หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ - บทที่ 91 ประลองชี้เป็นชี้ตาย ! (ต้น)
บทที่ 91 ประลองชี้เป็นชี้ตาย ! (ต้น)
ถล่มภูเขาด้วยพลังหมัด ?
ชายหนุ่มไม่เคยมีความคิดดังกล่าวอยู่ในหัวแม้แต่น้อย แต่เขาจำต้องทำ !
เพื่อที่ตนเองและน้องจะได้อยู่ที่นี่
เหตุผลแรกก็เป็นเพราะอาจารย์ใหญ่จี้ช่วยชีวิตเยี่ยหลิง ส่วนเหตุผลที่สอง หากพวกเขาสองคนพี่น้อง ต้องออกไปจากที่นี่ คงมีแต่จะได้พบจุดจบอันน่าอนาถหากปราศจากซึ่งความช่วยเหลือจากอาจารย์ใหญ่จี้ !
ดังนั้นแล้วพวกเขาพี่น้องจะต้องอยู่ที่นี่ !
เพื่อน้องของเขาแล้ว อย่าว่าแต่ใช้หมัดชกถล่มเขาลูกหนึ่ง หากจำเป็นต่อให้อีกสิบกี่ขุนเขาข้าก็จะทำ !
สายตาคู่หนึ่งจับตามองชายหนุ่มตั้งหน้าชกภูเขา ผู้นั้นคือจี้อันซื่อ นางเอ่ยกับชายชราข้าง ๆ ว่า “ท่านไม่ควรเร่งรัดเขาขนาดนี้ !”
ชายชราแซ่จี้ตอบมาว่า “ไม่เร่งรัดตอนนี้ เท่ากับปล่อยพวกเขาไปตาย !”
จี้อันซื่อพูดขึ้นอีก “งั้นท่านก็ไม่ควรให้พวกเขามา !”
เฒ่าจี้หันมามองคู่สนทนา “ใช่ การที่พวกเขามาที่นี่เท่ากับเลือกที่จะต่อสู้กับสถานศึกษาฉางมู่ แต่พวก เขามีทางเลือกอื่นหรือ ? ยิ่งกว่านั้น ถ้าไม่พบกับข้า พวกเขาแต่ละคนคงจะมีชีวิตที่ยากลำบากแสนสาหัสนัก”
หญิงสาวไร้คำพูดจะโต้แย้ง
ชายชราหันกลับไปมองทางเยี่ยฉวน “ไม่ว่าพวกเขาจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลกลใด เวลานี้พวกเขาถือเป็น ศิษย์แห่งฉางหลานแล้ว รวมทั้งมีความรู้สึกนึกคิดเยี่ยงศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางหลาน ดังนั้นพวกเขาจึงเป็น ความรับผิดชอบของข้าตลอดไป”
จบประโยค ชายชราก็หันหลังเดินออกไปทันที ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าว ด้วยความเมามายจึงล้มลงหมดสติอยู่ข้างทางนั่นเอง
หญิงสาวเห็นดังนั้นกลับไม่คิดเข้าช่วยเหลือด้วยเป็นภาพที่คุ้นเคย นางเพียงกลับหันไปมองคนที่ถูกพูดถึง ที่แห่งนั้น เยี่ยฉวนยังกระหน่ำหมัดใส่ภูเขาอย่างไม่คิดยั้งมือ ทว่าภูเขานั้นหาได้พังทลายลงแม้สักกะผีเดียว !
กลับกลายเป็นว่าสองมือสองหมัดล้วนเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ โลหิตไหลซึมเกรอะกรัง
หญิงสาวยืนดูอยู่เพียงครู่ จึงหันกลับไป
ในตอนนี้เขาเป็นศิษย์ฉางหลานเต็มตัวดั่งที่อาจารย์จี้พูดไว้ ถ้าความแข็งแกร่งของเขาไม่กล้าแกร่งพอ สักวันหนึ่งเขาย่อมกลายเป็นซากร่างใหม่บนภูเขานั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่
ท่ามกลางความมืด เยี่ยฉวนกระแทกหมัดทั้งสองข้างตรงเข้าสันเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาตั้งคำถามใน ความคิด “ผู้อาวุโส วิธีนี้จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ?”
ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบจากสตรีลึกลับ
เมื่อชายหนุ่มถามซ้ำ ทว่ายังมีแต่ความเงียบเช่นเดิม เขาจึงต้องหันกลับไปชกถล่มภูเขาลูกเดิม
ถามว่าเจ็บหรือไม่ ?
แน่นอน เจ็บที่สุด !!
ชายหนุ่มบรรลุกายาทองคำ จึงทำให้สมรรถนะทางร่างกายกล้าแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปก็จริง แต่ใช่ว่านั่นจะทำให้เขาบรรลุผลกายาคงกระพันไม่เจ็บ ไม่ปวดเสียเมื่อไหร่ เขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอาจารย์จี้เลยแม้แต่น้อย แต่ถึงแม้ว่าในเวลานี้เขายังไม่เข้าใจว่าทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใด แต่ในไม่ช้าเขาต้องเข้าใจแน่ถ้ายังคงทำต่อไป !
ช่วงเวลาแห่งการฝึกปรือผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ถึงเวลาฟ้าสาง ดังนั้นเยี่ยฉวนจึงหยุดพักฉับพลันนั้นอาจารย์จี้ได้ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า ผู้เฒ่าโยนห่อสมุนไพรส่งให้ “บดให้แหลกแล้วโปะแผลที่มือและแขน !”
พูดจบก็หันหลังผละไปทันที
เยี่ยฉวนเปิดถุงสมุนไปและใช้กำปั้นทุบจนแหลก เมื่อเทผงยาใส่ลงบนแผล ทันทีที่ตัวยาสัมผัสกับแผล แตกยับบนมือ ชายหนุ่มก็ถึงกับกระโดดเหยงด้วยความแสบ !
แสบ !
ความแสบร้อนของจากสมุนไพรราวกับเหล็กที่ถูกเผาจนแดงกดลงบนเนื้อหนัง ทั้งร้อนทั้งแสบสุดที่จะ ประมาณได้ !
ทว่าเคราะห์ดี ที่ชายหนุ่มเอาชนะความเจ็บได้ !
เพราะบาดแผลแตกยับนั้น เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว !
อันที่จริงความเจ็บปวดทางกายหาใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือความเจ็บปวดในใจ ยังไงเสียการฝึก เพื่อให้ได้มาซึ่งกายาทองคำก็ยังคงเป็นความเจ็บปวดอย่างแท้จริงที่ยากจะลืมเลือน !
ในขณะนั้น เยี่ยฉวนก้มลงมองมือทั้งสองข้างที่ตอนนี้ราวกับแผ่นเหล็กที่โดนเผาไฟจนแดงฉาน ก่อนที่ ชายหนุ่มจะเดินย้อนกลับไปที่เนินเขาอีกครั้ง
ผัวะ ! ผัวะ ! ผัวะ !
ลานกว้างเชิงเขามีเสียงระเบิดอันเกิดจากพลังปะทะดังอยู่ต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เสียงยังคงดังเช่นนั้น จวบจนเที่ยงวัน
ถึงเวลาต้องทำอาหารกลางวัน
เยี่ยฉวนเดินไปที่น้ำตกอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ขณะกำลังจะกลับพลันสายตาเหลือบไปเห็นร่างคนที่ อยู่ก้นน้ำตกกำลังผุดขึ้นสู่ผิวน้ำ
เขาคือไป๋เจ๋อ !
ตอนนี้เห็นได้ชัดสภาพร่างกายท่อนบนของเขาผิวหนังเปิดออกทั้งหมด… ถลกผิวหนังชั้นนอก …เป็น ภาพที่น่าสยดสยองยิ่ง !
ไป๋เจ๋อตะกายขึ้นบนก้อนหิน และหันมาเหวี่ยงถุงบรรจุสมุนไพรส่งให้เยี่ยฉวน “ช่วย ช่วยข้าที !”
เยี่ยฉวนคว้าถุงยาแล้วเดินตรงมาหาคนที่โขดหิน เขาทุบยาสมุนไพรจากนั้นจึงใส่ยางบนแผลที่ร่างของ ไป๋เจ๋อ…
คนร่างใหญ่อ้าปากค้าง ทำท่าราวกับจะแหกปากร้องออกมา ทว่าหักห้ามใจไว้ได้ ! ถึงกระนั้นทั้งร่างก็ ยังสั่นเทิ้มเมื่อต้องข่มความเจ็บปวดไว้
ชายหนุ่มมองรอยแผลอันน่ากลัวของไป๋เจ๋อค่อยสมานอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยกับคนเจ็บว่า “ยาสมุนไพรนี่ได้ผลเร็วมาก !”
ไป๋เจ๋อสูดหายใจลึกก่อนพูดว่า “ถูกต้อง นี่คือสุดยอดแห่งสมุนไพรโอสถเทพ เพียงเสี้ยวเดียวก็มีราคาสูงถึงห้าสิบเหรียญทองคำแล้ว !”
เยี่ยฉวนชะงักมือทันที ก้มมองยาสมุนไพรในมือก่อนหันมาถามคนเจ็บ “เจ้าพูดจริงหรือ ?”
ไป๋เจ๋อพยักหน้ารับคำหนักแน่น “จริงสิ !”
เยี่ยฉวนทำท่าลังเลเล็กน้อย และพูดว่า “หรือว่า พวกเราหยุดทาแผลให้เจ้าก่อน แล้วเอายาสมุนไพรไปขายจะดีหรือไม่ ?”
“พี่ชาย… อย่าล้อเล่น…”
“แบ่งครึ่งต่อครึ่ง ?”
“เร่งมือเข้าเถิด รีบทายา…”
“แบ่งเจ็ดส่วนต่อสามส่วน ?”
“ข้าว่า… เห็นทีฆ่าเจ้าเลยดีกว่า ?”
“…”
ครึ่งชั่วยามถัดมา เยี่ยฉวนและไป๋เจ๋อเดินเข้ามาในหอประชุมฉางหลาน ซึ่งที่หน้าประตูทางเข้านั้นเอง มันก็ได้ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งนอนขดตัวงออยู่บนพื้น
คือโม่อวิ๋นฉี !
ท่าที่เขาขดตัวงอ เข่ากดแนบชิดกับหน้าอกบ่งบอกว่ากำลังทรมานจากอาการไข้จับสั่น เหตุเพราะเขา ต้องวิ่งหนีเจ้าสุนัขป่าปีศาจซึ่งไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ จนขาทั้งสองแทบหักจากการวิ่งไม่หยุดตลอดทั้งคืน
ชายหนุ่มจับตาดูอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเดินกลับเข้าไปด้านใน
สักพักใหญ่ ทุกคนจึงพร้อมหน้ากันเข้านั่งประจำที่โต๊ะอาหาร ทว่าวันนี้บรรยากาศกลับแปลกไปไม่ เหมือนทุกวัน
เยี่ยหลิงตักข้าวแจกให้แก่ทุกคนเช่นเคย เมื่อได้ชามข้าว โม่อวิ๋นฉีจึงลงมือกินอาหารบนโต๊ะอย่างตะกละตะกลาม ผ่านไปเสี้ยววินาทีแห่งการลังเล ไป๋เจ๋อเริ่มก้มหน้าก้มตากินข้าวในชามอย่างรวดเร็วบ้าง ส่วนเยี่ยฉวนเอง เขาก็แทบไม่สนใจมารยาทเช่นกัน