หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1005 ดินแดนแบบไหนกัน
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ร่างของผู้พูดก็ทะยานเข้ามาใกล้ๆ จนมาโผล่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อและวัวแก่อย่างรวดเร็ว เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น มาพร้อมกับร่างกายผอมแห้ง แต่ศีรษะกลับใหญ่เกินควร ทั่วทั้งตัวเหมือนคนที่ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง ราวกับถั่วงอกที่หัวของมันจะโน้มตัวลงมายามที่ถูกลมพัด
ถ้าเท่านั้นว่าแย่ยังไม่พอ ชายหนุ่มยังมีคิ้วกับตาที่เหมือนพวกตัวโกง ดูอย่างไรก็ไม่ใช่รูปลักษณ์ของคนดี ตั้งแต่มาถึงจนบัดนี้ นัยน์ตาของเขาวาววับอย่างน่าประหลาด ยามมองมายังหวังเป่าเล่อซึ่งนั่งอยู่บนหลังของวัวแก่
“ท่านนี้คงเป็นหวังเป่าเล่อ ศิษย์น้องที่สิบหกที่ท่านอาจารย์อาวุโสเคยเล่าไว้เมื่อนานมาแล้วสินะ ฮ่าๆ สวัสดีนะ ศิษย์น้องที่สิบหก ข้าคือศิษย์ลำดับที่สิบห้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อจึงลงจากหลังของวัวแก่ ก่อนคารวะให้เด็กหนุ่มผู้นี้ที่อยู่ข้างหน้าเขา แม้อีกฝ่ายจะดูอายุไม่เยอะ แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าในบรรดาผู้ฝึกตนไม่สามารถประเมินอายุได้ชัดเจนจากรูปลักษณ์ที่เห็นภายนอก มีตาเฒ่าประหลาดมากมายที่ชอบทำตัวอ่อนกว่าวัย…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวของดาวพระเคราะห์จากชายหนุ่มคนนี้ก็ช่วยยืนยันการประเมินของหวังเป่าเล่อ ดังนั้นในขณะที่พบปะผู้อาวุโส เขาจึงพูดจานอบน้อม
“ขอคารวะศิษย์พี่สิบห้า!”
“เจ้าสิบหก ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นหรอก ต่อไปเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” ถึงจะเห็นว่าเขาพูดด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่ด้วยลักษณะของคิ้วและตาที่เหมือนพวกตัวโกง คำพูดที่เอ่ยออกมากลับทำให้ผู้คนรู้สึกไม่เป็นมิตรอยู่เสมอ
สิ่งนี้ส่งผลให้ภายในใจของหวังเป่าเล่อหวาดระแวงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่วัวแก่ที่อยู่ด้านข้างดันหาวออกมา
“เอาล่ะ คนก็พามาถึงแล้ว วัวแก่อย่างข้าคงต้องขอตัวก่อน” วัวแก่กล่าวก่อนหันหลังจากไป แล้วพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ในตอนที่มันกำลังจะจากไป หวังเป่าเล่อรีบหันกลับไปกล่าวคำอำลา ขณะที่กำลังจะอ้าปาก ศิษย์สิบห้าที่อยู่ด้านข้างก็โน้มตัวกลางเวหา ก่อนตะโกนออกมาดังๆ
“ขอให้ศิษย์พี่ผู้เก่งกาจอยู่ยงคงกระพัน สามารถต่อสู้และชนะสงครามจากทุกทิศทุกทางบนจักรวาลขอรับ!!!”
เสียงนั้นดังก้องกังวาลไปทั่ว หวังเป่าเล่อเองก็ตกใจเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเขาแสดงความเคารพต่อวัวแก่เป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เมื่อมองดูตอนนี้ ศิษย์สิบห้าผู้นี้เป็นคนที่พูดจาประจบสบพลอได้อย่างลื่นไหลแน่นอน
นี่ดูแตกต่างกับที่วัวแก่เล่าเขาไว้ก่อนหน้านี้นิดหน่อย…หวังเป่าเล่อได้แต่ลังเลอยู่ในใจ เสียงฟึดฟัดออกทางจมูกของวัวแก่หายลับไปในท้องฟ้าอย่างไร้ร่องรอย
ศิษย์สิบห้ายังคงโน้มตัวอยู่ตรงนั้นแม้กระทั่งยามที่วัวแก่จากไป จนเวลาผ่านไปหลายอึดใจ หวังเป่าเล่อจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา ศิษย์สิบห้าลุกขึ้นช้าๆ ก่อนเอามือไพล่หลังแล้วมองมายังหวังเป่าเล่อ
“ศิษย์สิบหกเอ๋ย ศิษย์พี่ไม่ได้อยากจะตำหนิเจ้าหรอกนะ หลังจากนี้เจ้าต้องเรียนรู้จากศิษย์พี่อย่างข้าอีกมาก ต้องรู้ด้วยว่าท่านวัวอาวุโสเป็นอสูรเทพผู้คุ้มครองดาราจักรไฟของข้า สัตว์อาวุโสถือกำเนิดจากทะเลเพลิง ผสานเข้ากับจักรพิภพ ปกปักษ์รักษาทุกๆ ด้าน…แม้แต่ท่านอาจารย์เองก็สุภาพกับวัวอาวุโสอยู่ตลอด”
“ฉะนั้นแล้ว เจ้าจงรู้ไว้ว่า…หากเจอท่านวัวอาวุโสในอนาคต ต้องสุภาพและให้เกียรติด้วย การโน้มตัวลงเหมือนเมื่อครู่ดูเหมือนไม่จริงใจและไม่ค่อยไม่เหมาะสมเอาเสียเลย”
หวังเป่าเล่อตะลึงงันเมื่อได้ฟัง ซ้ำยังจงใจพูดบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ แต่กลับบอกไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเงยหน้ามองไปยังบริเวณที่วัวแก่หายไป แล้วมองดูถั่วงอกสิบห้าที่ดูจริงจัง ก่อนจะตอบกลับหลังจากลังเล
“ศิษย์พี่สิบห้า…ต้องการให้เป็นแบบนี้จริงหรือ? ข้าอายุยังน้อย ท่านอย่าโกหกข้าเลย…”
“เจ้าเด็กน้อยนี่ ศิษย์พี่อย่างข้าโตพอที่จะเป็นปู่ของเจ้าแล้ว จะโกหกเจ้าเพื่ออะไรล่ะ!” ถั่วงอกสิบห้าพูดพลางมองไปรอบๆ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อและกระซิบกระซาบความลับอยู่ข้างๆ เขา
“ข้าจะบอกอะไรเจ้านะน้องสิบหก การฟังคำพูดของศิษย์พี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ท่านวัวอาวุโสนั่นน่ะ…เจ้าจงรู้ไว้ว่า…ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย วัวนั่นจิตใจคับแคบขนาดที่ว่าหาได้ยากเลยทีเดียว แค่สบตาก็อาจทำให้เขาโกรธได้ บางเวลาท่านอาจารย์ไม่เพียงแต่ต้องทำตัวสุภาพกับเขาเท่านั้นนะ ซ้ำยังต้องคอยอดทนอดกลั้น ข้าเลยสงสัยมาตลอดว่า…”
“วัวแก่นั่นเป็นพี่ใหญ่ของดาราจักรไฟของพวกเรา!” ศิษย์สิบห้าพูดอย่างจริงจัง พอได้ฟังหวังเป่าเล่อก็ยิ่งสับสนมากขึ้น ได้แต่แอบบ่นว่านี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน…เป็นไปได้ไหมว่าสมองศิษย์พี่สิบห้าจะมีปัญหา…
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นวัวแก่หรือศิษย์พี่สิบห้าตรงหน้าที่อยู่ในดาราจักไฟ ต่างก็ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงได้แต่พยักหน้า ทำทีเป็นคล้อยไปตามคำแนะนำดีๆ ที่ได้รับ
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ตักเตือน!”
เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเห็นด้วยกับตัวเอง ศิษย์สิบห้าที่รูปลักษณ์เหมือนถั่วงอกก็ดีใจมาก เขากระแอมไอออกมาก่อนจะพูดขึ้น
“ศิษย์สิบหกเอ๋ย ท่านอาจารย์อาวุโสมีธุระต้องออกไปข้างนอกเมื่อวานนี้ ก่อนจะไปท่านจึงได้สั่งให้ข้าเตรียมต้อนรับเจ้า เจ้าจงรู้ไว้ว่าเมื่ออาจารย์กลับมาคงจะเรียกหาเจ้า เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ให้ข้าพาเจ้าไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ก่อน พร้อมกับไปทำความเคารพศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ สักหน่อย”
“ต้องรบกวนศิษย์พี่สิบห้าแล้ว” กับคำพูดที่ว่า ‘เจ้าจงรู้ไว้ว่า’ ที่อีกฝ่ายพ่นออกมาบ่อยครั้ง ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกพะอืดพะอม ทำได้แต่ยกมือขึ้นขอบคุณอย่างว่องไว โดยไม่คัดค้านอะไรทั้งนั้น เมื่อมาเยือนครั้งแรก แน่นอนว่าต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและพบปะเพื่อนร่วมสำนักคนอื่นๆ สักหน่อย
อีกทั้งถ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้นของให้การยอมรับเขา หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าตัวเขาสามารถตัดสินใจอะไรได้ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับปรมาจารย์แห่งไฟผู้นั้น ไม่ว่ายังไงที่นี่…ก็จะเป็นบ้านหลังที่สองของเขาเองในอีกไม่นานนี้
ดังนั้นเขาจึงอยากที่เข้ากันได้ดีกับบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขา สำหรับศิษย์พี่สิบห้าที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเหมือนคนที่มีปัญหาทางสมองและดูแปลกๆ ก็ตาม แต่สัญชาตญาณบางอย่างของหวังเป่าเล่อกลับบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดร้าย
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อตอบตกลง ศิษย์ถั่วงอกสิบห้าก็เดินวางมาดเพื่อพาหวังเป่าเล่อไปทางด้านล่าง พร้อมๆ กับเริ่มแนะนำอาคารที่อยู่ในบริเวณนี้
“สำนักเพลิงของพวกเรานั้น เจ้าจงรู้ไว้ว่า…จริงๆ แล้วแสนเรียบง่ายจนไม่มีอะไรจะแนะนำ เจ้าแค่ต้องรับรู้ก็พอว่าหอคอยที่ใหญ่ที่สุดคือสถานที่ที่ท่านอาจารย์ถือสันโดษและพำนักอยู่รวมไปถึงเอาไว้เรียกหาข้า”
“ส่วนหอคอยสิบหกแห่งที่อยู่รอบๆ นั้น มันเป็นที่พักของพวกเรา หอคอยลำดับที่สิบหกที่เพิ่งสร้างขึ้นตรงนั้นจะเป็นที่ให้เจ้าใช้ฝึกในอนาคต” ศิษย์สิบห้าพูดพลางชี้นิ้วไปที่หอคอยสูงที่อยู่ไกลออกไป หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาแล้วในอดีตจึงจำตำแหน่งที่ตั้งของมันได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นเขาก็ถูกศิษย์สิบห้าพาไปที่หอคอยลำดับสิบสี่อย่างรวดเร็ว
“ข้าจะพาเจ้าไปพบศิษย์พี่สิบสี่ก่อน ศิษย์พี่สิบสี่นั้นดีมาก และจิตใจของเขาสงบนิ่งสุดๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนประเภทตีไปก็ไม่ตีกลับ ด่าไปก็ไม่ด่ากลับ เจ้าจงรู้ไว้ว่า…นั่นน่ะคือแบบอย่างของพวกเราเลยนะ” ศิษย์สิบห้าส่ายหัวไปมาเบาๆ ระหว่างโอดครวญ
หวังเป่าเล่อเริ่มค่อนข้างชินกับวิธีการพูดของอีกฝ่าย ความแปลกประหลาดในใจถูกกดทับไว้ หลังจากที่อีกฝ่ายมาถึงด้านหน้าของหอคอยที่สิบสี่ เขากลับพบว่าประตูของหอคอยที่สิบสี่ปิดอยู่ นอกจากหินที่ประดับประดาอยู่รอบๆ ก็ไม่มีสิ่งอื่น ในเวลาเดียวกันความแปรปรวนในหอคอยถูกบดบังเอาไว้จนไม่สามารถสัมผัสได้ ขณะที่กำลังจะมุ่งหน้าไปทำความเคารพด้านหน้าหอคอยนั้น…
ทว่ายังไม่ทันจะได้เข้าไปคารวะ ศิษย์สิบห้าที่อยู่ข้างๆ รีบเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มุ่งตรงไปยังภูเขาจำลองที่อยู่ด้านหน้าหอคอยที่สิบสี่ ก่อนจะโค้งคำนับพร้อมกับอ้าปากตะโกนออกมา
“ศิษย์สิบห้าขอคารวะศิษย์พี่สิบสี่ขอรับ!” เมื่อโน้มตัวลง ศิษย์สิบห้าก็ขยิบตาส่งสัญญาณมาที่หวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อตะลึงงันอีกครั้งตอนที่มองภูเขาจำลองนั้น จากนั้นศิษย์สิบห้าก็ขยิบตาให้เขา จนจำใจก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับโค้งคำนับ
“ศิษย์สิบหกขอคารวะศิษย์พี่สิบสี่ขอรับ!”
การทักทายของคนสองคนไม่ได้รับการตอบรับจากภูเขาจำลองแม้แต่น้อย หลังจากรอเป็นเวลานาน ศิษย์สิบห้าจึงถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นกระซิบบอกกับหวังเป่าเล่อ
“เป็นอย่างที่ข้าพูดไว้ไม่มีผิด ศิษย์พี่สิบสี่เป็นแบบอย่างของพวกเรา เขาไม่เพียงเป็นคนตีไปก็ไม่ตีกลับ ด่าไปก็ไม่ด่ากลับเท่านั้น แต่ยังไม่สนใจแม้กระทั่งการมาแสดงความเคารพของพวกเรา”
หวังเป่าเล่อร้องพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในขณะที่เมียงมองภูเขาจำลองตรงนั้นอย่างระมัดระวัง แล้วกระซิบถามขึ้นมาหลังจากลังเล
“ศิษย์พี่สิบห้าขอรับ ศิษย์พี่สิบสี่เป็นกองหินมีชีวิตอย่างนั้นหรือ?”
“กองหินมีชีวิตอะไรกัน?” ศิษย์สิบห้าทำหน้าประหลาดใจขณะมองไปที่หวังเป่าเล่อ
“ศิษย์สิบหก ข้าอยากจะตำหนิเจ้าเสียจริง พูดถึงศิษย์พี่สิบสี่แบบนั้นได้เยี่ยงไรกัน ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยนะ ศิษย์พี่สิบสี่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งเช่นเดียวกับข้า และมีเนื้อหนังมังสาเหมือนกับข้าด้วย”
“แต่ว่า…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ศิษย์สิบห้าชะงักไปชั่วครู่ หลังจากมองไปรอบๆ เขาดึงหวังเป่าเล่อที่กำลังสับสนออกไปข้างๆ ก่อนจะกระซิบบอกความลับ
“เขาเป็นแค่คนที่ว่านอนสอนง่ายเกินไป วันหนึ่งเมื่อ 137 ปีก่อน เขาเชื่อฟังคำสั่งของท่านอาจารย์และฝึกฝนด้วยวิธีพิศดารที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน จนทำให้ตัวเองกลายร่างเป็นก้อนหิน…ผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เขาไม่สามารถกลายร่างกลับมาได้…และเขายังดื้อรั้น เจ้ารู้ไหมว่า…เขาปฏิเสธความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์และต้องการเปลี่ยนร่างกลับด้วยความพยายามของเขาเอง…”
“137 ปีแล้วหรือนี่…” ศิษย์สิบห้าถอนหายใจให้กับดวงตาที่เบิกกว้างของหวังเป่าเล่อ
“จากการคาดการณ์ของข้า ก็คงอีกห้าร้อยปีกระมัง ที่ศิษย์พี่สิบสี่อาจจะทำสำเร็จ”
ครั้นได้ฟังคำพูดของศิษย์สิบห้า ทำให้หวนนึกถึงท่าทีของอีกฝ่ายหลังจากที่เขามาถึง เขามองไปที่ภูเขาจำลองนั้นอีกครั้ง ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเผยเห็นถึงความงุนงงอย่างไม่อาจควบคุมได้ และมีคำถามเกิดขึ้นในใจของเขา
“นี่ข้า…มาอยู่ที่ดินแดนแบบไหนกันล่ะเนี่ย…”
………………………….