หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1018 คู่สหายสนิท!
หลังจากคำสั่งของหวังเป่าเล่อที่ถ่ายทอดออกไป เขาก็รอไปเป็นเวลาเจ็ดวันเต็มๆ … เซี่ยไห่หยางจึงได้รีบมาถึง นี่ไม่ใช่เพราะเซี่ยไห่หยางเถลไหล เป็นเพราะที่ที่เขาอยู่ห่างจากหวังเป่าเล่อพอสมควร เวลาเจ็ดวันเขาได้ใช้ไปอย่างเต็มกำลังแล้ว อีกทั้งยังมีความช่วยเหลือจากดารานิรันดร์ มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าจะใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนหรือกระทั่งนานกว่านั้น
โชคดีที่หวังเป่าเล่อไม่ได้รีบร้อน ในช่วงเจ็ดวันนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่นอกดารานิรันดร์ของอารยธรรมวิญญาณเพลิง และรวบรวมพลังเทพของตน ในเวลาเดียวกันก็ทำความคุ้นเคยกับวิธีสำแดงและถ่ายทอดเวทผนึกดารา
ในที่สุด หวังเป่าเล่อก็เชี่ยวชาญเวทผนึกดาราโดยสมบูรณ์แล้ว เขาสามารถกระจายมันออกไปได้ในทันที ก่อเป็นพลังเทพแข็งแกร่ง ยังสามารถหดมันให้เล็กลงเพื่อห่อหุ้มทั่วร่าง กลายเป็นปราการป้องกัน แล้วเซี่ยไห่หยางก็มาถึง
เซี่ยไห่หยางที่มาจากแดนไกล ได้ย่างเข้าสู่อารยธรรมวิญญาณเพลิง พอมองเห็นทั้งร่างของหวังเป่าเล่อกระจายพลังผันผวนที่น่าตระหนกออกมา ภายในใจเขาก็สั่นขึ้นอย่างรุนแรง
ด้านหนึ่งคือไม่ได้พบกันมานานแล้ว ฐานการฝึกตนของหวังเป่าเล่อได้แตกต่างจากในตอนแรกราวฟ้ากับดินจนน่าตื่นตระหนก อีกด้านหนึ่งคือเหล่าผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ที่ห้อมล้อมหวังเป่าเล่อด้วยความเคารพ ราวกับขอให้หวังเป่าเล่อกล่าวเพียงประโยคเดียวก็พร้อมจะสู้เพื่อเขาได้ สะท้อนให้เห็นว่าสถานะของอีกฝ่ายในเวลานี้แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว!
ทั้งหมดนี้ ทำให้หลังจากที่เซี่ยไห่หยางสูดหายใจเข้าลึกแล้วก็รีบปรับความคิดในใจทันที ดังนั้นในขณะที่ได้พบกัน เขาจึงรีบส่งเสียงดังออกมา
“เซี่ยไห่หยางขอเข้าพบนายน้อยสิบหกแห่งดาราจักรไฟ” พูดพลาง เซี่ยไห่หยางประสานหมัดคารวะอย่างจริงใจ
เกือบจะในทันทีที่เซี่ยไห่หยางเอ่ยปาก หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทันทีที่เห็นเซี่ยไห่หยาง เขาก็รีบลุกขึ้นยืน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม เข้าไปต้อนรับในทันที พร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะก็ดังไปทั่ว
“สหายไห่หยาง เหตุใดจึงเกรงใจเช่นนี้ พวกเราคบค้ากันมานาน ไม่ต้องถึงขนาดนี้หรอก” ท่ามกลางเสียงหัวเราะของหวังเป่าเล่อที่ใกล้เข้ามา สายตาแสดงความจริงใจ แล้วพยุงเซี่ยไห่หยางขึ้น
“หลายปีมานี้หากไม่มีสหายไห่หยางช่วยไว้หลายครั้ง ข้าแซ่หวังก็ไม่อาจมาถึงวันนี้ได้ สหายไห่หยาง ข้าไม่ได้คำนับเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องคำนับข้าแล้ว”
เซี่ยไห่หยางเมื่อได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งใจ จับไปที่แขนหวังเป่าเล่ออย่างหนักแน่น
“เจ้าสามารถมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ความช่วยเหลือของข้าแซ่เซี่ยเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ทั้งหมดล้วนเป็นความสามารถของตัวเจ้าเอง สหายเป่าเล่ออย่าได้ถ่อมตนไป”
“สหายไห่หยาง!”
“สหายเป่าเล่อ!”
เสียงของทั้งคนทั้งคู่ดังมาก แสดงความกระตือรือร้นเฉกเช่นผู้ที่ไม่ได้พบกันมานาน ท่ามกลางเสียงสนทนาและหัวเราะเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ผู้คนที่มองอยู่รอบด้านรับรู้ได้ถึงมิตรภาพของคนทั้งสองต้องเป็นราวผู้สูงส่ง ที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เคารพกันและกัน และต่างก็ไม่ถือตน
แต่ที่จริงแล้ว… ผู้มองดูอยู่เหล่านี้ยังไม่เข้าใจเซี่ยไห่หยางและหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางแม้จะดูกระตือรือร้นแต่ส่วนลึกในใจก็มีความอิจฉา อาจจะเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของหวังเป่าเล่อมีมากเกินไป ก่อนหน้านั้นยังเป็นเพียงจิตวิญญาณอมตะ ตอนนี้กลับเป็นดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง โดยเฉพาะบนร่างมีพลังผันผวนแผ่ออกมา แม้เขาจะมีการคุ้มกันที่ท่านปรมาจารย์มอบให้ก็ยังคงตระหนกอยู่ในใจ
และทั้งหมดนี้ นอกจากจะมีสถานะเป็นถึงศิษย์ปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว กุญแจสำคัญที่จะทำให้การฝึกตนของตนเปลี่ยนแปลงได้ เห็นชัดว่าคงมีเพียงสุสานดวงดารา
สิ่งที่ทำให้เซี่ยไห่หยางอิจฉาอยู่ในใจก็คือสุสานดวงดารานี้เอง!
เพราะหากไม่ใช่เพราะเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับท่านพ่ออย่างกะทันหันแล้ว ทำให้เขาไม่อาจมีสิทธิ์เข้าสุสานดวงดาราเพราะต้องกลับไปจัดการในทันที เช่นนั้น…ตามแผนการของเขาก่อนหน้าและตามขั้นตอนแล้ว สุดท้ายรายชื่อของที่อารยธรรมครามทองคำส่งมาน่าจะเป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ
หลังจากนั้นไม่ว่าจะขายออกหรือมอบให้ก็ล้วนทำให้เขาได้รับประโยชน์มหาศาล แต่ตอนนี้…ทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในฐานะพ่อค้าเขาสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นบนรอยยิ้มทางการค้าคนภายนอกจึงยากที่จะดูออก
ในเวลาเดียวกัน เขากำลังใคร่ครวญอยู่ในใจว่าจะใช้ความสัมพันธ์ทางการค้าครั้งก่อนระหว่างตนเองและหวังเป่าเล่อเช่นไรจึงจะบรรลุเป้าหมายของตนได้
สำหรับหวังเป่าเล่อ เขาย่อมมองรอยยิ้มที่คุ้นเคยนี้ออกแต่ก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะรอยยิ้มของเขาแม้จะไม่ใช่ในเชิงการค้าแต่จุดสำคัญของความกระตือรือร้นนั้น อยู่ที่ผลประโยชน์ที่เซี่ยไห่หยางสามารถนำมา ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดอยู่ก็คือดาวเคราะห์ทั่วไป และการมาของอีกฝ่ายก็ทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความหวัง
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองเดิมทีก็เป็นเช่นนี้ ในสายตาของเซี่ยไห่หยาง เมื่อความอิจฉาสลายไป สติปัญญาก็ฟื้นตามมา คุณค่าของหวังเป่าเล่อก็แตกต่างไปตามกาลเวลา ยิ่งลึกซึ้งขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนของเขาในครั้งก่อนมีคุณค่ามากขึ้น
แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาชนิดนี้ แม้จะไม่มีทางสนิทสนมกันได้แต่ต่างก็มีคุณค่าซึ่งกันและกัน จึงจะเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สุด ดังนั้นในระหว่างการสนทนาหลังจากได้รู้ว่าเซี่ยไห่หยางมาในครั้งนี้เพื่อมาคารวะท่านอาจารย์ของตน หวังเป่าเล่อจึงเชิญอีกฝ่ายร่วมเดินทางไปยังดาวเอกเพลิงในทันที
“สหายเป่าเล่อเชิญด้วยน้ำใจ ข้าแซ่เซี่ยก็ไม่เกรงใจแล้ว” เซี่ยไห่หยางหัวเราะร่า ในขณะที่พูดคุยอย่างสนุกสนานกับหวังเป่าเล่อ ภายใต้การคุ้มกันของผู้ฝึกตนดาราจักรไฟจำนวนมากอยู่ทางเบื้องหลังก็เหาะไปทางดาวเอกเพลิง ระหว่างทางทั้งสองสนทนาเรื่องราวในอดีต แล้วกล่าวถึงสุสานดวงดาราขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“สหายเป่าเล่อ มีเรื่องน่าสนใจ เมื่อหลายวันก่อนมีคนมาถามข้าว่าข้ามีพี่ชายชื่อเซี่ยต้าลู่หรือไม่ ข้าตอบว่าไม่มีพี่ชื่อเซี่ยต้าลู่แต่ข้ามีน้องชายชื่อนี้” ระหว่างที่เซี่ยไห่หยางกล่าว เขามองไปทางหวังเป่าเล่อเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม คำกล่าวนี้ไม่ได้ต้องการให้ลำบากใจ แต่เพื่อบอกเป็นนัยว่าข้ารู้เรื่องที่เจ้าใช้ชื่อบ้านสกุลเซี่ยของข้า ดังนั้นเจ้าติดค้างข้า
หวังเป่าเล่อพอได้ฟังก็หัวเราะร่า
“สหายไห่หยางจับข้าได้แล้ว เวลานั้นเรื่องเกิดย่อมมีสาเหตุ หลังจากกลับมาแล้วก็พบเรื่องด่วนอีกจึงไม่ได้อธิบายให้เจ้าฟังในทันที แต่คิดขึ้นมาแล้วสหายไห่หยางคงไม่ว่ากระไร อย่างไรก็ตามที่ข้าได้สิทธิ์ในสุสานดวงดารา สหายไห่หยางก็ออกแรงช่วยเหลือไว้ไม่ใช่น้อย” หวังเป่าเล่อเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มเช่นกัน เขาพยักหน้าไปทางเซี่ยไห่หยาง คำกล่าวเป็นทั้งคำอธิบายและแฝงนัยยะให้อีกฝ่าย บนรายชื่อสุสานดวงดารา การจัดวางเรียงลำดับของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นที่เริ่มแรกราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ หรือต่อมาการช่วยชีวิตภายใต้การร้องขอของตน ส่อให้เห็นถึงการปกปิดซ่อนเร้น และใช้ตนเองเพื่อให้ได้ส่วนที่กำหนดไว้ เรื่องนี้ตนมองออก ดังนั้นเรื่องน้ำใจจึงไม่มีติดค้าง
เซี่ยไห่หยางเมื่อได้ฟังก็หัวเราะขึ้น สีหน้าเป็นปกติราวกับฟังไม่ออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ แต่กลับไม่กล่าวถึงสุสานดวงดาราอีก แต่สนทนากับหวังเป่าเล่อเรื่องเก่าเกี่ยวกับสหพันธรัฐ
หวังเป่าเล่อก็ยังยิ้มเป็นปกติและสนทนาเรื่องที่ผ่านมาไปตลอดทาง ทั้งสองคนเข้าใกล้ดาวเอกเพลิงไปทุกที สุดท้ายหลังจากที่ดาวเอกเพลิงลอยอยู่ตรงหน้า เซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะพูดถึงการฝึกฝนของหวังเป่าเล่ออย่างไม่ตั้งใจ หวังเป่าเล่อเมื่อได้ฟังก็กะพริบตาปริบๆ แล้วทอดถอนใจขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ
“หลังจากที่ข้ามาถึงดาราจักรไฟ ข้าจึงได้รู้อย่างแท้จริงว่าที่แท้แล้วค่าตอบแทนของการฝึกตนมันสูงเช่นนี้ แค่เพียงเวทผนึกดารา กลับต้องใช้ดาวเคราะห์ทั่วไปนับหมื่นดวง” หวังเป่าเล่อก็พอมองออกว่าอีกฝ่ายมาถึงดาราจักรไฟ ก็เพราะมีเรื่องต้องการมาร้องขอ แม้จะไม่รู้ความต้องการนั้นคือสิ่งใด แต่กลับไม่รั้งรอที่จะกล่าวเรื่องที่ตนต้องการออกมา
“สูงเช่นนี้เชียวหรือ” เซี่ยไห่หยางก็แอบกล่าวขึ้นในใจ เจ้าราชสีห์หวังเป่าเล่อผู้นี้ช่างกล้าเอ่ยปาก ตนเองยังไม่ทันได้บอกว่าต้องการให้เขาทำสิ่งใด กลับเอ่ยปากต้องการดาวเคราะห์ทั่วไปนับหมื่นดวง ใบหน้าจึงปรากฏความลำบากใจ
“สหายเป่าเล่อ ไว้ข้ากลับไปจะช่วยดูให้เจ้า แต่ดาวเคราะห์ทั่วไปนับหมื่นดวงย่อมมีราคาสูง แต่พวกเราเป็นสหายกัน เรื่องนี้ข้าย่อมต้องช่วยจนสุดความสามารถ อีกอย่างในเมื่อเจ้าต้องการดาวเคราะห์ทั่วไป…ข้าก็มีบางส่วนมอบให้เจ้า ก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญที่ได้พบหน้ากันอีกครั้งหลังจากจากกันไปนาน” พูดพลาง เซี่ยไห่หยางก็หยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาจากอ้อมแขนอย่างภาคภูมิใจแล้วส่งให้หวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อก็ไม่เกรงใจ หลังจากรับไปก็กวาดตามอง เห็นว่าภายในมีดาวเคราะห์ทั่วไปหนึ่งดวงส่องประกาย เขาหรี่ตาลงทันที ของขวัญพบหน้าของอีกฝ่ายนี้ดูเหมือนจะมีเพียงดวงเดียว แต่คุณค่าดาวเคราะห์ทั่วไปน่าตะลึง ดังนั้นของกำนัลพบหน้านี้แม้จะไม่ได้สำคัญมากแต่ก็ไม่น้อยแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พอมองออกว่าการมาดาราจักรไฟของเซี่ยไห่หยางในคราวนี้ สิ่งที่ร้องขอก็คงไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงลูบกระเป๋าคลังเก็บอยู่ ไม่ได้รีบเก็บไปแต่มองไปยังเซี่ยไห่หยาง
“สหายไห่หยาง มีสิ่งใดก็บอกมาได้เลย ไม่ทราบว่าต้องการให้ข้าแซ่หวังทำสิ่งใด”
เซี่ยไห่หยางหัวเราะ หลังจากไตร่ตรองแล้วจึงกล่าวขึ้นเบาๆ
“สหายเป่าเล่อ ข้าคิดอยากให้เจ้าช่วยแนะนำข้าต่อศิษย์พี่หรือปรมาจารย์ของท่าน…หากจำเป็นก็ช่วยพูดให้ข้าด้วย หลังจากสำเร็จ ข้าจะให้ดาวเคราะห์ทั่วไปกับเจ้าอีกหนึ่งดวง”
หวังเป่าเล่อเมื่อได้ฟังก็ชะงักไป เขาเลิกคิ้วขึ้น กล่าวในใจว่าศิษย์พี่ชายหญิงของตนล้วนแล้วแต่เป็นอาจารย์ แต่คำกล่าวนี้เขาย่อมไม่อาจบอกอีกฝ่ายได้ อีกอย่างดาวเคราะห์ทั่วไปดวงสองดวงมูลค่าไม่ใช่น้อย แต่ให้ตนไปแนะนำแล้วให้ชื่นชมด้วย แม้ตนจะมีน้ำใจไปช่วยก็ออกจะน้อยไปอยู่บ้าง ด้านความจริงใจก็ยังไม่เพียงพอ…แต่หลังจากไตร่ตรองแล้วเขายังคงถามต่อไปอีก
“ไม่ทราบว่าเจ้าคิดจะพบศิษย์พี่ท่านใดของข้าหรือ”
…………………………….