หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1036 หมายหัว!
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่สวี่อินหลิงปรากฏตัว ภายในดาวเคราะห์ชะตาด้านล่างก็พลันปรากฏจิตวิญญาณขึ้นเจ็ดแปดสาย เห็นได้ชัดว่ารับรู้การมาถึงของสวี่อินหลิงจึงมาเพื่อต้อนรับ
และจิตวิญญาณเจ็ดแปดสายนี้ถึงแม้จะเป็นเพียงดาวพระเคราะห์แต่กลับไม่ธรรมดาทั้งดูร้ายกาจและมีกลิ่นอายบ้าอำนาจในเวลาเดียวกัน ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายรุ้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ในใจหวังเป่าเล่อก็พอเดาได้แล้วเจ็ดแปดส่วน เขารู้ดีว่าการปรากฏตัวของสวี่อินหลิงนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน เพราะรู้ว่าตนจะมาจึงมารออยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อจะหยิบยืมใช้ความสนิทสนมกับตนเพื่อให้บางคนบางกลุ่มเข้าใจผิด
ในขณะที่สร้างศัตรูให้ตน อีกฝ่ายก็จะมีโอกาสบรรลุจุดประสงค์
ถึงอย่างไรช่วงที่ทั้งสองอยู่ที่สุสานดวงดารา แม้จะพูดอย่างเต็มปากไม่ได้ว่ามีบุญคุณความแค้นกันมากมาย ทว่าเหตุระหว่างดาวเคราะห์เต๋า ซ้ำยังมีกฎสลักผนึกของตน นั่นก็พอที่จะให้ด้านสวี่อินหลิงนั้นเกิดความอาฆาตอย่างรุนแรงต่อตน
และในเวลานี้ที่หวังเป่าเล่อมั่นใจในพลังเทพของสวี่อินหลิงแล้ว บ่อเกิดอันคุ้นเคย ดังนั้นนี่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นสาเหตุจากผู้หญิงแห่งดวงดาวทำนองนั้น
แต่ว่าหวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจเรื่องนี้ ตากลับเป็นประกาย มุมปากเผยรอยยิ้ม
“ไม่ทราบว่าหากปราบรุ่นหนึ่งได้ จะให้เวทผนึกดาราของข้าเจ๋งกว่าเดิมได้หรือไม่!”
ในขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงแค่นเย็นชาของแม่นางน้อย รวมทั้งคำเรียกขานว่าคนต่ำช้า ช่างสบายอกสบายใจ เขารู้สึกว่าช่วงนี้อารมณ์ของแม่นางน้อยมีปัญหานิดหน่อย เมื่อคำนึงถึงมิตรภาพที่มาหลายปีอีกทั้งยังมีพ่อตาที่ตนเสนอหน้าเรียก ดังนั้นเขาจึงหาโอกาสหยอกล้อให้แม่นางน้อยอารมณ์ดี
เพียงแต่ถึงโอกาสแบบนี้จะมีมาก หนำซ้ำหวังเป่าเล่อยังเก่งเรื่องหยอกล้อคน แต่เมื่อก่อนเขาใช้กับแม่นางน้อยมากเกินไป เกรงว่าคงมีภูมิคุ้มกันแล้ว ดังนั้นคราวนี้เขาจะใช้วิธีอื่น ดูจากสวี่อินหลิงที่ตอนนี้เลือกใช้อารมณ์ของแม่นางน้อยระบายอารมณ์ ดูท่าเหมือนจะได้ผลอยู่บ้าง
และด้วยเหตุนี้ เขาจึงต่างไปจากปกติ เลือกหยิบระเบิดเคลือบน้ำตาลที่เต็มไปด้วยอุบายของสวี่อินหลิงกลืนลงไป ถึงอย่างไรแต่ไหนแต่ไรมานิสัยของเขาก็กินแค่น้ำตาล ระเบิดโยนกลับไป
ดังนั้นเมื่อกระแอมไอหนึ่งที หวังเป่าเล่อก็มองไปยังสวี่อินหลิงที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม โคลงศีรษะเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก สวี่อินหลิงกลับป้องปากหัวเราะพลางเอ่ยพูดก่อน
“พี่เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้อเสนอที่เจ้าให้ไว้ที่สุสานดวงดาราตอนนั้น เรื่องที่อยากให้อินหลิงเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเจ้า อินหลิงได้คิดดูแล้ว พวกเราลองคบกันดู เจ้าว่าดีหรือไม่?”
คำพูดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสัมผัสถึงจิตวิญญาณเจ็ดแปดดวงนั้นที่พุ่งมาจากดาวเคราะห์ชะตาอย่างรวดเร็วได้ทันที ภายในพริบตาก็เกิดความสั่นไหวต่างกันออกไป ทว่าเขายังคงส่ายหน้าไปมา
“ขอโทษที สิ่งที่ข้าจะพูดไม่ใช่เรื่องนี้ เอ่อคือ…เจ้ามาช้าไปก้าวนึง มีคนที่ชีวิตข้านี้เคารพยิ่ง ทั้งทำให้ข้าละอายใจนัก พี่สาวที่ข้าชมชอบอยู่เต็มอกแต่ไม่กล้าพูดออกมา เตือนข้าว่า เจ้าเป็นคนชั่วช้า!”
สวี่อินหลิงดวงตาวาบวับ ทว่าพริบตาต่อมากลับกัดริมฝีปากก่อนถอนหายใจเบาๆ
“เป่าเล่อ ต่อให้ไร้พรหมลิขิตได้แต่โทษชะตาฟ้าลิขิต แต่เหตุใดเจ้าต้องดูหมิ่นข้าเช่นนี้ด้วย?” ระหว่างพูด สวี่อินหลิงก้มหน้าลงคล้ายกับผิดหวัง นกยูงยักษ์ที่นั่งอยู่นั่นบินผ่านหวังเป่าเล่อไป
หวังเป่าเล่อได้ฟังดวงตาหรี่เล็ก ตระหนักได้ว่าความเจ้าเล่ห์ของสวี่อินหลิงล้ำลึกมากกว่าตอนที่อยู่สุสานดวงดารา เดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายจงใจสร้างความคลุมเครือกับตนเพื่อที่ใช้ประโยชน์จากผู้ที่ไล่จีบนางจัดการตน
ดังนั้นจึงตั้งใจพูดแบบนั้นออกไปสกัดความคิดที่จะหลอกใช้ของอีกฝ่าย แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าสวี่อินหลิงโต้กลับอย่างว่องไวแสดงท่าทางราวกับถูกดูหมิ่นขึ้นทันควัน หากเป็นเช่นนี้ก็จะมีโอกาสให้ผู้ที่ไล่ตามจีบนางทั้งหลายมีข้ออ้างในการสร้างความวุ่นวายแก่ตน
“เจ้าช่างน่ารำคาญเสียจริง” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ขี้เกียจเสแสร้งอ้อมค้อมอีก สีหน้าเผยแววรำคาญ
“ข้าไม่ชอบเจ้า หวังว่าต่อไปเจ้าจะไม่มารังควาญข้าอีก สวี่อินหลิง โปรดสำรวมด้วย!”
“เจ้า…” เมื่อสวี่อินหลิงที่นั่งอยู่บนนกยูงได้ยินเข้าก็พลันชะงัก หันมองหวังเป่าเล่อ
และในจังหวะที่นางหันมองพลันมีเสียงระเบิดแว่วมาจากทางดาวเคราะห์ชะตาในฉับพลัน จิตวิญญาณเจ็ดแปดดวงนั้นก็มาถึงในเวลาอันสั้น กลายเป็นร่างเจ็ดแปดคนบริเวณรอบๆ แต่ละคนล้วนทะมัดทะแมงและน่ายำเกรง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือกลิ่นอายล้วนแผ่กลิ่นอายมหาศิษย์แห่งเต๋า
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ตรงกลาง เรือนผมยาวสีทอง สวมชุดยาวสีทอง เปล่งแสงตลอดร่างราวกับบุตรของตะวัน เมื่อเขายืนตรงนั้นอุณหภูมิรอบๆ ก็สูงขึ้นไม่น้อย ดุจกำเนิดขึ้นจากเปลวเพลิง ยิ่งกว่านั้นคือนัยน์ตาที่ร้อนแรงของเขาที่มองสวี่อินหลิง รอยยิ้มบนในหน้าสว่างไสว
“ศิษย์น้องอินหลิง ศิษย์พี่รอเจ้ามาหลายวันแล้ว ในที่สุดก็ได้เจอเสียที”
“ศิษย์พี่ซุนหยาง ขอบคุณศิษย์พี่ที่มารับ พวกเรา…ไปกันเถอะ”
สวี่อินหลิงท่าทางอ่อนแอไร้ชีวิตชีวา ก้มหน้าเอ่ยเบาๆ
ท่าทางที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารจับใจเช่นนี้เข้าสู่สายตาผู้คนรอบๆ หลายคนในกลุ่มเจ็ดแปดคนนั้นนัยน์ตาร้อนแรง ซุนหยางคนนั้นก็เช่นกัน หลังจากมองสวี่อินหลิง เขาก็มองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง เมื่อครู่ก่อนที่จะมาเขาก็ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่แล้ว เวลานี้นัยน์ตาวาววับน้อยๆ อากัปกิริยาของเขาค่อยๆ เย็นลงเรื่อยๆ เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า
“หวังเป่าเล่อสินะ ชมชอบหญิงงาม เจ้าไม่รู้จักทะนุถนอมก็ช่างเถอะ แต่คำพูดคำจาที่ชั่วร้ายนั่นเป็นเจ้าที่ผิด วันนี้เวลานี้พวกเราไม่พูดถึงอดีต พูดกันเรื่องเหตุและผล ข้ากับสหายเต๋าทุกคนต้องการให้เจ้าขอโทษศิษย์น้องอินหลิง!”
เมื่อประโยคนี้จบลงก็มีมวลพลังร้ายกาจแผ่กระจายออกจาร่าวเขาในทันที ขณะที่พุ่งเป้ามาที่หวังเป่าเล่อ ในเวลาเดียวกันผู้ที่มาพร้อมกับเขารอบๆ นี้ก็ร่วมวงด้วยเช่นกัน แต่ละคนปลดปล่อยพลังปราณ ประสานรวมอยู่ที่หวังเป่าเล่อ
และสถานที่ที่ระเบิดพลังนี้ก็ได้ชักจูงความสนใจของผู้คนที่ได้เดินทางมาถึงดาวเคราะห์ชะตาเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดเป็นจำนวนมาก ต่างถอดจิตวิญญาณรับชม ณ ที่แห่งนี้
ดวงตาหวังเป่าเล่อค่อยๆ หรี่ลง มองสวี่อินหลิงรูปร่างอรชรที่น่าสงสาร ก่อนมองซุนหยางที่ราวกับผดุงความยุติธรรมเข้าช่วยสาวงาม มุมปากเผยยิ้มบาง วันนี้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ไม่ใช่มหาศิษย์แห่งเต๋าเหล่านี้โง่งมไม่เข้าใจเรื่องราวจึงถูกสวี่อินหลิงหลอกใช้ แต่เป็นเพราะพวกเขามองเรื่องนี้ทะลุปรุโปร่ง เพียงแต่สาเหตุคือปรมาจารย์แห่งไฟอาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังของตน ดังนั้น…
ในขณะที่ฝังใจเรื่องดาวเคราะห์เต๋าของตน ในเวลาเดียวกันก็เกรงกลัวอาจารย์ของตนด้วย ดังนั้นจึงใช้ความขัดแย้งและการลงมือทั้งหมดรวบใส่เป็นเรื่องหึงหวง เช่นนี้แล้วก็จะทำให้ผู้อาวุโสไม่สะดวกก้าวก่ายและก็เป็นโอกาสให้พวกเขาได้ลงมือ
ดังนั้นจึงมีคนพวกนี้รวมตัวกันมาขึ้นมา หนำซ้ำยังยินยอมพร้อมใจ
ถึงอย่างไรจะต่อกรกับหวังเป่าเล่อในตอนนี้พวกเขาต้องการเหตุผลสักข้อที่ทำให้ผู้อาวุโสไม่สามารถหาทางเข้าข้างได้
“อวดฉลาด จากนิสัยอาจารย์และเหตุการณ์บนดาวเอกเพลิง เรื่องเข้าข้างน่ะไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล” หวังเป่าเล่อยิ้มเย็น ดวงตากลับเป็นประกาย วิธีการของอีกฝ่ายดูเหมือนจะฉลาด แต่ความเป็นจริงก็ยังอยู่ในเงื้อมมือของผู้อาวุโสพวกเขาวันวันยังค่ำ
“การเดินทางครั้งนี้ ช่างน่าสนใจเสียจริง” ขณะที่หวังป่าเล่อพึมพำในใจ รอยยิ้มก็ยิ่งสว่างไสว ไม่สนใจสวี่อินหลิงยิ่งไม่เหลือบแลซุนหยาง ทำเพียงเอ่ยปากพูดกับผู้ฝึกตนข้างกาย เซี่ยไห่หยางที่ตั้งท่ารอลงมือเรียบๆ ว่า
“พวกเราไปกันเถอะ” พูดจบ หวังเป่าเล่อไม่สนใจผู้คน บินมุ่งไปดาวเคราะห์ชะตา แต่ในวินาทีที่เขาบินออกไป ทางด้านซุนหยางนัยน์ตาเย็นเยียบ ขยับร่างเข้าขวางหน้าทันที มหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ ข้างกายที่มาพร้อมกับเขาก็ทยอยกันเข้ามาขวางกั้นเส้นทางหวังเป่าเล่อ
และในเวลาเดียวกันบนดาวเคราะห์ชะตาก็ยังมีจิตวิญญาณหลายสายที่เป็นผู้คุ้มครองของพวกเขา ในเวลานี้ก็ได้กระจายตัวออกอยู่ ณ ที่แห่งนี้
“ขอความกรุณาผู้คุ้มครองอาวุโสอย่าได้เข้าร่วม นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเรา!” เมื่อซุนหยางพูดจบ ผู้คุ้มครองพวกเขาเหล่านี้พลันเคลื่อนจิตวิญญาณไปยังเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อทันที
จำนวนคนนับว่าได้เปรียบ ทำให้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงสีหน้าพลันอึมครึมลง และในเวลาเดียวกันนี้ซุนหยางที่ขวางทางหวังเป่าเล่ออยู่ จ้องไปยังหวังเป่าเล่อพลางพูดช้าๆ ว่า
“ขอโทษศิษย์น้องอินหลิง!”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เขาเอ่ยปาก มหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ก็เอ่ยพูดขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“ขอโทษ!”
เสียงสอดประสานได้กลายเป็นมวลพลังอันน่าตกใจพุ่งกดดันไปยังหวังเป่าเล่อ ในช่วงเดียวกันก็ยังมีเรือบินของตระกูลมีอำนาจทั้งหลายที่เพิ่งถึงจากแดนไกลก็มารับชมหลังจากที่ใกล้ถึงแล้วเช่นกัน
และยังมีจิตวิญญาณอีกมากมายที่ปลดปล่อยมาจากดาวเคราะห์ชะตาที่กำลังจับตามองที่นี่ ณ ที่แห่งนี้ที่ทุกคนแทบจะจับตามอง ถือว่าซุนหยางได้เล็งเป้ามาที่หวังเป่าเล่อตรงหน้านี้แล้ว จะต้องเกิดความขัดแย้งกับตนที่นี่ต่อหน้าสายตาทั้งหลายที่จ้องมองมา
ไม่ว่าอย่างไรถ้าเป็นตัวเขาเองก็จะทำแบบนี้เช่นกัน สำหรับมหาศิษย์แห่งเต๋าพวกนี้ หน้าตานับว่าสำคัญยิ่ง!
เพียงแต่ เขาคือหวังเป่าเล่อ รู้จักเขาน้อยไปนิด
…………………………