หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1014 ลำบากลำบนเพื่อได้ชื่อว่าเป็นศิษย์
เวลาของหวังเป่าเล่อในการศึกษาเวทผนึกดาราค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
ในเดือนที่สอง หวังเป่าเล่อศึกษาเวทผนึกดาราไปพลาง อาบน้ำให้วัวเฒ่าต่อไปพลาง ในระหว่างนั้นก็สรรเสริญเยินยอไม่หยุด ในช่วงเวลานี้ทำให้วัวเฒ่ามีความสุขสบายใจทุกวัน และเสียงหัวเราะก็มักดังก้องมายังดาวเอกเพลิง
ในขณะเดียวกัน สิ่งที่หวังเป่าเล่อได้รับก็ไม่ใช่มีเพียงเท่านี้ ภายใต้การตั้งใจเตือนของวัวเฒ่า หวังเป่าเล่อก็เริ่มหาเห็บบนร่างวัวเฒ่า…
“เจ้าสิบหกน้อย เห็บบนร่างข้าเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา ดูความขยันของเจ้าในช่วงเวลานี้สิ เจ้าจะได้รางวัลหากหาคุณสมบัติของพวกมันได้”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น หวังเป่าเล่อที่ยังคงไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของวัวเฒ่าก็แอบทำหน้ามุ่ย
เพราะเรียกว่าเป็นเห็บ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นด้วงเกราะดำชนิดหนึ่ง แมลงชนิดนี้มีสีแดงและเปลวไฟทั้งตัว ขณะเดียวกันก็ดูดุร้ายและมีปากที่แหลมคม ชอบดูดเลือด และพลังต่อสู้ของแต่ละตัวก็เทียบได้กับขั้นเชื่อมวิญญาณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังป้องกันนั้นน่าทึ่งมาก เมื่อร่างกายหดตัวเข้าหากันและกลายเป็นก้อนกลม หวังเป่าเล่อใช้พลังเต็มที่ก็ไม่สามารถทำลายมันได้มากนัก และพลังฟื้นฟูก็แข็งแกร่ง แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากที่ดูดเลือดก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนหัวก็เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด สามารถเปลี่ยนขนาดได้ เมื่อร่างของวัวเฒ่าขยายตัวเต็มที่ เห็บแต่ละตัวก็ใหญ่ราวอสูรยักษ์ และหลังจากที่วัวเฒ่าหดตัวลง พวกมันก็จะหดตัวเล็กลงตามไปด้วย
ไม่ว่าจะระดับใด เห็บเหล่านี้ล้วนดูเหมือนจะเป็นกาฝาก แต่ก็เหมือนกับทำตามความปราถนาของวัวเฒ่า เรื่องนี้ไม่ยากจะเข้าใจ มิฉะนั้นแล้วด้วยระดับการฝึกตนของวัวเฒ่า คิดจะกำจัดพวกมัน เกรงว่าแค่คิดก็ทำได้แล้ว
และบนร่างของวัวเฒ่าก็มีเห็บเหล่านี้เป็นจำนวนมาก หวังเป่าเล่อคำนวณคร่าวๆ พบว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่าสิบล้าน นี่ทำให้เขาตื่นตระหนก ในขณะเดียวกันก็ถึงกับถอนหายใจเมื่อบอกคุณสมบัติของพวกมันต่อวัวเฒ่า
แต่ในไม่ช้า หวังเป่าเล่อก็เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของวัวเฒ่า
เนื่องจากหวังเป่าเล่อพบได้ในทันทีว่าการที่จะจับเห็บเหล่านี้ด้วยวิธีปกตินั้นเป็นเรื่องยาก แต่หากเขาใช้เวทผนึกดาราที่ตนเองศึกษาและทดลองฝึกฝนไปผนึก ก็จะรวดเร็วขึ้นอย่างมาก
เขาสามารถเพิ่มความชำนาญเวทผนึกดาราของตนได้อย่างรวดเร็ว แม้จักรวาลจะมีสะเก็ดดาวไม่น้อย แต่ก็ใหญ่เกินไปสำหรับเขาที่เพิ่งลองฝึกเวทผนึกดารา การสูญเสียมากเกินไปในการผนึกสะเก็ดดาวดวงหนึ่ง ไม่เร็วเท่ากับการผนึกเห็บเหล่านี้
ในแง่ความคุ้มค่า การผนึกเห็บก็เห็นท่าจะคุ้มกว่า การค้นพบนี้ได้มาจากประสบการณ์และการตระหนักถึงความเร็วอันน่าทึ่งในการฝึกฝนเวทผนึกดาราของตนเอง ซึ่งหวังเป่าเล่อรู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นเขาจึงทำงานหนักขึ้นในการจับเห็บเหล่านี้เพราะเหมาะสำหรับที่จะใช้เป็นก้าวแรกในการฝึกฝนเวทผนึกดารามาก
หลายวันหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อว่างจากการอาบน้ำให้วัวเฒ่า เวทผนึกดาราจากการศึกษาก่อนน่านั้น เวทวิชาผนึกดาราของเขาได้ผ่านถึงระดับขั้นตอนในการฝึกตนแล้ว
ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากสามเดือนผ่านไป ในขณะที่หวังเป่าเล่ออาบน้ำไปทั่วร่างวัวเฒ่าแทบจะทั้งตัวแล้ว เห็บที่เขาจับได้ทั้งหมดมีจำนวนหลายหมื่นตัว และเขาก็ได้ทดสอบเวทผนึกดาราอยู่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ชำนาญขึ้นเรื่อยๆ ห่างจากระดับวัฏจักรของขั้นต้นอยู่ไม่ไกลแล้ว
และหลายเดือนมานี้ ด้วยเพราะวัวเฒ่าได้รับคำสรรเสริญเยินยอของหวังเป่าเล่อจึงรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อเองก็ฉลาดนัก ทุกครั้งที่กลับไปพักผ่อนที่หอคอย ขอเพียงพบเหล่าศิษย์พี่น้อง ก็จะรีบสรรหาหัวข้อที่สามารถไปประจบประแจงได้ทันที
ทำถึงขั้นที่ว่าพบใครก็ชื่นชมอาจารย์ให้คนนั้นฟัง อาจเป็นเพราะอยู่ร่วมกันมาตลอด ทำให้ร่างกายวัวเฒ่าค่อยๆ หดเล็กลง ภาระงานของหวังเป่าเล่อก็ลดลงไปด้วย ทำให้เขาทำภารกิจธรรมเนียมของดาราจักรไฟได้เสร็จสิ้น
และสิ่งเหล่านี้ก็ค่อยๆ ทำให้มุมมองของหวังเป่าเล่อต่อคำพูดของแม่นางน้อยเปลี่ยนไปจากที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกลายเป็นเกือบจะมั่นใจ หลายเดือนมานี้ มีหลายครั้งที่เขาเห็นศิษย์พี่เจ็ดถูกตี และเห็นเจ้าสิบห้าเหมือนถูกลงโทษ แต่ยังคงมั่นใจในความคิดและทำการสรรเสริญเยินยอต่อไป
ด้วยความอุตสาหะของเขา หลายเดือนมานี้ โดยพื้นฐานแล้วผู้คนทั้งหมดที่ดาราจักรแห่งไฟต่างก็สมัครสามัคคีกัน…และตัวหวังเป่าเล่อเองก็ค่อยๆ คุ้นเคยในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในดาราจักรไฟ
ในเวลาเดียวกันของขอโทษของอารยธรรมครามทองคำก็ถูกส่งมาในระหว่างที่เขาทำความสะอาดร่างให้วัวเฒ่า ของขอโทษนี้นับว่ามากมาย แค่เพียงผลึกสีชาดที่ใช้ในการฝึกฝนก็มีจำนวนมหาศาลแล้ว ยังมีโอสถบำรุงรวมทั้งวัตถุเทพจำนวนมาก ที่สำคัญคือยังมีดาวเคราะห์อมตะสิบดวงรวมทั้งดาวเคราะห์ทั่วไปอีกร้อยดวง
ดวงดาราเหล่านี้ได้รับการปรับเปลี่ยนแล้ว บนนั้นนอกจากดวงดาราเองแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ดังนั้นสามารถทำให้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณอมตะขั้นมหาวัฏจักรหลอมรวมได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีคุณค่ามหาศาล เห็นได้ว่าอารยธรรมครามทองคำหมายมั่นที่จะแสดงความจริงใจต่อปรมาจารย์แห่งไฟ
สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วของกำนัลนี้เป็นเหมือนฝนที่มาทันเวลา มันมีความหมายไม่น้อยต่อการฝึกเวทผนึกดาราของเขา ขอเพียงเขาสามารถฝึกเวทผนึกดาราได้ถึงขั้นที่สอง ดาวเคราะห์ร้อยดวงนั่นก็จะถูกเขาผนึก กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังเทพ ช่วยให้เขาไม่ต้องเสียเวลาออกไปเสาะหาและจัดการเอง
ในขณะเดียวกัน หากเขาฝึกไปถึงขั้นที่สาม ยิ่งมีดาวเคราะห์อมตะสิบดวงได้เลย ทำให้พลังเวทผนึกดาราของเขามีพลังมากขึ้น ดังนั้นเกือบจะทันทีได้รับของขอขมา หวังเป่าเล่อก็ตระหนักได้ในทันทีว่านี่ต้องเป็นการจัดการของท่านอาจารย์อย่างแน่นอน อารยธรรมครามทองคำจึงได้ส่งในสิ่งที่เขาต้องการมาให้
“ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไป… คือการฝึกฝนเวทผนึกดาราขั้นแรกอย่างเต็มที่ เพื่อสำเร็จให้เร็ว” หลังจากรับของขอขมาจากอารยธรรมครามทองคำแล้ว หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึก และเริ่มกักตัวฝึกตนเป็นครั้งแรกหลังจากเขามาถึงดาราจักรไฟ
การกักตัวฝึกตนครั้งนี้ใช้เวลาสามเดือน!
ในช่วงสามเดือนนี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้ออกจากหอคอยเลย และด้วยการฝึกฝนอย่างเต็มที่ ในที่สุดเขาก็ฝึกฝนเวทผนึกดาราขั้นแรกไปจนถึงขั้นมหาวัฏจักรได้แล้ว
ในห้องฝึกวิทยายุทธ์ของหอคอย ระหว่างที่หวังเป่าเล่อโบกมือ ภายใต้อิทธิพลของวงแหวนปราณ อาณาบริเวณของห้องฝึกวิทยายุทธ์ได้ขยายอย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้เห็บวัวนับหมื่นที่กลายเป็นลูกกลมเล็กส่งเสียงร้องออกมา พวกมันบินมารวมตัวกันตรงหน้าเขา แล้วก่อตัวกันเป็นร่างของวัวเฒ่า
ภาพมายาวัวนี้เหมือนจริงอย่างไร้ที่ติ มันรายล้อมด้วยเปลวไฟไปทั่วร่างราวกับมีชีวิต หลังจากที่ปรากฏกายก็เกิดเสียงคำรามขึ้น และระเบิดร่องรอยพลังงานที่น่าตระหนกออกมา พลังกดดันก็กระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง
หลังจากที่หวังเป่าเล่อรับรู้ เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน
“ท่าทางและพลังกดดันนี้…สามารถกำราบผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ดาวพระเคราะห์วิญญาณอมตะทั้งหมดได้แล้ว!” สาเหตุที่หวังเป่าเล่อเคลื่อนไหว ก็เพราะภาพมายาวัวนี้เป็นเพียงก่อขึ้นจากเห็บ ไม่ใช่สะเก็ดดาว ขณะเดียวกันก็ยังไม่ได้รวมกับดาวเคราะห์เต๋าของเขา และระดับการฝึกตนก็ยากที่จะนับเป็นอะไรได้
“ขั้นต่อไปข้าจะเพิ่มสะเก็ดดาวเข้าไป ให้เห็บวัวแต่ละตัวซ่อนอยู่ภายใน ด้วยวิธีนี้…ภาพมายาของเทพวัวที่ก่อขึ้นจากสะเก็ดดาวนับหมื่นก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น ผู้ที่มีดาวเคราะห์พิเศษ หากยิ่งเพิ่มพลังดาวเคราะห์เต๋าของข้า…” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่อแววประหลาด เขารู้สึกว่ามาถึงขั้นนี้ พื้นฐานของตนได้มาถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้ว และสามารถไม่ใยดีกับต่อผู้ฝึกตนขั้นสูงได้แล้ว
เว้นแต่จะได้พบผู้ฝึกตนที่หลอมรวมกับดาวเคราะห์บรรพกาล และเป็นถึงระดับดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรแล้ว จึงจะสามารถต่อสู้กับตนได้
“นี่ยังไม่นับว่าเป็นอะไร…หลังจากสะเก็ดดาวหมื่นดวง ข้ายังต้องผนึกดาวพระเคราะห์ลงไปด้วย ทำให้พลังเวทผนึกดาราของข้า เพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง…แต่น่าเสียดายที่ค่าตอบแทนสูงเกินไป หากต้องการทดแทนทั้งหมดด้วยดาวเคราะห์ทั่วไป” หวังเป่าเล่อหรี่ตาบ่นพึมพำ
แม้ปากจะบอกว่าค่าตอบแทนสูงเกินไป แต่เขาก็ยังอยากที่จะลอง เพราะเขาพบว่าเวทผนึกดาราที่ฝึกฝนนี้ไม่เหมือนกับที่อธิบายไว้บนกระบวนเวทอยู่บ้าง
เดิมทีการฝึกฝนถึงขั้นที่หนึ่ง สามารถทำได้เพียงผนึกสะเก็ดดาว เมื่อถึงขั้นที่สองเท่านั้นจึงจะสามารถผนึกดาวเคราะห์ทั่วไป แต่เวลานี้หวังเป่าเล่อแอบรู้สึกราวกับตนแม้สำเร็จเพียงขั้นแรก แต่ด้วยพลังของดาวเคราะห์เต๋า ก็มีความเป็นไปได้ที่จะลองผนึกดาวเคราะห์ทั่วไป
หลังจากมีความคิดเช่นนี้ ในหัวของเขาก็ยิ่งปั่นป่วน หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เพียงพริบตาเดียวก็ออกจากห้องฝึกวิทยายุทธ์ ระหว่างที่ก้าวออกจากหอคอย หลังจากส่งเสียงไปถึงศิษย์พี่หญิ่งใหญ่แล้ว ทั้งร่างก็กลายเป็นสายรุ้ง ทะยานสู่ท้องฟ้า
เขาต้องการที่จะออกจากดาวเอกเพลิง เพื่อไปเสาะหาสะเก็ดดาวภายในดาราจักรไฟ ทำให้ระดับเวทผนึกดาราของตนเพิ่มระดับขึ้น เมื่อมาถึงทุกวันนี้สามารถเพิ่มระดับได้สูงสุด และเมื่อเขาออกไปจากที่นี่ นอกชายแดนของดาราจักรไฟ มีกระสวยที่สำแดงกระบวนเวทผันผวน กำลังพุ่งมาทางดาราจักรไฟอย่างรวดเร็ว
ภายในกระสวย เซี่ยไห่หยางยืนอยู่ข้างใน สายตามุ่งมั่นและดึงดัน
“ตราบเท่าที่ข้าสามารถเป็นศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟได้ แม้จะเป็นศิษย์แต่เพียงในนามก็เพียงพอแล้ว เช่นนี้ข้าก็จะเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับผู้สูงส่งที่ไม่รู้จักผู้นั้น…เรื่องขอความช่วยเหลือจากเขาก็จะง่ายขึ้นมากแล้ว”
……………………………………