หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 84 ท่านพี่ จัดการ ! (ปลาย)
บทที่ 84 ท่านพี่ จัดการ ! (ปลาย)
ชายสองคนกระโดดขึ้นไปบนรถม้าบรรทุกคันหนึ่ง ส่วนเยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงขึ้นไปบนอีกคันหนึ่ง จาก นั้นทุกคนจึงเริ่มออกเดินทาง
ผู้ที่ยืนมองอยู่เบื้องหลัง ชายชรายกถุงเงินในมือขึ้นดูพลางส่ายหน้าน้อย ๆ
ตลอดเส้นทาง พวกเยี่ยฉวนต่างตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนนเพราะของที่บรรทุกมี จำนวนมากมายเหลือล้น !
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อชายหนุ่มไม่มีทางเลือก สถานศึกษาฉางหลานอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไกลพอสมควร ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินลงเขาเพื่อเข้ามาหาซื้อของกินของใช้บ่อย ๆ ด้วยมันใช้เวลามากเกินไป
ฉับพลันมีเสียงเอะอะมาจากคนที่เดินอยู่ริมทาง “นั่นไงเยี่ยฉวน !”
เยี่ยฉวน !
เสียงเอะอะ ยิ่งทำให้คนอื่นหันมองพวกเขาเป็นตาเดียว !
ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ รู้สึกแปลกใจอยู่ครามครัน “ข้ากลายเป็นคนดังไปแล้วหรือนี่ ?”
“เยี่ยฉวนจริงด้วย !”
พลันเสียงพูดของใครบางคนโพล่งดังมาว่า “เศษสวะที่สถานศึกษาฉางมู่เขี่ยทิ้งน่ะสิ… ฮ่าฮ่า ฉางหลานไม่คิดรักษาเกียรติของสถานศึกษา ยอมรับเศษสวะของฉางมู่เป็นศิษย์ ไม่น่าแปลกที่สถานศึกษาฉางมู่มีการ กลั่นกรองที่เข้มงวด !”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่วให้ความสนใจเขา…”
“ถึงจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อัน บางครั้งก็ทำผิดพลาดได้ ! ดูเขาเสียก่อน พลังปราณเพียงขั้นผสมลมปราณ ยังไม่ถึงขั้นหลอมรวมลมปราณด้วยซ้ำ… คุณสมบัติไม่เหมาะสมแม้กระทั่งเป็นคนทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ใน สถานศึกษาฉางมู่ด้วยซ้ำไป !”
“…”
ในเวลานั้นทุกคนต่างพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีอารมณ์ร่วมเต็มที่ โดยปราศจากการคำนึงถึงหลักศีลธรรมจรรยาแต่อย่างใด
โดยส่วนตัวชายหนุ่มไม่ใส่กับคนพวกนั้น เขาเข้าใจในสังคมมนุษย์ที่มักมีคนชอบเหยียบย่ำผู้อื่นเพื่อ แสดงว่าตนนั้นเหนือกว่า
“เลิกว่าท่านพี่ของข้าเสียที !”
กลายเป็นเยี่ยหลิงน้องสาว นางเขม่นมองผู้คนที่อยู่รายรอบ “ท่านพี่ของข้าไม่เคยมีเรื่องขุ่นเคืองใจกับ พวกเจ้า ไฉนจึงกล้ามาว่าเขาเช่นนี้ ?”
พลันบุรุษรุ่นหนุ่มผู้ยืนอยู่ด้านหน้า ก็ได้วาจาเยาะเย้ยดังออกมาจากปาก “ข้าอยากจะพูด พี่ชายเจ้าก็ แค่เศษเดนที่สถานศึกษาฉางมู่โยนทิ้ง นี่ไงข้าพูดแล้ว จะว่าอย่างไร ? …ฮ่าฮ่า”
เยี่ยหลิงหน้าตาแดงก่ำด้วยความโกรธ ชี้มือไปยังผู้พูดอย่างเดือดดาล “ท่านพี่ จัดการมันเลย !”
สิ้นเสียงน้องสาว พี่ชายพลันกระโจนราวกับเหินลงจากรถม้าบรรทุกของ ชั่วพริบตาร่างของเจ้าหนุ่ม ปากดีพลันปลิวหวือ ราวกับถูกจับโยนไปไกลนับหลายจั้ง ร่างของคนผู้นั้นกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรงและ หล่นลงไปกองที่พื้น
ชายคนนั้นนอนแผ่หลา ได้แต่ส่งเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด มุมปากมีคราบโลหิต ภายในซี่โครงหัก เกือบทุกซี่ !
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์พากันตกตะลึง
“เยี่ยฉวนลงมือทำร้ายคน ?!”
ในอีกมุมหนึ่ง โม่อวิ๋นฉีซึ่งมองเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ได้แต่ส่ายหน้าอย่างสลดใจ ณ บัดนี้เขาเข้าใจ แล้วว่าผู้ใดอาจทำให้เยี่ยฉวนขัดเคืองใจได้ แต่อย่าทำให้ผู้เป็นน้องสาวไม่พอใจ หาไม่แล้วหายนะอาจมาเยือน !
“เขาทำร้ายคนกลางถนนจริงด้วย ราวกับคนบ้า เป็นพวกอารมณ์รุนแรง !”
“ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ?”
“…”
คนอื่น ๆ พากันต่อว่าต่อขานชี้มือไม้มาที่เยี่ยฉวน แต่หาได้กล้าเข้าขัดขวาง
เยี่ยฉวนกวาดตามองคนที่ยืนมุงดู พร้อมตวาดลั่น “หุบปากเดี๋ยวนี้ !”
คนที่มุงดูเงียบกริบในบัดดล
สายตาของเขากวาดไล่ไปทีละใบหน้าทีละคน “เลิกพูดเพ้อเจ้อไร้สาระ ผู้ใดที่ชิงชังข้านัก ออกมาสู้กัน สักตั้ง ! เชิญเลย !”
“ข้าเอง !”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งถลันออกมาจากกลุ่มคนที่กำลังยืนออกันอยู่ มันวิ่งออกพรวดพราดตรงเข้าหาชายหนุ่มทันที ทว่าฉับพลันคนผู้นั้นก็ปะทะกับหมัดที่พุ่งออกของเยี่ยฉวนอย่างจัง ซึ่งดูเหมือนว่าเพียงหมัดเดียวก็เพียง พอแล้วที่จะทำให้เด็กหนุ่มหงายตึงล้มลงและไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาอีก
เยี่ยฉวนกวาดตามอง “มีอีกหรือไม่ ?”
ฝูงคนที่ล้อมรอบต่างหุบปากเงียบ
คนส่วนใหญ่ชอบหาโอกาสรังแกผู้ที่อ่อนแอ และยอมจำนนให้กับผู้ที่กร้าวแกร่ง
“หึหึ ! พวกหมาขี้เรื้อนจากสถานศึกษาฉางหลาน กล้ามาทำท่ายโสโอหังในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไรกัน ?”
พลันผู้เป็นที่มาของเสียงซึ่งดังมาจากด้านหนึ่งก็ได้เผยตัว พวกเขาคือบุรุษสามคนที่สวมชุดดำขาว ก้าวเดินออกมาจากที่ไกลออกไป
“ศิษย์ของสถานศึกษาฉางมู่ !”
เสียงใครคนหนึ่งอุทาน
ทันใดนั้นอารมณ์แห่งฝูงชนก็พลันกลับมาระอุขึ้นอีกครา
ผู้คนที่เริ่มสงบกลับมีเสียงกระหึ่มอีกครั้ง ราวกับว่าการปรากฏตัวของศิษย์แห่งฉางมู่จะทำให้คนพวกนี้กล้าหาญฮึกเหิมขึ้น
เมื่อเห็นว่าเป็นศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ โม่อวิ๋นฉีพลันย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ส่วนไป๋เจ๋อก็สีหน้าเครียด เย็นชา ทั้งสองคนกระโดดลงจากรถม้าบรรทุกมายืนข้างเยี่ยฉวน
สถานศึกษาฉางมู่และสถานศึกษาฉางหลาน ทั้งสองสถานศึกษากล่าวได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต ความ เป็นศัตรูกันของทั้งคู่เปรียบเสมือนเป็นไปโดยกำเนิด ! นับตั้งแต่อดีต ยามใดที่ศิษย์ของทั้งสองแห่งบังเอิญโคจรมาพบกัน ย่อมไม่ใช่เรื่องดี !
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สถานศึกษาฉางหลานเริ่มเสื่อมถอยลง ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วศิษย์แห่งฉางหลานจะเป็นฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับศิษย์แห่งฉางมู่ !
ศิษย์ฉางมู่ทั้งสามเดินอาด ๆ ดาหน้าเข้าหาเยี่ยฉวน คนท่าทางเป็นหัวหน้าเหลือบตาสำรวจตั้งแต่หัว จรดเท้า ก่อนทำหน้าล้อเลียนพูดเยาะเย้ย “เจ้านี่เอง เศษเดนของสถานศึกษาฉางมู่ จริงหรือที่เจ้ามีขั้นพลังผสมลมปราณ ? หึหึ สถานศึกษาฉางหลานนับวันมีแต่จะถอยหลังเข้าคลอง ! เวลานี้ศิษย์ต่ำต้อยเช่นเจ้าสามารถ…”
วินาทีนั้น เยี่ยฉวนดีดตัวขึ้นสูง ก่อนพุ่งออกฝ่าเท้าทั้งคู่กระทืบลงยอดอกของชายคนพูดเข้าเต็มแรง
เปรี้ยง !
ท่ามกลางสายตาของผู้ชม ร่างของชายผู้นั้นกระเด็นหงายหลังม้วนสองตลบ โลหิตจำนวนหนึ่งพุ่งกระฉูดจากปากกระจายเป็นฟองฝอย
ทุกคนในที่นั้นตะลึงตาค้าง !
โม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อทั้งสองต่างตกตะลึงไม่แพ้กัน ด้วยไม่คาดคิดว่าเยี่ยฉวนจะลงมือ !
เวลานี้สรรพเสียงรอบโดยหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงความเงียบครอบงำทั่วบริเวณ !
ชั่วขณะที่เยี่ยฉวนใช้กำลังถีบส่งร่างเจ้าคนพูดด้วยพลังเตะหนึ่งครั้ง ขาทั้งสองยังม้วนกวาดปาดซ้าย ป่ายขวาเคลื่อนไหวไวว่อง ส่งออกลูกถีบศิษย์ฉางมู่อีกสองกระเด็นไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
ชายหนุ่มไม่หยุดเท่านั้น เขาวิ่งตรงเข้าหาร่างของทั้งสามและกระชากเอาถุงใส่เบี้ยที่เหน็บไว้ที่เอวของ พวกมัน พลันหันหลังกลับวิ่งย้อนมาทางโม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อ “วิ่ง !”
“วิ่ง ?”
ทั้งคู่โม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อ กำลังตั้งท่าพร้อมต่อสู้พลันชะงักงัน ทั้งคิดไปว่าคงได้ยินมาผิดแน่ !
เยี่ยฉวนนั้นวิ่งมาถึงคว้าตัวเยี่ยหลิงได้ พากระโดดขึ้นรถม้าบรรทุกห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
ทำร้ายผู้คน ขโมยของ และหลบหนี…
ชาวเมือง “…”