากเงียบสนิท !
ความหวาดกลัวฉายชัดในแววตา “นางคิดจะทำอะไร ?”
อันหลานซิ่วมองไปทางยอดเขาฉางซาน “หลีซิ่ว จงออกมา !” ท่ามกลางสายตาที่จับจ้อง
สิ้นคำ อันหลานซิ่วชี้นิ้วยาวเรียวราวกับเนื้อหยกขึ้น ก่อนพลันปรากฏทวนสีเงินลอยคว้างกลางอากาศ ที่พันรอบลำทวนอยู่คือร่างมังกรยาวนับพันที่ดูคล้ายจะลดขนาดลงเพื่ออำพรางอะไรบางอย่าง
เสียงคำรามของมังกรดังสนั่นครอบคลุมทั่วบริเวณเทือกเขาฉางซาน !
ชั่วครู่กลับเงียบลง
ตู้ม !
บนบอดเขาฉางซาน พลันบังเกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหวน่าตกใจยิ่ง “เคล็ดวิชาเพลงทวนเปลี่ยนสภาพเป็นรูปธรรม… ท่านบรรลุเคล็ดวิชาสำเร็จเป็นปรมาจารย์ทวนแห่งเต๋า…”
ปรมาจารย์ทวนแห่งเต๋า !
สิ้นประโยคนั้นทุกคนต่างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง !
ปรมาจารย์ทวนแห่งเต๋า !!
“ท่านอันหลานซิ่ว สำเร็จเป็นปรมาจารย์ทวนแห่งเต๋าแล้วเช่นนั้นหรือ ?”
“แต่นางอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น !”
นางคือผู้พลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่โดยแท้จริง !
เพียงไม่นานหลีซิ่วออกมาปรากฏเบื้องหน้าอันหลานซิ่ว เขาทีท่าให้ความเคารพอย่างยิ่ง
ความน่าเกรงขามไม่ได้อยู่ที่ความเป็นปรมาจารย์ทวนแห่งเต๋า แต่ความน่าเกรงขามเกิดจากการที่นางสำเร็จเป็นปรมาจารย์เต๋าแห่งทวนทั้งที่อายุน้อย นี่นับเป็นยอดคนที่น่ากลัว ในประวัติศาสตร์ของสถานศึกษา ฉางมู่ มีคนเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถรับมือกับนางได้ เขาผู้นั้นคือกู้เฉียนเฉิง บุคคลที่แบกสถานศึกษาฉางมู่ไว้ ด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียวในช่วงหลายปีมานี้ !
คนผู้คือตำนานแห่งสถานศึกษาฉางมู่ !
เมื่อคิดเปรียบเทียบกันแล้ว อันหลานซิ่วที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา หาได้เหนือกว่าไม่ !
หลีซิ่วสลัดความคิดทุกอย่างทิ้งไป “ใครทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์อันโมโหโกรธาได้เช่นนี้ ?”
อันหลานซิ่วจ้องหน้าเขา “ข้าชังน้ำหน้าเจ้านัก !”
พูดขาดคำ เท้าข้างหนึ่งถีบพื้นส่งให้ร่างออกพุ่งทะยานออกไปโดยพลัน ขณะเดียวกับทวนยาวก็ได้ผลักออกลำแสงพุ่งวาบ
คนที่อยู่ยืนตรงข้ามอย่างหลีซิ่วหรี่ตาลง ไม่กล้าออมมือให้แม้เพียงนิดเดียว เขาถอยหลังไปครึ่งก้าว ส่งมือขวาผลักออกและกวาดฝ่ามือหมุนวน เมื่อพลังหมุนของฝ่ามือรวดเร็วขึ้น มันก็พลันรวมตัวเป็นลมหมุน และ เพียงชั่วพริบตาลมหมุนก็เป็นกลายเป็นพายุหมุนพัดวนอยู่เบื้องหน้า ตรงกลางพายุลูกนั้นเป็นใบมีดคมกริบบางเฉียบราวกับปีกแมลงจักจั่นพัดหมุนวนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน
ตอนนั้นเองที่ทวนยาวพุ่งตรงเข้าหา !
เปรี้ยง !
สิ้นเสียงกัมปนาทพสุธาโยกคลอน ทั้งแสงสว่างวาบและพายุหมุนใบมีดบางเฉียบต่างแตกกระจายออก ก่อนร่างคนผู้หนึ่งจะถูกแรงผลักส่งให้ล่าถอยอย่างพ่ายแพ้ออกไปไกล
คนผู้นั้นคือหลีซิ่วซึ่งล่าถอยออกไปไกลหลายจั้ง และเมื่อหยุดร่างลงได้ พลันปรากฏโลหิตไหลทะลัก ออกทางมุมปาก ส่วนแขนขวาก็ปรากฏแผลฉีกขาดราวกับใยแมงมุม !
ทั่วทั้งลานเงียบกริบ !
อันหลานซิ่วได้สร้างความพ่ายแพ้ให้บังเกิดแก่รองอาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ !
ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วหลีซิ่วขั้นพลังอยู่ในขั้นใดแน่ ถึงกระนั้นคนที่เป็นถึงรองอาจารย์ใหญ่แห่งสถาน ศึกษาฉางมู่จะอย่างไรย่อมไม่ไร้ฝีมือ ฝีมือของหลีซิ่วไม่ต่ำกว่าขั้นสันโดษซึ่งเหนือกว่าขั้นทะยานสวรรค์ หรือบางทีอาจเป็นขั้นเหนือกว่านั้น !
ทว่าเวลานี้ เขากลับเสียท่าให้อันหลานซิ่ว
หลีซิ่วจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว แต่มิใช่แววแห่งความโกรธต่อนาง มีเพียงความขลาด กลัวอันล้ำลึกฉายในตาคู่นั้น !
คนภายนอกไม่มีใครรู้ภูมิหลังของอันหลานซิ่ว แต่เขารู้ ด้วยเหตุนั้นเมื่อนางปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับฉางมู่เมื่อหลายปีก่อน สถานศึกษาแห่งนี้จึงยังไม่หาญกล้าพอที่จะใช้มาตรการบังคับกับนาง ด้วยใครย่อมรู้ว่าสำนัก ซึ่งประกอบด้วยเหล่ายอดฝีมือ ทั้งยังมีอิทธิพลมากมายเช่นสถานศึกษาฉางมู่ เมื่อไม่สามารถดึงเข้ามาไว้ข้าง กาย มีทางเดียวคือต้องกำจัดเสียให้สิ้น !!
แต่กับอันหลานซิ่ว ฉางมู่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดร้ายกับนาง !
หญิงสาวไม่เคลื่อนไหวอีก กลับทอดสายตามองขึ้นไปบนยอดเขาฉางซานพลางส่ายศีรษะ “นับแต่นี้ เป็นต้นไป ข้ากับสถานศึกษาฉางมู่ไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกันอีก”
กล่าวจบ นางพลันหันหลังเดินจากไป
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น สีหน้าของหลีซิ่วก็ได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “ท่านผู้เยี่ยมยุทธ์อัน อย่าได้ทำเช่น นั้นเลย หากได้กระทำผิดต่อท่าน พวกเราขออภัย โปรด…”
จากระยะไกลออกไป ร่างของอันหลานซิ่วหายไปจากสายตาของทุกคน
หลีซิ่วนิ่งงันอยู่กับที่ ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
ตอนนั้นเอง ในที่ตั้งของค่ายกลมารเก้าชั้น หุ่นไม้ทั้งหมดพลันย้อนกลับคืนประจำตำแหน่งเดิมเมื่อเริ่ม แรกโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนทันใดนั้นจะปรากฏเป็นเงาประหลาดบนค่ายกลมารเก้าชั้น
เมื่อทุกคนหันไปพบเงาประหลาด พวกเขาก็พลันสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึง
ด้วยเจ้าของเงาประหลาดนั่นคือกู้เฉียนเฉิง ผู้หายออกไปจากแคว้นเจียงนานถึง 300 ปี !
การปรากฏตัวของกู้เฉียงเฉิง ทำให้เกิดสัญญาณเตือนขึ้นที่สถานศึกษาฉางมู่แจ้งให้บรรดาผู้นำของ สถานศึกษารับรู้ ยกเว้นรองอาจารย์ใหญ่ผู้ที่เก็บตัวปฏิบัติกรรมฐานเพื่อฝึกปรือพลังขั้นสันโดษ สำหรับรอง อาจารย์ใหญ่อีกสองคนที่เหลือ รวมทั้งผู้เฒ่าที่มีอาวุโสสูงสุดล้วนเร่งรัดมารวมตัวที่ค่ายกลมารเก้าชั้นโดยพร้อมหน้า และต่างพากันแสดงคารวะต่อกู้เฉียงเฉิงในการกลับมา
กู้เฉียงเฉิงกวาดสายตาไปยังบรรดาคนที่มารายล้อม เขายิ้มน้อย ๆ “ดูเหมือนว่าข้าจะมาช้าไป… มีผู้เข้าทำลายค่ายกลมารเก้าชั้นได้สำเร็จ ? คงจะเป็นคนหนุ่ม เขาผู้นั้นต้องมีพลังกล้าแกร่งดั่งหินผา เพราะ ไม่เพียงลึกซึ้งในเคล็ดวิชาการต่อสู้ ทว่ายังเป็นยอดเซียนกระบี่ เขาต้องใช้พลังปราณในศิลปะการต่อสู้และวิชา เพลงกระบี่ คนเช่นนี้นับว่าหาได้ยาก ยากยิ่ง…ยากนัก !”
ได้ยินเช่นนั้น หลีซิ่วพลันตัวสั่นงันงก ส่วนชางจงก็ถึงกับหน้าซีดเผือดปราศจากสีเลือด !