หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1029 ชื่อเสียงเริ่มฉาย!
ฟังที่หวังเป่าเล่อพูด แล้วเห็นถึงสายตาของหวังเป่าเล่อ สังเกตเห็นว่าเขาเลียริมฝีปาก เจ้าอ้วนน้อยก็รู้สึกท่าไม่ดี ย้อนนึกถึงประสบการณ์การถูกเล่นงานหลายครั้งในสุสานดวงดาราในทันที
“ใครบอกว่าข้าต้องการดาบเล่มนี้กัน? ข้าไม่ต้องการ!” เขาส่ายหัวในทันที แสดงท่าทีอย่างไม่ใส่ใจ ยกมือขวาขึ้นโบก แล้วหยิบบัตรผลึกสีชาดที่มีมูลค่าหนึ่งหมื่นผลึกสีชาดออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ แล้วโยนให้กับหวังเป่าเล่อ
“สิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้หมายถึงกระบี่บินเล่มนี้ไม่เลว คุ้มค่าที่ข้าจะจ่ายผลึกสีชาดหนึ่งหมื่นแต้มเพื่อดูมัน!” พูดจบ เจ้าอ้วนน้อยก็โยนบัตรออกไปและหันหลังจากไปโดยไม่เหลียวมองแม้แต่น้อย
ฉากนี้ ทำให้ชายชราสามคนด้านหน้าเขาอึ้งไปในทันที พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ เพราะความจริงแล้วในความคิดของพวกเขา นายน้อยของพวกเขาก็เป็นเหมือนพ่อไก่เหล็ก ใช้คำว่าตระหนี่ขี้เหนียวก็ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก ในบางมุม การให้เขาจ่ายเงินก็เหมือนกับการควักหัวใจเฉือนไต ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ตอนนี้…ทั้งสามคนเห็นกับตาตัวเองจริงๆ ว่านายน้อยโยนหนึ่งหมื่นผลึกสีชาดออกไปด้วยตัวเอง ขณะนี้มีแต่ความสงสัย ชายชราทั้งสามต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็มองไปทางหวังเป่าเล่อแล้วจึงจากไปพร้อมกับเจ้าอ้วนน้อย
และคนที่มีความสงสัยเหมือนกันยังมีเซี่ยไห่หยาง เขารู้สึกว่าฉากนี้มันแปลกเกินไปแล้ว อดไม่ได้ที่มองไปทางหวังเป่าเล่อ ส่วนด้านของหวังเป่าเล่อนั้น หลังจากรับบัตรผลึกไว้เขาก็แปลกใจเหมือนกัน
“เจ้าอ้วนน้อยให้เงินข้าทำไมกัน? ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ก็แค่ถามเขาว่าเขาแน่ใจว่าจะซื้อกระบี่บินเล่มนี้ใช่หรือไม่ เท่านั้นเอง“ หวังเป่าเล่อเองก็นึกไม่ออกว่าเจ้าอ้วนน้อยคิดอะไรอยู่ เขาแค่ถามจริงๆ ไม่มีความคิดอื่นใดเลย ส่วนการเลียริมฝีปาก นั่นเป็นเพียงการแสดงออกโดยจิตใต้สำนึกอย่างหนึ่ง เวลาเห็นคนที่ตัวเองเคยเล่นงานหลายครั้งเท่านั้น
“หรือว่าเสน่ห์ของข้า แม้แต่ผู้ชายก็ทนไม่ได้หรือ?” หวังเป่าเล่อคิดมาถึงตรงนี้ก็หายใจเข้า ส่วนเซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างๆ สับสนอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหวังเป่าเล่อนั้นยากจะคาดเดาขึ้นไปอีก
ในเวลาเดียวกัน ภายในร้าน เจ้าอ้วนน้อยที่จากไปอย่างรวดเร็วก็เดินเร็วขึ้นหลังจากที่เดินออกมาจากร้านแล้ว กระทั่งวิ่งไปหลายซอยเขาถึงได้โล่งใจ เช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก
ชายชราทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลังเขา ในขณะนี้ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หนึ่งในนั้นถามขึ้นมาว่า
“นายน้อย เหตุใดถึงต้องให้ผลึกสีชาดกับอีกฝ่ายด้วย?”
“พวกท่านไม่เข้าใจ!” เจ้าอ้วนน้อยหันไปมองยังทิศทางของร้านที่หวังเป่าเล่ออยู่
“เจ้าหมอนั่นไม่ใช่คนดีอะไร ชอบที่จะขุดหลุมให้คนอื่น เก่งเรื่องขู่กรรโชก หลอกลวง เป็นคนไร้ยางอายที่สามารถทำทุกอย่างได้เพื่อรีดทรัพย์คนอื่น!”
“หากข้าบอกว่าจะซื้อละก็ เขาจะต้องทำอะไรอย่างแน่นอน อย่างเช่นชั่วขณะที่ส่งกระบี่เล่มนั้นให้ข้า มันก็จะหัก จากนั้นข้าก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่กระบี่นั่นอาจจะเป็นแค่ตัวล่อ หากข้าซื้อไปแล้วเกิดโดนพิษขึ้นมา เขาก็จะมาขายยาแก้พิษ หรือแค่ข้าพยักหน้าก็จะมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากปรากฏขึ้นรอบๆ แล้วบอกกับข้าว่าป้ายราคาของกระบี่เล่มนี้แสดงผิดไป!” เจ้าอ้วนน้อยยืนอยู่ที่นั่น ท่าทางเหมือนเข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำเอาชายชราทั้งสามฟังแล้วก็ต่างมองหน้ากัน
“อืมๆ เมื่อครู่มันอันตรายมากนะ หากข้าไม่ได้ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ยอมเสียทรัพย์เพื่อเลี่ยงภัยละก็ คงจะถูกเซี่ยต้าลู่เล่นงานอีกครั้งแน่นอน เซี่ยต้าลู่เอ๋ยเซี่ยต้าลู่ ความชั่วในท้องของเจ้า อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้ เจ้าจะต้องมีกลอีกมากมายรอข้าอยู่ จนสุดท้ายต้องยอมจ่ายผลึกสีชาดนับแสนหรือมากกว่านั้นเป็นแน่!” เมื่อโจวหลินเฟิงคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากจริงๆ ในทันใด
“อีกหน่อยพวกเจ้าก็จะรู้เอง เจ้าหมอนี่…น่ากลัวมาก!” เจ้าอ้วนน้อยสูดหายใจเข้าลึกๆ เขารู้สึกว่าห่างขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ค่อยปลอดภัยอยู่ดี ดังนั้นจึงเร่งความเร็วและวิ่งหนีต่อไปอีก แต่ก็ไปได้ไม่ไกลนัก อยู่ๆ เจ้าอ้วนน้อยก็หยุดลงแล้วตบต้นขาไปทีหนึ่ง
“ข้ารู้แล้ว สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้มันไม่ใช่สไตล์ของเขา เซี่ยต้าลู่จะต้องใช้วิธีอะไรสักอย่างทำให้กระบี่บินระเบิดในทันทีที่ส่งกระบี่ให้ข้า ซึ่งทำให้เขาโดนลูกหลงไปด้วย และแสร้งทำเป็นว่าข้าแอบลงมือกับเขา ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และที่นี่คือตลาดของตระกูลเซี่ย เขาจะต้องเล่นงานข้า ให้ข้าต้องจ่ายชดเชยผลึกสีชาดนับล้านอย่างแน่นอน!”
“ร้ายกาจ ช่างร้ายกาจนัก!” เจ้าอ้วนน้อยคิดแล้วก็กลัว หันกลับไปมองยังที่ตั้งของร้านที่หวังเป่าเล่ออยู่ ก่อนจะหันหลังแล้ววิ่งหนีเร็วขึ้นอีก
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้หวังเป่าเล่อไม่ทราบแต่อย่างใด ในขณะนี้เขาถือกระบี่บิน ข่มความประหลาดใจไว้ แล้วเดินเล่นบนเรือเหาะต่อพร้อมกับเซี่ยไห่หยาง
ระหว่างทางนี้ สิ่งของที่ซื้อเยอะจนกระเป๋าคลังเก็บหวังเป่าเล่อไม่พอใส่ สุดท้ายเซี่ยไห่หยางก็ต้องซื้อกระเป๋าคลังเก็บขนาดใหญ่ขึ้นให้เขาอันหนึ่ง
กระทั่งผ่านไปครึ่งเดือน เมื่อตลาดอวกาศเข้าใกล้ดาวชะตามากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางก็หยุดพักหลายครั้ง มีผู้ฝึกตนมากมายไปๆ มาๆ ทำให้เรือเหาะนี้ยิ่งคึกคักขึ้นไปอีก แล้วหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางก็มาถึงเรือเหาะอันดับหนึ่ง
เรือเหาะอันดับหนึ่งนี้ เป็นเรือลำแรกในตลาดอวกาศตระกูลเซี่ย ซึ่งแยกตัวออกจากดาราจักรชะตา มีไว้ขนส่งผู้ฝึกตนทั้งหมดที่จะไปดาวชะตาโดยเฉพาะ ส่วนเรืออื่นๆ จะอยู่นอกดาราจักรชะตา เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ตลาดที่จะไปต่อจากนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตลาดอวกาศ
ในขณะนี้ ในห้องรับรองพิเศษบนเรือเหาะอันดับหนึ่ง หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนระเบียง มองไปที่ยังตลาดเบื้องล่าง เซี่ยไห่หยางยืนข้างๆ เขา และพูดด้วยเสียงต่ำ
“ตรวจสอบชัดเจนแล้ว บนเรือเหาะอันดับหนึ่งมีผู้ฝึกตนประมาณสองหมื่นคนที่เดินทางไปยังดาวชะตา นอกจากคนที่ไปพิธีฉลองอายุจำนวนหนึ่งแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่เปลี่ยนเรือเหาะที่ดาวชะตา ในบรรดาคนที่ไปพิธีฉลองอายุ มีทั้งหมดเจ็ดคนที่เคยผ่านสุสานดวงดารากับอาจารย์อาสิบหก” เซี่ยไห่หยางพูดมาถึงตรงนี้ มองดูหวังเป่าเล่อแล้วจึงพูดชื่อคนทั้งเจ็ดออกมา นอกจากหวังเป่าเล่อแล้ว ชื่อส่วนใหญ่หวังเป่าเล่อฟังแล้วไม่คุ้น แต่เขาเชื่อว่าขอแค่ให้เขาได้เจอ เขาก็จะรู้จักเป็นแน่ เพราะที่สุสานดารา แทบทุกคนต่างเคยถูกเขาเล่นงานมาก่อนทั้งสิ้น
“สำหรับหลี่หว่านเอ๋อร์ ตรวจสอบไม่พบ”
“และยังมีสวี่อินหลิงจากสำนักเก้าวิหคเพลิง หลังจากผู้หญิงคนนี้ผนึกกายเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าแล้ว ตำแหน่งของนางในสำนักเก้าวิหคเพลิงก็ไต่ขึ้นสูงเรื่อยๆ ตอนนี้นางเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง แน่นอนว่านางไม่มีทางมานั่งเรือเหาะอวกาศตระกูลเซี่ยเป็นธรรมดา”
“แต่ว่า…” เซี่ยไห่หยางพูดหยุดชั่วคราว
“อะไร?” หวังเป่าเล่อมองไปยังเซี่ยไห่หยาง
“ถึงแม้สำนักวิหคเพลิงจะไม่พูดอะไร แต่ได้ยินว่าเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ สวี่อินหลิงเคยแสดงออกถึงความชื่นชมต่ออาจารย์อาสิบหกต่อหน้าคนรุ่นเดียวกันมากมายในหลายสถานการณ์ และยังได้เอ่ยว่าเพราะท่านได้รับพลังจากดาวเคราะห์เต๋า แม้ว่าจะยังไม่ได้ผนึกกายเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าโดยสมบูรณ์ แต่ท่านก็ยังคงเป็นคนที่อยู่ในสามอันดับแรกในบรรดามหาศิษย์แห่งเต๋าของรุ่นนี้ และตัวนางมีผู้รักใคร่มากมาย ดังนั้น… ” เซี่ยไห่หยางสีหน้าแปลกไป
“สร้างศัตรูให้ข้าและบอกใบ้ให้คนอื่น ดาวเคราะห์เต๋าของข้ายังไม่ได้ถูกผนึกเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นมันจึงสามารถถูกชิงไปได้ และในขณะเดียวกันก็ผลักให้ข้ากลายเป็นศัตรูของทุกคน ผู้หญิงแห่งสำนักเก้าวิหคเพลิงคนนี้ค่อนข้างปัญญาอ่อนนะ ดูเหมือนว่าในสุสานดวงดารา นางยังถูกเล่นงานไม่พอ” หวังเป่าเล่อยิ้มด้วยแววตาที่เย็นชา เห็นร่างที่ค่อนข้างคุ้นเคยในตลาดด้านล่าง
ซึ่งก็คือหลี่หลินจื่อ คนที่ไม่ถูกกับหวังเป่าเล่อในตอนเริ่มต้นที่สุสานดวงดารา เป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าชั้นปลายที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง ตอนนี้เขากำลังเดินผ่านไปพร้อมกับผู้ติดตาม เห็นชัดว่าการฝึกฝนถึงชั้นดาวเคราะห์แล้ว แม้จะไม่ใช่ดาวเคราะห์พิเศษแต่ก็เป็นขั้นดาวเคราะห์อมตะ ในขณะที่หวังเป่าเล่อมองไป อีกฝ่ายรู้สึกได้รางๆ จึงเงยหน้ามองไปยังหวังเป่าเล่อตามสัมผัสความรู้สึก
เมื่อมองขึ้นไปหลี่หลินจื่อก็หรี่ตาลงทันที หลังจากหยุดยืนอยู่ที่นั่น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นคำนับช้าๆ ไปทางหวังเป่าเล่อที่อยู่บนระเบียง ถึงได้จากไป
ฉากนี้ ถูกเซี่ยไห่หยางมองเห็นเป็นธรรมดา ทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องราวในสุสานดวงดาราของหวังเป่าเล่อ ข้อมูลที่เขารวบรวมมาต่างก็เป็นคำบอกเล่าจากคนรอบข้าง เขาไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ได้มีภาพทรงจำอะไรพิเศษ มีความรู้สึกบางอย่างรางๆ ดูเหมือนพูดเกินจริงไปหน่อย แต่ตอนนี้แม้พลังของตระกูลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กอย่างโจวหลินเฟิงและหลี่หลินจื่อที่กลัวหวังเป่าเล่อมาก และสามารถเห็นได้จากสิ่งนี้ว่า สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายในสุสานดวงดาราไม่ใช่แค่ไม่เกินจริง แต่มันเกินกว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ด้วยซ้ำไป
“อาจารย์อาสิบหกต้องระวัง การเดินทางไปยังดาวชะตาครานี้… เกรงว่าจะมีเหตุพลิกผันบ้าง คนรู้จักพวกนั้นของท่านในสุสานดวงดาราอาจจะมากันหมด และบางคนที่ไม่ได้ไปสุสานดวงดารา เดิมทีเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าของดาวเคราะห์อยู่แล้ว ก็ปรากฎบนดาวชะตานั้นด้วย ”
“ดังนั้นท่านที่มีดาวเคราะห์เต๋าจึงมีโอกาสสูงที่จะถูกเล่นงาน! ”
“แบบนี้ น่าสนใจมากไม่ใช่หรือ?” หวังเป่าเล่อหัวเราะ ในขณะนี้จิตแห่งสงครามลุกขึ้นในดวงตาของเขา เขารู้สึกว่าตัวเองสงบเสงี่ยมนานเกินไปแล้วหลังกลับมาจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในเมื่อตอนนี้ได้เจอคนรู้จักแล้ว ก็ถึงเวลาแล้วที่จะกลับมาสร้างบารมีใหม่อีกครั้ง
และนี่ก็สอดคล้องกับความเด็ดขาดที่เกิดจากการฝึกฝนเวทผนึกดาราของเขา!
“บางที นี่อาจเป็นสิ่งที่อาจารย์ต้องการ!”
…………………………..