หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1034 ความสงสัยของเซี่ยไห่หยาง!
ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงดารานิรันดร์ผู้นี้ก็อยู่ขั้นดารานิรันดร์ระดับกลางเช่นกัน เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาดารานิรันดร์ทั้งแปดผู้คุ้มครองหวังเป่าเล่อ ตอนนี้กำลังยืนด้านหลังหวังเป่าเล่อร่วมกับทุกคน จ้องมองผู้เฒ่าคุ้มครองนั่นด้วยแววตาเยือกเย็น
ยิ่งมองก็ยิ่งเหม็นขี้หน้า
และการปรากฏตัวออกเขาได้ทำให้ผู้เฒ่าคุ้มครองตระกูลเซี่ยนั้นนัยน์ตาหรี่ลง ผู้คุ้มครองข้างๆ ที่เหลือแววตาล้วนเปลี่ยนไป ต่างเดินขึ้นหน้า จ้องผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงรวมทั้งดารานิรันดร์ข้างๆ ราวกับเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง
หลังจากกวาดตามองจนครบทุกคน นัยน์ตาพวกเขาต่างฉายแววเคร่งเครียด
“ดาราจักรไฟช่างฟุ่มเฟือยเสียจริง คาดไม่ถึงว่าเลือกระดับดารานิรันดร์เป็นผู้คุ้มครอง! ทุกท่านไม่รู้สึกขุ่นเคืองสักนิดเลยหรือ?” ผู้เฒ่าชุดดำกล่าวเนิบๆ
“ขุ่นเคือง? ระดับข้าได้คุ้มครองนายน้อยถือเป็นสิ่งที่เป็นเกียรติอย่างสูง ทั้งสามารถคุ้มครองนายน้อยให้ปลอดภัย ทั้งยังสามารถตอบแทนบุญคุณนายท่าน นี่ใช่สิ่งที่เจ้าระดับดารานิรันดร์ทั่วไป เต๋าเหลืองทำได้งั้นหรือ!” ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงหัวเราะร่วน ผู้อาวุโสที่เหลือต่างร่วมวงหัวเราะตาม
สถานการณ์นี้ทำให้ผู้คุ้มครองตระกูลเซี่ยเหล่านั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน พวกเขาระดับดารานิรันดร์ย่อมรู้ดีว่าระดับดารานิรันดร์แบ่งเป็นห้าระดับ คล้ายกับการแบ่งระดับเซียน ระดับวิญญาณ ระดับทั่วไปของดาวพระเคราะห์ ส่วนระดับดารานิรันดร์แบ่งเป็นสวรรค์ พิภพ นิลดำ อำพัน ทั่วไป!
ในโลกของผู้ฝึกตนระดับเดียวกัน ระดับขั้นที่แตกต่างกันความแข็งแกร่งก็ต่างกันลิบลับ
ปกติแล้วสถานะของผู้คุ้มครองถึงแม้ต้องเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจถึงจะเป็นได้ ทว่าในอีกมุมก็คือการอารักขา ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ต่างมีความหยิ่งทะนงในตัว ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่มีอำนาจก็ไม่สามารถดูหมิ่นหยามเหยียดกันง่ายๆ ได้ จะให้คุ้มครองผู้น้อยก็ยิ่งต้องเคารพให้เกียรติ
ทว่าต่อให้เป็นแบบนี้ ผู้ที่มีระดับสูงกว่านิลดำก็จะไม่เลือกเป็นผู้คุ้มครอง แม้จะเป็นขั้นอำพันที่ต่ำลงมาอีกขั้นก็น้อยมากที่จะเป็นผู้คุ้มครอง โดยทั่วไปมักจะเป็นดารานิรันดร์ขั้นทั่วไปเสียมาก เพราะคุณสมบัติและโอกาสไม่มากไปกว่านี้แล้ว ยากที่จะไต่ขึ้นสูงได้อีกจึงต้องเลือกเป็นผู้คุ้มครอง ใช้ความภักดีและผลงานแลกกับโอกาสที่นายท่านมอบให้
ก็เหมือนกับผู้คุ้มครองตระกูลเซี่ยอวิ๋นเถิงเหล่านั้น นอกจากผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่ขั้นอำพัน ที่เหลือล้วนเป็นขั้นทั่วไป ทว่าเมื่อกลับมาทางด้านหวังเป่าเล่อ นอกจากผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงที่เหลือล้วนเป็นดารานิรันดร์ขั้นอำพัน ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงนั้นกลับสูงกว่าอีกขั้นคือดารานิรันดร์นิลดำ!
ดังนั้นวินาทีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นจึงทำให้ผู้เฒ่าชุดดำสีหน้าเปลี่ยนไป ในขณะที่แอบตื่นตระหนก เขาพลางนึกถึงคำเล่าลือของโลกภายนอกเรื่องความลำเอียงของผู้อาวุโสอารยธรรมวิญญาณเพลิง
ดังนั้น ผู้เฒ่าชุดดำสีหน้าอึมครึม สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งพร้อมแค่นเสียงต่ำ
“กลับ!”
เขาเอ่ยพลางถอยกลับ ทว่าเซี่ยอวิ๋นเถิงเวลานี้ท่าทางแลผิดปกติราวกับอยู่ในภวังค์ตามการชักจูงของผู้คุ้มครองข้างกาย เมื่อเห็นเขาถอยหลังเตรียมจากไป หวังเป่าเล่อหรี่ตาเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า
“คำอธิบายเล่า?”
เมื่อประโยคนี้ลอยมา ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงก็ราวกับมีแกนนำ หัวเราะลั่นพร้อมระเบิดพลังปราณขึ้นทันที แยกตัวจากผู้คุ้มครองดาราจักรไฟระดับดารานิรันดร์ในกลุ่มพุ่งตรงเข้าขวางเซี่ยอวิ๋นเถิงในทันใด
“ที่นี่คือตลาดอวกาศของตระกูลเซี่ย!!” ผู้เฒ่าชุดดำตะคอกกลับ
“แล้วอย่างไร? พวกข้าคือดาราจักรไฟ!” ผู้ที่ตอกกลับอย่างภาคภูมิคือผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิง น้ำเสียงที่มั่นอกมั่นใจแบบนี้ทำให้ผู้เฒ่าชุดดำถึงกับสะอึก
“เจ้า…”
ผู้ชมรอบๆ ล้วนมีสีหน้าต่างกันออกไป ยกระดับความอยากรู้อยากเห็น
“เจ้า เจ้า อะไร นายน้อยต่อสู้กัน เจ้าจะมาร่วมวงทำไม แถมยังคิดจะทำลายพลังเทพของนายน้อยตระกูลข้า ถือเป็นการไม่เคารพนายท่านแห่งดาราจักรไฟ หากวันนี้ไม่มีคำอธิบาย ข้าคงต้องจับเจ้าไปรับผิดต่อดาราจักรไฟ!” ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงแววตาเย็นเยียบ กล่าวอย่างเนิบช้า
ความเผด็จการเช่นนี้ทำให้ผู้เฒ่าชุดดำลมหายใจกระชั้น เมื่อคำนึงถึงความแกร่งกล้าและเบื้องหลังของฝ่ายตรงข้าม เขาทำได้เพียงอดกลั้น มองไปทางนายน้อยของตัวเอง เมื่อเห็นเซี่ยอวิ๋นเถิงที่ในเวลานี้จิตใจยังคงไม่เข้าร่องเข้ารอยก็อดทอดถอนใจไม่ได้
“พวกเจ้าต้องการคำอธิบายอย่างไร?”
หวังเป่าเล่อหรี่ตาพลางกระซิบกับผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิง ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงเลิกคิ้วหัวเราะขึ้นก่อนหันไปทางผู้เฒ่าชุดดำแล้วเอ่ยว่า
“นายน้อยเมตตา พวกเจ้าจัดการจ่ายบัญชีที่ช่วงนี้นายน้อยเซี่ยติดไว้ก็พอ”
เซี่ยไห่หยางกะพริบตาปริบๆ ควักแผ่นหยกออกมาอย่างว่องไว หลังจากประทับลงไปอีกหลายรายการก็รีบโยนออกไปทันที แผ่นหยกลอยออกไป เมื่อผู้เฒ่าชุดดำใช้จิตวิญญาณกวาดดู สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“หนึ่งร้อยดาราวิญญาณ? ไม่มีทาง บนเรือบินลำนี้เดิมทีก็ไม่มีดาราวิญญาณหนึ่งร้อยดวง พวกเจ้า…”
“ตกลง แต่ต้องให้คำตอบข้าข้อหนึ่ง!” ไม่รอผู้เฒ่าพูดจบ เซี่ยอวิ๋นเถิงที่อยู่ข้างๆ ในที่สุดก็หลุดออกจากภวังค์เป็นปกติแล้ว หลังจากพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาไม่เหลือบมองแผ่นหยกในมือผู้เฒ่าชุดดำแต่พูดกับหวังเป่าเล่อ
“ที่เจ้าใช้เมื่อครู่ คือกฎแห่งใยไหม?”
“เจ้าคิดว่าไงล่ะ” หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ยอมรับและก็ไม่ได้ปฏิเสธ ความลับของกฎดาวเคราะห์เต๋าของเขา เดิมทีก็คงปกปิดไม่ได้นานอยู่แล้ว ถึงอย่างไรในช่วงแรกที่อยู่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กับตอนสู้กับอารยธรรมครามทองคำเขาก็เคยใช้กฎแห่งกระดาษไปแล้ว หากมีคนใส่ใจอยากรู้แค่เพียงตรวจสอบก็พอจะเข้าใจได้
และหากเมื่อครู่นี้ไม่ใช้กฎแห่งกระดาษให้เทพวัวสลายร่างกลายเป็นใยไหมก็เสียหายคงไม่น้อย ดังนั้นวินาทีที่ลงมือ หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ใส่ใจอีกว่าจะเผยความลับออกไปหรือไม่
ดังนั้นเมื่อคำตอบเขาลอยเข้าหูเซี่ยอวิ๋นเถิง เขาก็ได้รับคำตอบแล้ว นัยน์ตาเผยความหวาดกลัว นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนหันมองหวังเป่าเล่ออย่างลึกล้ำก่อนหมุนกายพาคนจากไป
ทางด้านเซี่ยไห่หยางเวลานี้สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพราะในนาทีที่หวังเป่าเล่อแสดงกฎแห่งใยไหม เขาก็ตะลึงนำไปเรียบร้อยแล้ว เวลานั้นราวกับมีคลื่นยักษ์ซัดอยู่ในใจซึ่ง ณ ตอนนี้ได้ถูกเขากดลงมาอย่างสุดความสามารถ ทว่าหลังจากในใจเขาได้คำตอบแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดที่เลือกกราบเข้าดาราจักรไฟและพยายามผูกมิตรกับหวังเป่าเล่อ
“กฎแห่งการคัดลอกงั้นหรือ…กฎเหนือธรรมาชาติแบบนี้ หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องไประดับจักรพิภพแล้ว ขอแค่เขาถึงระดับดารานิรันดร์ก็ยากที่จะบดบังความโดดเด่นของเขา!”
“แถมเขายังมีปรมาจารย์แห่งไฟคอยออกหน้าปกป้อง ทั้งยังสนิทสนมกับเฉินชิงจื่อ ถ้าคิดจะลงมือกับเขาต่อให้เป็นตระกูลไม่รู้สิ้นก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีก!”พอคิดถึงตรงนี้ เซี่ยไห่หยางสูดลมหายใจลึก ลุกขึ้นออกจากระเบียงไปอย่างไว ก่อนก้มคำนับหวังเป่าเล่อ
“ขอบพระคุณอาจารย์อาสิบหก!”
“สำนักเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจ” หวังเป่าเล่อเบิกบานใจ รอบนี้เขาประเมินพลังต่อสู้ของตัวเองได้ ซ้ำยังคัดลอกฎที่พิเศษมากอีกอัน รู้สึกสดชื่นจึงพูดด้วยรอยยิ้ม
ทว่าปฏิกิริยาของตระกูลเซี่ยคนอื่นบนเรือบินก็เร็วสุดๆ หลังจากเซี่ยอวิ๋นเถิงจากไปได้ไม่นาน ผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ตระกูลเซี่ยหลายคนรวามทั้งผู้อาวุโสโอสถก็ปรี่เข้ามาทักทายด้วยตนเอง
คำพูดที่ใช้กับหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความเกรงใจ ในเวลาเดียวกันก็เป็นการบอกกล่าวเซี่ยไห่หยางว่าตระกูลเซี่ยได้ลบความเข้าใจผิดที่มีต่อเขาแล้วและได้สลักชื่อเขากลับเข้าในตระกูลอีกครั้ง การคุ้มครองสายเลือดของเขาฟื้นฟูเป็นปกติแล้ว
ภาพฉากนี้ทำให้เซี่ยไห่หยางรู้สึกทอดถอนใจแต่ก็ไม่ได้ผิดคาดเลยสักนิด การต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับเซี่ยอวิ๋นเถิงถือเป็นการแสดงคุณค่าต่อตระกูลเซี่ยพอแล้ว ตระกูลเซี่ยที่เขารู้จักสำหรับมหาศิษย์แห่งเต๋าแบบนี้ เป็นที่ต้องการและลงทุนของตระกูลเขาตลอดมา
อีกทั้งความสัมพันธ์ของตนกับหวังเป่าเล่อก็เป็นตัวกำหนดตนเองในครั้งนี้เป็นตัวเชื่อมระหว่างตระกูลกับหวังเป่าเล่อ และนี่ก็ถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตัวเขาอย่างมาก ถึงขนาดส่งผลต่อส่วนแบ่งและสถานะของเขาในตระกูลเซี่ยสายตรง
สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้เซี่ยไห่หยางยิ่งแน่วแน่ที่จะผูกติดตัวเองไว้กับหวังเป่าเล่อให้ได้ เพราะเรื่องเหล่านี้ก็ทำให้เขาลงเรือลำเดียวกับหวังเป่าเล่อเรียบร้อยแล้ว จะรุ่งจะร่วงก็ขึ้นอยู่กับหวังเป่าเล่อ
แม้ว่านี่จะไม่สอดคล้องกับแนวการลงทุน แต่ ณ เวลานี้เซี่ยไห่หยางก็ไม่สนใจแล้ว
“การลงมือสู้ตอนนั้นไม่ได้ เพราะเขามีแผนหรือว่าเป็นเพราะพลาดไปจริงๆ กันนะ?” เซี่ยไห่หยางก้มหน้าพลางปรายตามองหวังเป่าเล่อที่กำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยอย่างว่องไว ในใจเกิดความรู้สึกยากจะเข้าใจ
หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นสายตาของเซี่ยไห่หยาง ยังคงอากัปกิริยาพูดคุยกับผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยตามปกติ ทว่านัยน์ตากลับปรากฏแววตาลึกซึ้งที่ยากจะเข้าใจเพิ่มขึ้นมา
ครู่ถัดมา ตระกูลเซี่ยทั้งหลายจึงร่ำลากลับไป ในขณะที่กำลังจะไปนั้น พวกเขาบอกหวังเป่าเล่อเรื่องบัญชีที่เซี่ยไห่หยางค้างไว้ทั้งหมดนั้น เซี่ยอวิ๋นเถิงได้ชำระให้ครบหมดแล้ว รวมทั้งดาราวิญญาณหนึ่งร้อยดวงนั่นด้วย
เพียงแต่ดาราวิญญาณราคาสูงมากอีกทั้งจำนวนก็ไม่น้อยเลย บนเรือบินนี้ก็ไม่ได้ตุนของไว้มากขนาดนั้น แต่ได้สั่งการลงไปแล้วจะรีบจัดส่งให้เขาโดยเร็วที่สุด
สำหรับเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อพอใจมาก มองเซี่ยไห่หยางอย่างชื่นชม เซี่ยไห่หยางรีบข่มความสงสัยไว้ในใจก่อนยิ้มตาหยีส่งให้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาให้ความร่วมมือกับหวังเป่าเล่อ เมื่อเขาได้ยินคำพูดของผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงครั้งก่อนก็เข้าใจทันทีว่าตนควรปฏิบัติตนเช่นไร
และในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจดีว่าความสงสัยไม่สำคัญอีกต่อไป ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เพราะหากบอกว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้จงใจ ถ้างั้นก็แปลว่าโชคดีจนเหลือเชื่อและถ้าบอกว่าจงใจนั่นก็แปลว่าระดับความเจ้าเล่ห์นั้นถึงขั้นน่ากลัวแล้ว ข้อสันนิษฐานทั้งสองข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็ทำให้เขาซูฮกอยู่ดี
……………………