หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 79 จัดการหรือไม่ ? (ต้น)
บทที่ 79 จัดการหรือไม่ ? (ต้น)
นี่คือความรัก ?
เยี่ยฉวนไม่รู้ว่าความรักเป็นเช่นไร เขาไม่เคยรักใครมาก่อน ชายหนุ่มรู้เพียงว่าตนเองมีความสุขในยามที่ได้ใกล้ชิดกับอันหลานซิ่ว
นอกเหนือจากนี้เขาไม่เข้าใจ !
ก่อนที่ในขณะนั้นเอง จู่ ๆ ก็พลันปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งขึ้น ชายหนุ่มที่เห็นดังนั้นจึงหยุดชะงัก
ชายชราผู้นั้นคือผู้เฒ่าหลิง คนติดตามของอันหลานซิ่ว
เยี่ยฉวนยืนจับตามองนิ่งเฉย
ชายชราผู้นั้นหรี่ตาลงพร้อมส่งเสียงแหบพร่าเอ่ยแนะนำตนเอง “ข้าหลิงซิ่ว เป็นพ่อบ้านของคุณหนู !”
“หมายถึงแม่นางอัน ?” ชายหนุ่มถามกลับ
พ่อบ้านหลิงพยักหน้า
เยี่ยฉวนถามสืบไป “ผู้อาวุโสมาหาข้าด้วยธุระอันใด ?”
คนแซ่หลิงตอบกลับอย่างใจเย็น “คุณชายเยี่ย สิ่งที่ข้าจะพูดกับท่านอาจทำให้ขุ่นเคืองใจ ได้แต่หวังว่า ท่านจะเข้าใจ”
ชายหนุ่มตอบรับ “เชิญท่านพูดมา”
ชายชราจึงเอ่ยปาก “แม้ว่าคุณหนูจะไปจากแคว้นเจียงก็ตาม แต่ท่านคงได้เห็นถึงแก่นแท้ของนางแล้ว ว่านางหาใช่คนธรรมดาสามัญ ถ้าจะให้พูดตามตรง คนในแคว้นเจียงที่นางพบเจอนั้นล้วนแต่ให้ความเคารพนับถือในตัวนาง แม้แต่ผู้มีอำนาจใหญ่โตก็ยังให้ความเคารพนับถือต่อนาง ท่านเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่ ?”
ชายหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ “ท่านต้องการให้ข้าอยู่ให้ห่างนาง ใช่หรือไม่ ?”
คนแซ่หลิงยอมรับ “ท่านมีบางอย่างพิเศษ ดังนั้นคุณหนูของข้าจึงให้ความสนใจ อย่างไรก็ตามหาใช่ เพียงความเป็นยอดคนอัจฉริยะของนาง ทว่าเบื้องหลังพลังอำนาจนั่นยังมีสิ่งที่ท่านคาดคิดไม่ถึงอีกมาก ถ้าจะ นึกถึงใจของนางอย่างแท้จริง ถ้างั้นข้าก็ขอให้ท่านหยุดไว้เพียงความนับถือที่มีต่อนาง คุณหนูไม่ควรต้องมามัวหมองกับเรื่องนี้เพราะท่าน !”
ชายหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบ
ชายชราจ้องหน้าเยี่ยฉวน ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “คุณชายเยี่ย คำพูดของคนแก่คร่ำครึ โปรดไตร่ตรองให้ ถ้วนถี่ !”
ทันใดช่องอากาศเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป มันดูบิดเบนอย่างประหลาด เพียงชั่วครู่คนแซ่หลิงก้าวเข้า ไปยืนกลางช่องว่างที่บิดเบน ก่อนที่ร่างเขาจะอันตรธานหายวับไป
ลัดสุญญากาศ !
มีแต่ผู้ที่พลังกล้าแกร่งจนบรรลุขั้นสันโดษจึงใช้พลังเช่นนี้ได้ !
พลังชี่ที่สูงกว่าขั้นหลอมรวมลมปราณคือทะยานสวรรค์ และพลังที่เหนือกว่าทะยานสวรรค์คือสันโดษ ดังนั้นชายชราผู้นี้จะต้องมีขั้นพลังสูงกว่าชายหนุ่ม ทว่าบุรุษที่มีขั้นพลังกล้าแกร่งขั้นสันโดษกลับมีฐานะเป็นพ่อบ้านเท่านั้น ! คนผู้นั้นจงใจแสดงพลังที่แท้จริงให้เขาได้ประจักษ์ต่อหน้าต่อตาเพื่อเป็นนัยบ่งชี้ !
หลังจากนิ่งงันไป เยี่ยฉวนจึงค่อย ๆ เดินกลับขึ้นบนเขา
“เจ้าอึดอัดใช่หรือไม่ ?” เสียงปริศนาดังขึ้นในหัวโดยทันตั้งตัว
ชายหนุ่มยอมรับตามตรง
เสียงของสตรีลึกลับดังออกมาว่า “จิตวิญญาณอัคนีในกายของน้องเจ้าจะสว่างอยู่ได้เพียงเดือนหนึ่ง หากยังไม่มีหนทางแก้ไข ชีวิตของนางจะตกอยู่ในอันตราย นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่อง สิ่งชั่วร้ายที่อยู่บนชั้นที่สอง กำลังจะฟื้นขึ้นมาในไม่ช้า ถ้ามันฟื้นขึ้นมาโดยที่เจ้ายังไม่สามารถค้นพบหนทางแห่งเต๋าของตัวเอง เจ้าจะต้อง ถูกฆ่าและน้องสาวของเจ้าจะพลอยตกที่นั่งลำบาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงรวบรวมสติด้วยการสูดหายใจลึกเข้าปอด “ข้าควรเร่งฝึกปรือ เพื่อพัฒนาขั้นพลังปราณให้กล้าแกร่ง !”
หลังจากนั้นชายหนุ่มเพียรฝึกฝนอย่างตั้งอกตั้งใจ
ขั้นพลังที่กล้าแกร่งหาใช้เพียงเพื่อตนเอง แต่เพื่อน้องสาวของเขาด้วย นี่คือเป้าหมายที่ชายหนุ่มต้อง การบรรลุในเร็ววัน
หากไร้ซึ่งทรัพย์สินเงินทอง จะกล้าเอ่ยเรื่องความรัก หรือความสุขสบายได้อย่างไร ?!
หลายคนหาทางเพื่อให้ได้เงินทองมากมาย ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่ความสุขโดยแท้จริง แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง !
เมื่อเยี่ยฉวนกลับมาที่หอประชุมของสถานศึกษาฉางหลาน พลันภาพที่ปรากฏก็ทำให้สีหน้าของชาย หนุ่มเปลี่ยนไปฉับพลัน
ภาพของเยี่ยหลิงนั่งร้องไห้อยู่กับพื้น โดยมีโม่อวิ๋นฉียืนค้ำอยู่ ใบหน้าของชายผู้นี้ยังคงบวมปูดและมี โลหิตไหลซึมออกมาทางจมูก ท่าทางที่กำลังกระทำบางสิ่งนั้นทำให้น้องสาวของเขาร้องไห้อย่างรุนแรงด้วย หวาดกลัว
เห็นดังนั้นเยี่ยฉวนจึงพลันถลันเข้าไปทันทีด้วยหน้าตาถมึงทึง “เจ้ากล้ารังแกน้องข้า !”
สิ้นคำพูด พลันในมือปรากฏกระบี่เล่มหนึ่ง !
ชั่วเสี้ยววินาทีต่อมา พลันผลักออกด้วยรังสีกระบี่ที่สว่างวาบพุ่งทะยานออกจากกายา รังสีกระบี่นั่น ตัดดงทึบของวัชพืชที่ปกคลุมขาดเป็นสองท่อนโดยฉับพลัน…
หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !
ทันทีที่โม่อวิ๋นฉีเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดของเยี่ยฉวน สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นฉงนงงงัน ทว่ายังมิ ทันได้เอ่ยสักคำ ชายหนุ่มผู้พี่ก็ได้ถลันเข้าถึงตัวพร้อมกระบี่ในมือ ราวจะรับรู้ถึงพลังแห่งกระบี่ ด้วยความกลัว แล่นเข้าจับขั้วหัวใจ โม่อวิ๋นฉีจึงไม่กล้าตอบโต้ในทันที ชายหนุ่มหันกลับกระโดดดีดตัวขึ้นไปอยู่บนกำแพงสูง อย่างรวดเร็ว
ทว่าเมื่อคนกระโจนขึ้นไปกำแพง กำแพงศิลานั่นกลับไม่สามารถต้านทานน้ำหนักได้ ดังนั้นจึงพังลง กลายเป็นเศษอิฐเศษดินกองอยู่กับพื้น
“เฮ้ย !”
โม่อวิ๋นฉีเห็นว่าผนังถล่มลงไปเสียแล้ว เขาหน้าถอดสีรีบตั้งท่าออกวิ่งหนี
เยี่ยฉวนไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ ทุกที่ที่เขาบุกตะลุยไล่ติดตามต่างมีสภาพยุ่งเหยิงวุ่นวาย
ภายในหอประชุม เยี่ยหลิงได้แต่จับจ้องภาพที่พี่ชายไล่ติดตามโม่อวิ๋นฉีจนลับสายตาไปทั้งสองคน เด็กน้อยนั่งตกตะลึงเป็นครู่ใหญ่ก่อนผุดลุกขึ้นออกวิ่งตามคนทั้งสอง แต่ทว่าไม่ทันแล้ว นางได้ยินเพียงเสียงเอะอะ โวยวายของโม่อวิ๋นฉีดังแว่วมา “พี่ใหญ่…ข้าหาได้รังแกน้องของท่านไม่ ช่วยใจเย็นลงก่อน…”
ยังมิทันพูดจบ เสียงเอะอะโวยวายกลับถูกกลบด้วยเสียงกระบี่ !
เยี่ยหลิงหยุดคิด “ถ้าท่านพี่ข้าถูกชายคนนั้นทำร้ายจะทำอย่างไรดี ?!”
เมื่อคิดดังนั้น นางจึงเร่งตามหาอาจารย์ใหญ่จี้ซึ่งนั่งหลับอยู่บนม้ากลางลานหญ้า ข้าง ๆ ชายแก่มีขวดน้ำเต้าบรรจุเหล้าหมักวางไม่ไกล
เด็กสาวกระโจนพรวดถึงตัว รีบเขย่าปลุกคนที่นอนหลับอย่างรวดเร็ว “ท่านตาจี้ ท่านพี่ของข้าต่อสู้กับ ชายคนนั้นใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ท่านช่วยไปดูพวกเขาหน่อยเถิด”
หากแต่อาจารย์จี้ไม่ขยับเขยื้อน เขาเมามายจนร่างกายอ่อนปวกเปียก
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เยี่ยหลิงจึงจำต้องวิ่งออกไปตามหาจี้อันซื่อที่สนามหญ้าด้านใน ทันทีที่พบอีกฝ่าย เยี่ยหลิงจึงรีบพูดด้วยท่าทางวิตกทุกข์ร้อน “พี่จี้ ท่านพี่ของข้ากำลังต่อสู้กับชายอีกคน รบกวนท่านช่วยไปห้าม พวกเขาได้หรือไม่เจ้าคะ ? ข้ากลัวว่าท่านพี่ข้าจะถูกเขาทำร้าย !”
จี้อันซื่อเดินมาหา “เจ้าทำกับข้าวเป็นหรือไม่ ?”
เยี่ยหลิงรีบพยักหน้ารับ
หญิงสาวกลับตอบว่า “ดี ข้าหิวแล้ว”
เยี่ยหลิง “…”