หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 9 กายาซ่อนเร้น (ต้น)
บทที่ 9 กายาซ่อนเร้น (ต้น)
บรรยากาศรอบข้างสงบเงียบจนได้ยินเสียงเข็มหล่น
“ท้าสู้ !”
“เยี่ยฉวนขอท้าสู้กับผู้เฒ่าตระกูลเยี่ย !”
ทุกคนในตระกูลเยี่ยต่างตกใจจนพูดไม่ออก
ในจวนตระกูลเยี่ยนั้น บุคคลที่ทรงอำนาจมากที่สุดคือท่านผู้นำตระกูลผู้รักสันโดษ ซึ่งตอนนี้ท่านก็ได้แยกตัวปลีกวิเวกไป ต่อมาผู้ที่มีอำนาจรองลงมาก็คือเยี่ยชิง หนึ่งในบรรดาผู้อาวุโสที่คอยปกปักรักษาตระกูลเยี่ยมาแต่ช้านาน ทว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในจวนตระกูลเยี่ย และสุดท้ายนี้ ลำดับที่สามก็คือผู้เฒ่าตระกูลเยี่ย !
มาบัดนี้ เยี่ยฉวนกล้าหาญชาญชัยถึงขั้นขอท้าสู้กับผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยแบบตัวต่อตัว !
“ดูท่าเขาจะมั่นใจมากเกินไปกระมัง ?”
บางคนก็คิดเช่นนั้น ในขณะที่บางส่วนคิดว่าเยี่ยฉวนมีความสามารถในการต่อสู้มากพอที่จะเทียบชั้นกับผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยได้
ครั้งหนึ่ง จวนตระกูลเยี่ยเคยสนับสนุนการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ให้กับเยี่ยฉวน ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยนั้นสุขสบายอยู่ในตำแหน่งสูงและไม่ได้พบกับความยากลำบากมาตลอดหลายปี ในขณะที่เยี่ยฉวนใช้ชีวิตเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างน่าหวาดเสียวเกือบทุกวัน เขามีความแข็งแกร่ง กล้าหาญ และเที่ยงธรรมในขณะที่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยไม่มีสิ่งเหล่านี้
ในสายตาของคนตระกูลเยี่ย แม้ว่าเยี่ยฉวนจะสำเร็จอยู่ในขั้นที่ห้าเสาะแสวงหา แต่หากเขาต่อสู้ด้วยแบบยอมแลกชีวิตแล้วละก็ คงมีโอกาสอยู่บ้างที่จะได้รับชัยชนะ !
ตรงหน้าเยี่ยฉวน ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังคงมองแบบไม่เชื่อสายตาว่าเยี่ยฉวนจะกล้าท้าทายเขาจริง ๆ!
“ท่านตกลงหรือไม่เล่า ?”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยกำลังครุ่นคิด ถ้าหากเขาไม่ตกลงและเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป เขาจะต้องเสียหน้าเป็นอย่างมาก ! ไม่เพียงเท่านั้นศักดิ์ศรีในฐานะคนตระกูลเยี่ยก็คงลดลงไปจนแทบไม่มีเหลือ ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจไม่เหลือผู้ติดตามที่เชื่อฟังคำสั่งอีกแล้วก็เป็นได้
“ตกลงอย่างนั้นสินะ ?”
เมื่อคิดถึงความสามารถในการต่อสู้ของเยี่ยฉวน เขาก็ดูจะลังเลเล็กน้อย แม้ว่าระดับลมปราณของชายชราจะอยู่ในลำดับที่สูงกว่าเยี่ยฉวน แต่เขาเองก็ห่างหายจากการออกทัพปราบศัตรูมาแล้วนานนับปี ในบางโอกาส เขาเพียงแต่ใช้วิธีประนีประนอมกับคนในตระกูลเยี่ยด้วยกัน เพื่อหยุดไม่ให้เรื่องบาดหมางต้องลุกลามบานปลาย
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาสามารถเอาชนะเยี่ยฉวนได้ คนอื่น ๆ ก็ยังสามารถเอาไปนินทาเขาได้ว่าทำตัวเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก แต่หากเขาเป็นฝ่ายแพ้ เขาก็จะต้องเสียหน้าอย่างมาก ถึงตอนนั้นแล้ว แม้แต่ตำแหน่งผู้อาวุโสก็ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ !
ใบหน้าของผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยพลันเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ !
เดิมที มันควรเป็นแค่การเคลื่อนไหวที่สิ้นหวังของเยี่ยฉวน แต่ ณ ขณะนี้ เยี่ยฉวนกลับบีบบังคับให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังแทน !
เมื่อมาถึงจุดนี้ ก็พลันมีเสียงจากข้างนอกดังขึ้น “ไม่ใช่ว่าในหนึ่งเดือนข้างหน้า เจ้ากับข้า เรามีนัดด้วยกันหรอกหรือ ?”
ทุกคนมองไปทางต้นเสียงที่ใกล้เข้ามานั้น และพบว่าเป็นเยี่ยหลางที่กำลังเดินตรงมาอย่างสง่างาม !
เยี่ยหลางที่เป็นผู้สืบทอดสายตรงคนปัจจุบันของตระกูลเยี่ย !
ในขณะที่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ฉับพลันสองตาของเขาก็พลันเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เยี่ยหลาง นี่เจ้าสำเร็จวิชาขั้นที่หกผสานลมปราณแล้วหรอกหรือ ?”
“ขั้นที่หกผสานลมปราณ !”
ทุกคนในที่นั้นล้วนตกใจไม่ต่างกัน
เยี่ยหลางพยักหน้าเล็กน้อย “มันยังไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก ข้าต้องใช้เวลาสิบกว่าวันถึงจะสำเร็จขั้นนี้ได้ นี่ถือว่ายังช้าเกินไป”
เมื่อทุกคนได้ยินเยี่ยหลางกล่าวเช่นนั้น ต่างก็ระงับความตกใจไว้ไม่ไหว
“นี่น่ะหรือช้าเกินไป ?”
เป็นที่รู้กันดีว่าก่อนที่เยี่ยหลางจะตื่นขึ้น เขาเพิ่งจะสำเร็จวิชาอยู่ในขั้นที่สี่ผสานหยินหยางเพียงเท่านั้น แต่ภายในระยะเวลากว่าสิบวัน เยี่ยหลางกลับสามารถบรรลุได้ถึงขั้นที่หกคือผสานลมปราณ ! หากพูดถึงความเร็วของทักษะในการเรียนรู้ นี่ก็เรียกได้ว่าเร็วที่สุดเกินกว่าที่ในประวัติศาสตร์ของตระกูลเยี่ยจะมีบันทึกไว้ !
สิ้นคำพูดของเยี่ยหลาง ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะ “เช่นนั้นสวรรค์ก็ทรงอวยพรตระกูลเยี่ยแล้ว…”
ภายในจวน เยี่ยหลาง และทุกคนกำลังปลาบปลื้มใจกับผลสัมฤทธิ์ที่ได้ ด้วยเพียงเท่านี้ก็ถือว่าตระกูลเยี่ยก้าวนำตระกูลอื่น ๆ ไปไกลมากแล้ว !
เยี่ยหลางลากสายตาไปที่เยี่ยฉวนก่อนจะพูดขึ้น “เจ้ามีคุณสมบัติอะไรจะมาท้าทายท่านผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยงั้นหรือ ? อย่างน้อย ๆ ก็เอาชนะข้าให้ได้ก่อนเสียสิ แล้วเจ้าจึงค่อยมาท้าสู้กับผู้เฒ่าผู้ยิ่งใหญ่ได้ นัดหมายท้าประลองเป็นตายของเรายังเหลือเวลาตั้งยี่สิบกว่าวันจริงหรือไม่ ?”
เยี่ยฉวนมองเยี่ยหลาง ค่อย ๆ คลี่ยิ้มก่อนตอบ “จริงของเจ้า ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท”
ดังนั้นเยี่ยฉวนจึงค่อยหันกลับมามองทางผู้เฒ่าตระกูลเยี่ย “ท่านผู้เฒ่า ข้าเผลอตัวทำให้ท่านขุ่นเคืองไปเสียแล้ว หลังจากเอาชนะหลานชายของท่านได้ ข้าค่อยมาคิดบัญชีกับท่านเป็นรายถัดไปก็นับว่ายังไม่สาย แต่ตอนนี้ข้าต้องไปแล้ว !”
หลังจากนั้นเขาหันกลับมาทางเยี่ยหลิง
“ช้าก่อน !”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังรู้สึกโกรธเคือง “เจ้าได้ลงมือสังหารหนึ่งในเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลลงไป…”
เยี่ยฉวนหันขวับพูดสวนไปในทันที “จู่ ๆ จะมากล่าวหาข้าได้อย่างไรกันท่านผู้เฒ่า ? หลานชายของท่านมีนัดท้าประลองชี้เป็นชี้ตายกับข้าอยู่ ไม่รู้ว่าพวกท่านนึกกลัวข้าขึ้นมาจนตัวสั่นหรืออย่างไรจึงได้ส่งตาเฒ่าเยี่ยกูเข้ามาสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ หรือทั้งหมดนี่เป็นเหตุผลบังหน้าที่ต้องการจะฆ่าข้ากันแน่ ? หากเป็นเช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องกังวลไป ต่อให้พวกท่านสองคนรุมเข้ามาพร้อมกัน อย่างไรเสียชัยชนะก็ตกเป็นของข้าคนนี้อยู่ดี !”
“เจ้า !” ใบหน้าของผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยกลายเป็นสีเขียวคล้ำ
เยี่ยหลางมองที่เยี่ยฉวนอย่างเยือกเย็น “เจ้าไปได้แล้ว อีกยี่สิบวันให้หลัง ข้าจะตั้งตารอเจ้าอยู่ที่ลานประลองตัดสิน”
เยี่ยฉวนยักไหล่ “ขณะที่ท่านมัวแต่สับสน ดูเหมือนว่าหลานชายจะยังมีเหตุผลมากกว่าท่านเสียอีกนะ ท่านผู้เฒ่า !”
เมื่อทิ้งท้ายเสร็จ เยี่ยฉวนก็จึงเดินจากไปพร้อมกับเยี่ยหลิง
ใบหน้าของผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยเปลี่ยนเป็นสีม่วงด้วยความโกรธจัด เขาฉุกคิดแผนการบางอย่างขึ้นได้ในทันที จึงหันมองไปที่หลี่มู่และคนอื่น ๆ “ดูเอาเถอะ ข้าชุบเลี้ยงพวกเจ้ามาเป็นอย่างดี แต่พวกเจ้ามันช่างอกตัญญูนัก ทนดูผู้เฒ่ากู่ถูกเจ้าคนชั่วทุบตีทำร้ายโดยไม่มีแม้แต่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ใครก็ได้มาที่นี่เดี๋ยวนี้เลย ลากพวกมันออกไปให้หมดแล้วโบยไม่ยั้งจนกว่าจะตาย !”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลี่มู่และพรรคพวกก็หน้าซีด
ขณะนั้นเยี่ยฉวนซึ่งยังไปได้ไม่ไกลนัก เขาชะงักฝีเท้าลงทันทีและหันกลับมามองที่ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ย “ท่านผู้เฒ่า ขอให้ข้าได้เตือนท่านไว้สักอย่าง หลี่มู่และพวกพ้องนั้นเป็นผู้คุ้มกันของประมุขตระกูล แม้ว่าท่านจะเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งตระกูลเยี่ย แต่ท่านผู้นำก็ยังมิได้สิ้นชีพ ท่านคงรู้ดีว่าหากลงมือกับคนเหล่านี้แล้วจะต้องเจอกับอะไร…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เยี่ยฉวนก็พลันแสร้งทำเป็นตกใจใหญ่ “อ้อ หรือว่าเป็นไปได้ไหมที่ท่านผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะมีข้อตกลงกับท่านผู้นำตระกูลอยู่แล้ว… นี่ท่าน…”
“เจ้ากล้าดียังไง !”
ผู้เฒ่าตระกูเยี่ยคำราม “เยี่ยฉวน หากเจ้ายังกล้าเปิดปากพูดอีกแม้แต่คำเดียว ต่อให้ต้องตายวันนี้ข้าก็จะฆ่าเจ้า !”
เยี่ยฉวนคลี่ยิ้มก่อนจะพูด “ใจเย็นลงก่อนเถิดท่านผู้เฒ่า ข้าเพียงแต่บังอาจเตือนท่านก็เท่านั้น ขอท่านอย่าได้โมโหไปมันจะไม่ดีต่อร่างกาย ข้าล่ะรู้สึกดีใจ อ้อ หมายถึงเสียใจด้วยจริง ๆ”
หลังจากนั้น เขาและเยี่ยหลิงก็ได้เดินจากไป
หลี่มู่และพรรคพวกต่างมองตามหลังเยี่ยฉวนด้วยความขอบคุณอย่างซึ้งใจ หากไม่ใช่เพราะคำพูดเหล่านั้นของเยี่ยฉวนแล้ว ชีวิตของพวกเขาเกรงว่าคงจะต้องจบสิ้นลงวันนี้แล้ว
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังคงโกรธจนตัวสั่นเสียจนทำให้รอบ ๆ ตัวไม่มีใครกล้าหลุดปากออกมาแม้แต่คำเดียว
เมื่อนึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็พลันหันมามองเยี่ยหลาง “ที่จริงเจ้าจะปลิดชีพมันเสียตั้งแต่วันนี้ก็ย่อมได้ ? เหตุใดจึงรอเวลาอีก ?”
เยี่ยหลางมองผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยอย่างเย็นชา “เพราะข้าต้องการที่จะสำเร็จขั้นหลอมรวมลมปราณก่อนน่ะสิ !”
เมื่อได้ยินดังนั้นผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็พลันตะลึงงันไป ต่อมาจึงได้รีบถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น “นี่เจ้าพูดจริง ?”
เยี่ยหลางพยักหน้าเล็กน้อย “ความสำเร็จกำลังใกล้เข้ามา มิเช่นนั้นแล้วข้าจะชิงฆ่ามันเสียตั้งแต่วันนี้เลย ทว่านี่ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะต่อสู้ เพื่อให้แน่ใจ ข้าจะไม่ให้สิ่งใดมากระทบกับการทะลวงเลื่อนขั้นเป็นอันขาด นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ !”