หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1019 ที่จริงเจ้าก็รู้จัก!
เซี่ยไห่หยางไม่ใช่ไม่รู้ว่าความจริงใจของเขายังไม่เพียงพอ แต่เขารู้สึกว่าดาวเคราะห์ทั่วไปสองดวงก็พอแล้วสำหรับผู้ที่เขาจะลงทุนด้วย เขาไม่อยากเพาะความโลภให้อีกฝ่ายและก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าต้องการอะไรจากตนก็ย่อมได้
นี่ไม่ใช่เพราะเขามองหวังเป่าเล่อขัดตาแต่มันคือคุณสมบัติของพ่อค้า เขามักคิดว่าทำเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกัน
ในขณะเดียวกัน…นี่ก็เป็นสิ่งที่เซี่ยไห่หยางในฐานะผู้ลงทุนควรมี เซี่ยไห่หยางมองว่าเขามีทรัพยากรมากมาย ตนเป็นเซียนนักลงทุนที่เป็นอีกหนึ่งสถานะเพิ่มเติม ไม่ว่าจะในระดับใด ในเมื่อทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน พร้อมกันนั้นตนก็ต้องกำหนดแนวคิดที่แน่นอน
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะไม่เกิดสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และอีกอย่างก็ยังสามารถปกป้องสถานะของตนได้ในระดับสูงสุด ทั้งยังทำให้อีกฝ่ายเกิดความคุ้นเคยและพึ่งพา และไม่อาจขาดทรัพยากรของตนได้ในที่สุด
มีเพียงวิธีนี้ จึงจะเป็นการรับผลประโยชน์จากการลงทุนที่สมบูรณ์แบบ!
ดังนั้นดาวเคราะห์ทั่วไปที่เป็นของกำนัลและคำสัญญา ที่จริงแล้วก็เป็นวิธีทางการค้าของเขา หรือกระทั่งเขาล้วนคิดไว้ดีแล้ว ต่อไปมูลค่าในเรื่องนี้ก็เป็นไปตามหวังเป่าเล่อก็เหมือนกับการล่อเหยื่อ ให้ดาวเคราะห์ทั่วไปต่อไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ทำให้อีกฝ่ายเดินไปตามทางที่ตนเองได้วางไว้
จนกว่าจะถึงเป้าหมายของตน
ด้วยความคิดดังกล่าว เซี่ยไห่หยางก็ยิ้มน้อยๆ หลังจากได้ฟังคำถามของหวังเป่าเล่อ
“สหายเป่าเล่อ รอให้ข้าได้คารวะปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว ข้าค่อยบอกเจ้า ถึงเวลานั้นยังหวังว่าสหายเป่าเล่อจะช่วยเหลือบางอย่าง” เซี่ยไห่หยางรักสันโดษ แต่ความประพฤตินั้นกลับอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ระหว่างที่พูดยังประสานหมัดคำนับไปทางหวังเป่าเล่อ
แววตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายอย่างไร้สาเหตุ ด้วยสติปัญญาและประสบการณ์ก็มองเซี่ยไห่หยางออก แต่ก็มิได้ใส่ใจ สำหรับเขาแล้วไม่ว่าเซี่ยไห่หยางจะคิดเช่นไร เรื่องเช่นนี้สำหรับตนเองก็เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเท่านั้น
“ดาวเคราะห์สองดวงแลกกับคำแนะนำยังพอเป็นไปได้ ส่วนเรื่องการให้พูดชื่นชม…อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหมดต่างก็เป็นอาจารย์ คงไม่เป็นไรหรอก” หวังเป่าเล่อส่งเสียงกระแอมไอ หลังจากตัดสินใจได้แล้วก็สนทนาเรื่องสัพเพเหระกับเซี่ยไห่หยาง จนกระทั่งเงาร่างของทั้งสองกลายเป็นสายรุ้งเข้าสู่ภายในดาวเอกเพลิง จึงส่งเสียงร้องเสียดฟ้า เหาะพุ่งตรงไปยังหอคอยที่ปรมาจารย์แห่งไฟ รวมทั้งหวังเป่าเล่อและเหล่าศิษย์อาศัยอยู่
เมื่อเห็นว่าใกล้เข้าไปแล้ว เซี่ยไห่หยางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง การเดินทางครั้งนี้ก็ยังเป็นกังวล แม้ในใจเขาจะคิดว่าแผนการไม่น่ามีปัญหา แต่ก็อดที่จะกระซิบถามหวังเป่าเล่อไม่ได้
“สหายเป่าเล่อ เจ้ารู้ไหมว่าในศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านั้น ผู้ใดมีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินชิงจื่อ”
“เฉินชิงจื่อหรือ” หวังเป่าเล่อถึงกับตะลึงไปจริงๆ และมองไปทางเซี่ยไห่หยางด้วยความประหลาดใจ
“ก็คือราชันสวรรค์คนแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้ที่สามารถต่อสู้จักรพรรดิสวรรค์ได้ราวกับเป็นเทพมารที่น่าหวาดผวายิ่งนัก ผู้ที่เคยเป็นศิษย์สำนักแห่งความมืด…เฉินชิงจื่อ!” เซี่ยไห่หยางอธิบายเสียงเบา พูดจบเขาก็ถอนหายใจ
“เจ้าคงไม่รู้จักคนผู้นี้สินะ…”
หวังเป่าเล่อมีสีหน้าประหลาด แอบพูดว่าถ้าข้าไม่รู้ก็ไม่มีผู้ใดรู้แล้ว แต่กลับไม่ได้แสดงสิ่งใดออกมาแม้แต่น้อย ได้แต่ทำหน้าประหลาดใจ
“ตกลงเจ้าต้องการหาเฉินชิงจื่อผู้นี้ หรือศิษย์พี่ขายหญิงของข้ากันแน่”
“เจ้าก็บอกข้าว่า รู้จักคนที่สนิทสนมกับเขาผู้นั้นหรือไม่ก็พอแล้ว” เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านพ่อของเขา เซี่ยไห่หยางก็หงุดหงิดขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะตอบกลับ
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่ก็ยังตอบกลับอีกฝ่ายอย่างอดทน
“พูดตามตรง ข้ามาที่ดาราจักรไฟได้ไม่นาน ไม่เคยได้ยินว่าศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านั้นของข้า มีผู้ใดมีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินชิงจื่อเลย…แต่…” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดยังไม่ทันได้กล่าวออกมา เซี่ยไห่หยางก็ส่ายหน้าถอนหายใจแล้ว
“ช่างมันเถอะ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” เดิมทีเซี่ยไห่หยางก็ไม่ได้ฝากความหวังไว้กับหวังเป่าเล่อ เมื่อครู่ก็เป็นเพราะมีความกังวลจึงได้สอบถาม เขายังหงุดหงิดอยู่ในใจ เมื่อเห็นหอคอยที่ตั้งอยู่ข้างหน้า ดังนั้นหลังจากได้ฟังคำพูดในส่วนแรกของหวังเป่าเล่อก็ไม่มีอารมณ์ที่จะฟังส่วนหลังแล้ว เขาประสานหมัดคำนับไปทางหวังเป่าเล่อ แล้วออกล่วงหน้าไปก่อน
หวังเป่าเล่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองเซี่ยไห่หยางที่พุ่งตรงไปที่หอคอยของปรมาจารย์แห่งไฟ อดที่จะกล่าวไม่ได้
“เซี่ยไห่หยาง เจ้าหาเฉินชิงจื่อด้วยเหตุใด”
หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น ด้วยความเฉลียวฉลาดของเซี่ยไห่หยาง บางทีอาจเข้าใจความหมายพิเศษจากคำพูดนี้ แต่เวลานี้ในใจของเขาหวาดวิตกจึงได้ละเลย โดยเฉพาะเมื่อถูกหวังเป่าเล่อถามเรื่องส่วนตัวไม่หยุด เขาเกิดความรู้สึกหมดความอดทนอยู่บ้าง
“เป่าเล่อ เรื่องนี้บอกเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าช่วยไม่ได้หรอก รอให้ข้าคารวะท่านปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว หลังจากได้รับคำตอบรับ จะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าด้วยตัวเอง” พูดพลาง เซี่ยไห่หยางก็ไม่หันกลับมามอง รีบเหาะใกล้เข้าไปหอคอยของปรมาจารย์แห่งไฟ หลังจากหยุดอยู่ด้านนอก เขาประสานหมัดคำนับอย่างนอบน้อมไปทางหอคอย สีหน้าแสดงความเคารพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมเอ่ยปากเสียงดัง
“ผู้น้อยเซี่ยไห่หยาง ขอพบท่านปรมาจารย์แห่งไฟ!”
“เข้ามา!” “การมาถึงของเซี่ยไห่หยาง ย่อมไม่พ้นสัมผัสเทพของปรมาจารย์แห่งไฟ อันที่จริงตั้งแต่เขาย่างก้าวสู่ดาราจักรไฟ ปรมาจารย์แห่งไฟก็รู้แล้ว เวลานี้ประตูใหญ่หอคอยค่อยๆ เปิดออก ตามเสียงที่ส่งออกไป เซี่ยไห่หยางสูดหายใจเข้าลึก ก้าวเข้าสู่ภายในด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หวังเป่าเล่อมองดูเซี่ยไห่หยางเข้าสู่หอคอยของท่านอาจารย์ด้วยความไม่พอใจ แอบคิดว่าจากคำกล่าวของเจ้าเซี่ยไห่หยางนี้เห็นชัดว่าตนเองไม่มีประโยชน์มากนักในเรื่องนี้ นี่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่พอใจนัก แอบคิดว่าเดิมทีตนคิดจะช่วย ตอนนี้ไม่แล้ว หันกายแล้วบินมุ่งไปทางหอคอยของตนไป
หลังจากกลับมาถึงหอคอย หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิลง ดวงตาก็หรี่ลงช้าๆ เขายังคงอดคิดถึงคำสนทนากับเซี่ยไห่หยางระหว่างทางที่มาไม่ได้ ดวงตาค่อยๆ ปรากฏแววครุ่นคิด
“การกระทำของเซี่ยไห่หยางเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างจะขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ…แต่ด้วยอำนาจของตระกูลเซี่ยที่ไม่ได้ขาดแคลนผู้เยี่ยมยุทธ์ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วไม่น่าจะมีสิ่งใดที่ไม่อาจแก้ไขได้ เว้นแต่…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ ขณะเดียวกันเซี่ยไห่หยางร้อนรนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้นกับเขาเป็นการส่วนตัว และอาจไปไกลถึงตระกูลของเขา”
“และเซี่ยไห่หยางมาถึงที่นี่…น่าจะเป็นเพราะไม่อาจติดต่อเฉินชิงจื่อได้ ดังนั้นจึงถามศิษย์พี่ชายหญิงของข้าคนใดมีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินชิงจื่่อ…ภายในนี้ต้องเป็นอาจารย์เคยกล่าวอะไรกับเขาแล้ว ดังนั้นจึงได้ทำให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าก็พอคาดเดาเรื่องนี้ได้เจ็ดแปดส่วนจากการแสดงออกของเซี่ยไห่หย่าง
จากนั้นก็แสดงสีหน้าประหลาด เงยหน้ามองออกไปที่หอคอยของท่านอาจารย์
“นี่เป็นหลุมพรางที่อาจารย์ขุดให้เซี่ยไห่หยาง เขาน่าจะบอกเซี่ยไห่หยางอย่างคร่าวๆ ว่าตนเองมีศิษย์ผู้หนึ่ง มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเฉินชิงจื่อ…” พอคิดมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่ออดส่งเสียงกระแอมไอออกมา จิตใจก็แจ่มใสขึ้นมา ดวงตาค่อยๆ เป็นประกาย
“หากคาดไม่ผิด ในไม่ช้าเจ้าเซี่ยไห่หยางนี้ก็จะมาหาข้าแล้ว…สหายไห่หยาง ข้าเห็นใจเจ้าจริงๆ” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ความคาดหวังที่ไม่สามารถควบคุมได้เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ แทบจะตั้งตารอไม่ไหว
“นอกจากนี้เขาพอจะรู้แล้วว่าศิษย์พี่ไปที่ใดผ่านทางเซี่ยไห่หยาง…คนผู้นี้ทิ้งข้าไว้ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แล้วก็หายตัวไป…” หวังเป่าเล่อลูบคิ้ว รู้ว่าตนจะรู้คำตอบเรื่องเหล่านี้ได้ในไม่ช้า ดังนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก หลับตาเข้าสมาธิ รอคอยการมาของเซี่ยไห่หยาง
และเขาตัดสินใจไม่ผิด เวลานี้ภายในหอคอยของปรมาจารย์แห่งไฟ เซี่ยไห่หยางกำลังคุกเข่าอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าศรัทธา และมีกระเป๋าคลังเก็บสีทองสามใบวางอยู่ตรงหน้า
ส่วนปรมาจารย์แห่งไฟนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้ามีเลศนัย ที่ด้านข้างยังมีศิษย์พี่หญิงใหญ่ของหวังเป่าเล่อ เวลานี้ยืนเคร่งขรึมอยู่ข้างๆ ขณะที่มองประเมินเซี่ยไห่หยางอยู่ ปรมาจารย์แห่งไฟกล่าวขึ้นเบาๆ
“เจ้าต้องการคำนับข้าเป็นอาจารย์หรือ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ผู้เฒ่าไม่รับศิษย์อีกแล้ว หากเจ้ามีใจจริงก็คำนับศิษย์คนโตของข้านี้เป็นอาจารย์ก็แล้วกัน”
เซี่ยไห่หยางได้ฟังก็ลังเลไป แต่ในไม่ช้าก็แอบกัดฟัน คุกเข่าคำนับไปทางศิษย์คนโตที่อยู่ข้างปรมาจารย์แห่งไฟแล้วกล่าวเสียงดัง
“ยังขอให้อาจารย์ยินยอม รับไห่หยางไว้ ไห่หยางจะสำนึกบุญคุณอาจารย์อย่างแน่นอน”
“เรื่องนี้…” สีหน้าศิษย์พี่หญิงใหญ่เกิดความลังเล มองไปทางปรมาจารย์แห่งไฟ ปรมาจารย์แห่งไฟลูบเคราเป็นทีว่าแล้วแต่ตัวเจ้า
เมื่อเซี่ยไห่หยางได้เห็นเหตุการณ์นี้ ในใจเขาก็ร้อนรน หลังจากคุกเข่าคำนับอีกครั้งก็หยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาอีกหลายอัน วางไว้ตรงหน้าแล้วอ้อนวอนขึ้นอีกครั้ง
ท้ายที่สุดศิษย์พี่หญิงใหญ่พยักหน้าอย่างลำบากใจ จึงหมายถึงได้รับเซี่ยไห่หยางเป็นศิษย์ในสำนักแล้ว เมื่อเห็นว่าแผนสำเร็จ ในใจเซี่ยไห่หยางยินดียิ่งนัก และไม่คำนึงถึงลำดับอาวุโสเลย เขารีบเอ่ยปากอย่างร้อนรน ต่อหน้าปรมาจารย์แห่งไฟ
“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่หญิง ท่านช่วยบอกศิษย์ได้หรือไม่ ในหมู่พวกเรา อาจารย์อาท่านใดมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินชิงจื่อ”
เมื่อได้ฟังเซี่ยไห่หยางกล่าว ปรมาจารย์แห่งไฟก็หรี่ตาแต่ไม่พูด และสีหน้าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่อยู่ข้างท่านก็เปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งขรึมเป็นประหลาดใจ หลังจากส่งเสียงกระแอมไอก็กล่าวขึ้น
“หากกล่าวถึงศิษย์อาเหล่านั้นของเจ้าที่สนิทสนมกับเฉินชิงจื่อดั่งพี่น้อง ที่จริงแล้ว…เจ้าก็รู้จัก”
ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของหวังเป่าเล่อกล่าวออกมา ยังไม่รอให้กล่าวจบ เซี่ยไห่หยางก็รู้สึกตระหนก รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติจากคำกล่าวนี้…
…………………………….